ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่ายูไลจะมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย
แต่เมื่อนึกถึงฐานะของยูไลแล้ว เขาก็พอเข้าใจได้
เนื่องจากตอนนี้ สาเหตุที่ผู้ผ่านเข้าสู่รอบที่ 5 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์มีโอกาสได้เข้าสู่ผาบรรพกาล อาจเป็นเพราะวิหารเฟิงฮ่าวไปทำข้อตกลงและจ่ายราคาบางอย่างกับจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน เช่นนั้นจะมีคนของวิหารเฟิงฮ่าวคอยรักษาความสงบและตรวจสอบตัวตนของผู้ที่จะเข้าใช้อยู่ด้วยก็ไม่แปลก
“พวกเจ้าทุกคน ขอเพียงผ่านการยืนยันตัวตนกับคนของวิหารเฟิงฮ่าวอีกครั้ง ก็จักมีคนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หวนสื่อเทียนของพวกเราพาเข้าไปยังผาบรรพกาล”
ศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนที่พาพวกต้วนหลิงเทียนมาเอ่ยขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
และเป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนเดาไว้ไม่มีผิด ยูไลมาปรากฏตัวที่นี่ก็เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบตัวตนอัจฉริยะที่ผ่านเข้ารอบ…อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความสงสัยคลางแคลงประการหนึ่ง หน้าที่ตรวจสอบผู้คนแบบนี้ ต้องถึงมือตัวตนระดับจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยอย่างยูไลเลยหรือ?
และพอนึกถึงฉากการพบปะกับยูไลก่อนหน้า รวมถึงสายตาที่ฉายแววแปลกๆของมัน ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะบังเกิดความระแวงขึ้นในใจ จากนั้นเขาก็ไม่รอช้าเร่งส่งข้อความไปหาอาจารย์เขาฟงชิงหยางทันที “ท่านอาจารย์ข้ากำลังจะเข้าสู่ผาบรรพกาล”
“แต่พิกลนัก เพราะคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันตัวตนเหล่าอัจฉริยะว่าใช่ผู้ที่ผ่านเข้ารอบจริงหรือไม่ กลับเป็นยูไล…จุดนี้ทำให้ข้ารู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล ว่าระดับมันต้องมาทำเรื่องเล็กๆน้อยๆนี่เองด้วยหรือ?”
“ปกติแล้วเรื่องจิปาถะพวกนี้ ไม่ใช่แค่ส่งอาวุโสมาทำ หรืออย่างดีก็ชนชั้นรองจ้าววิหารหรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนแจ้งสาเหตุที่ทำให้กังวลออกไปทันที
ก่อนหน้านี้ ยูไลถึงกับกล้าตรวจสอบร่างกายเขาอย่างอุกอาจต่อหน้าฟงชิงหยาง แถมยังมองเขาด้วยสายตาแปลกๆบ่อยครั้ง มาตอนนี้ข้างกายเขาไร้อาจารย์อยู่ด้วย เขาก็เลยสงสัยว่ายูไลจะลงมือทำอะไรกับเขาหรือไม่…ถึงแม้เขายังไม่รู้เหตุผลที่ทำให้ยูไลเพ่งเล็งเขาก็ตามที!
ใช่เพราะเขาเป็นร่างเหยียนหวงที่ประสบความสำเร็จ…หรือจะเป็นเพราะมรรคากระบี่มิติและวิถีควบคุม?
ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ทว่าต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะแจ้งอาจารย์เขาอย่างฟงชิงหยางก่อน
อีกทั้งพอคิดดูแล้ว ด้วยความสัมพันธ์อันสนิทสนมระหว่างอาจารย์เขากับ ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน เผลอๆไม่จำเป็นต้องยืนยันตัวตนอะไร ก็สามารถผ่านเข้าออกผาบรรพกาลได้เหมือนสวนหลังบ้านด้วยซ้ำ
และเป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไว้ไม่มีผิด
ทันทีที่ได้รับข้อความของเขา อาจารย์ของเขาก็ไปหา ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนทันที
ถึงแม้ครั้งนี้ เหตุผลที่เหล่าอัจฉริยะผู้ผ่านเข้าสู่รอบที่ 5 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์จะสามารถเข้าใช้ผาบรรพกาลได้ เป็นเพราะวิหารเฟิงฮ่าวมีไปทำข้อตกลงและจ่ายราคาอะไรกับติงฟู่จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน อย่างไรก็ตามติงฟู่ที่เป็นจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ผาบรรพกาลก็คือสวนหลังบ้านของมัน จะผ่านเข้าออกตอนไหนเมื่อไหร่ก็ทำได้ตามใจ ไม่ต้องไปยืนยันตัวตนกับผู้ใดทั้งสิ้น
‘หืม?’
เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดว่าการเข้าสู่ผาบรรพกาลของเขาอาจไม่ราบรื่นนัก เพราะยูไลอาจจะเล่นแง่อะไรกับเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ…มันปล่อยให้เขาผ่านเข้าไปได้ทันที ไม่มีทีท่าว่าจะสร้างปัญหาอะไรให้เขาเลย!
‘หรือมันคิดจะลงมือทำอะไรกับข้าด้านใน’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างระแวง จากนั้นก็ไม่รอช้าเร่งส่งข้อความไปแจ้งอาจารย์อีกรอบ ก่อนที่จะเข้าสู่ผาบรรพกาลพร้อมซูหลี่ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และถังซานเป่า
ผาบรรพกาลนั้นตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอันปกคลุมไปด้วยม่านเมฆ หากคิดจะเข้าไป ก็จำต้องให้คนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนเปิดช่องทางของค่ายกลก่อน ถึงจะเข้าไปได้
หากไม่มีคนของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนเปิดช่องว่างค่ายกลให้ แม้แต่ตัวตนขอบเขตเทพก็ยากจะล่วงล้ำเข้าไปได้
เนื่องจากค่ายกลดังกล่าวเป็นจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนรุ่นแรกจัดตั้งด้วยตัวเอง และตอนที่จัดตั้งค่ายกลดังกล่าวมันก็บรรลุถึงขอบเขตเทพมานานปีแล้ว กล่าวได้ว่าเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพคนหนึ่ง
หลังก้าวเข้าสู่ค่ายกล สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายวับวาว บัดนี้ในสายตาเขาเมฆหมอกได้หายไปหมดสิ้น และปรากฏยอดเขาขนาดมหึมาให้เห็น
บนยอดเขาเต็มไปด้วยความเขียวขจีของธรรมชาติ กลิ่นหอมของบุปผานานาพรรณยังโชยแตะจมูกให้สดชื่นนัก
“พวกนั้นอยู่ด้านบนนู่นแน่ะ”
ถังซานเป่าที่แหงนมองชมดูที่ทาง ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างและชี้บอกพวกต้วนหลิงเทียนทันที พอต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นมองตามไป ก็เห็นร่างอันคุ้นเคยบนยอดเขาสูงชัน
แน่นอนว่าเพราะระยะทางมันไกลห่าง ร่างแต่ละคนก็แลดูไม่ต่างอะไรกับจุดดำเล็กๆ
“หืม? มากันเกือบครบแล้วนี่นา…”..
หลังเหินร่างขึ้นไปบนยอดเขา ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสังเกตเห็นอัจฉริยะคนอื่นๆที่มาถึงก่อน และนับคร่าวๆก็เห็นจะมีกัน 70-80 คน ในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีแม้กระทั่งคนที่ยังแลดูบาดเจ็บจากรอบที่ 4 ไม่หายด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม แม้พวกมันจะบาดเจ็บ แต่ก็เลือกที่จะอดทนเอาไว้
ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจได้อยู่
ที่พวกมันมาทั้งๆที่ยังบาดเจ็บ เพราะโอกาสเข้าสู่ผาบรรพกาลนั้นหาได้ยากมาก และไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะตระหนักรู้อะไรบางอย่างยังผลให้พลังฝีมือเพิ่มพูน ทำให้อัจฉริยะเหล่านี้เลือกที่จะมาที่นี่ก่อนจะกลับไปพักรักษาตัว
“สำนึกรู้ในกฏของหน้าผาแต่ละแห่งมีกฏต่างกัน…แยกย้ายกันไปหาจุดที่มีกฏของใครของมันเถอะ”
หลังพวกต้วนหลิงเทียนมาถึงบริเวณยอดเขาได้สักพัก ซูหลี่ที่ตรวจสอบอะไรอยู่พักหนึ่ง ก็เอ่ยขึ้น
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนที่ตระหนักได้ถึงจุดนี้เหมือนกันก็ขานรับอย่างเห็นด้วย
“ต้วนหลิงเทียน!”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะไปหาหน้าผาบริเวณที่มีสำนึกรู้ของกฏมิติ ก็มีเสียงคุ้นๆหนึ่งดังขึ้นทักเขา
พอเขาหันไปมองต้นเสียงตามสัญชาตญาณ ก็พบคนรู้จักที่ไม่ถือว่าคุ้นเคยอะไร “อวี๋ตงฟาง?”
เป็นศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 3 ของจักพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน อวี๋ตงฟาง ที่ในรอบที่ 4 ก็เปิดเผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 4 ดาราออกมา
“ต้วนหลิงเทียน เจ้านับว่าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก…”
หลังอวี๋ตงฟางเหินร่างมาถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนแล้ว มันก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าคนอายุแค่ 600 ปีเศษเช่นเจ้า จะมีความแข็งแกร่งระดับเทพสงคราม 5 ดาราแล้ว…ตอนข้ามีอายุเท่าเจ้า เกรงว่าเจ้าอาศัยฝ่ามือเดียวก็คงตีข้าตายได้ง่ายๆกระมัง…”
ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวตอบ “เจ้าเองร้ายกาจใช่ย่อย และหากข้าเดาไม่ผิดจนถึงตอนนี้เจ้าเองก็ยังปกปิดพลังฝีมือเอาไว้อยู่สินะ…อย่างน้อยๆเจ้าก็เป็นเทพสงคราม 5 ดาราแล้วกระมัง?”
อวี๋ตงฟางได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะรอประมือกับเจ้า”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็พูดตัดบท “ข้าไปหาหน้าผาที่มีกฏมิติก่อน คงไม่ว่างคุยกับเจ้าแล้ว”
“ไปเถอะ”
อวี๋ตงฟางก็รับคำสั้นๆแล้วจากไปทันที มันเองก็กำลังหาหน้าผาที่มีสำนึกรู้ของกฏที่มันเชี่ยวชาญอยู่เหมือนกัน
บนยอดเขาแห่งนี้ที่เรียกว่าหน้าผาบรรพกาลนั้น มีหน้าผาทอดยาวมากมาย และหน้าผาทั้งหมดรวมแล้วถึงเรียกว่าผาบรรพกาล แต่ละแห่งก็จะมีสำนึกรู้ของกฏที่บันทึกไว้แตกต่างกัน…และก็ไม่ใช่ว่ากฏเดียวกันจะมีแค่แห่งเดียว แต่มีมากพอสมควร อย่างไรก็ตามหากมีใครแผ่สำนึกเทวะไปหยั่งถึงสำนึกรู้อยู่ก่อน คนอื่นก็ไม่อาจใช้หน้าผาจุดเดียวกันได้
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็พบเจอหน้าผาที่มีสำนึกรู้ของกฏมิติบ้างแล้ว แต่เขาพบว่ามีคนจับจองเป็นที่เรียบร้อย
ถึงแม้ว่ากฏมิติจะเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด และมีคนที่เข้าใจค่อนข้างน้อย ทว่าผู้ที่เข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์มีใครไม่ใช่อัจฉริยะบ้าง?
โดยเฉพาะผู้ที่ผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ได้ กล่าวไปเฉลี่ยแล้วก็มี 1 คนต่อ 1 ระนาบเทวโลกเท่านั้น!
‘ตรงนั้นยังว่างอยู่’
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พบหน้าผาที่มีความผันผวนของพลังมิติอีกครั้ง และพบว่าไม่มีใครหยุดดูผาแห่งนี้เลย เขาก็เร่งรุดพุ่งไปจับจองหน้าผาดังกล่าวทันที
และพอหันไปดูรอบๆ เขาก็พบว่าหน้าผาแถบนี้ มีคนที่นั่งดูชมอยู่น้อยมาก
ผาบรรกาลนั้น แท้จริงแล้วก็คือหน้าผาธรรมดาที่มีค่ายยกลกักเก็บสำนึกรู้ของผู้ใช้กฏต่างๆเอาไว้ มีม่านพลังโปร่งแสงปกคลุมให้สังเกตเห็นได้ไม่ยาก และสีสันของม่านพลังนั้นก็บอกกลายๆว่ากักเก็บสำนึกรู้ของกฏอะไรไว้ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบกลิ่นอายพลังผันผวนที่แผ่ออกมาก็รู้ได้
อย่างเช่นหน้าผาที่ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดมาจับจองแห่งนี้ ม่านพลังก็เผยสีเทาออกมา เป็นสีสันดุจเดียวกับตอนที่ต้วนหลิงเทียนผสานรวมพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเข้ากับพลังธาตุมิติ
‘แค่แผ่สำนึกเทวะเข้าไป…ก็จะหยั่งถึงสำนึกรู้กฏมิติที่กักเก็บไว้ได้งั้นรึ?’
เพียงใจคิด ต้วนหลิงเทียนก็ได้แบ่งสำนึกเทวะส่วนหนึ่งออกมาผสานเข้ากับหน้าผาอันมีม่านแสงสีเทาปกคลุมทันที สำหรับสำนึกเทวะอีกส่วนก็แผ่ออกไปตรวจจับความเคลื่อนไหวโดยรอบ
หลังจากต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะไปหลอมรวมเข้ากับผาบรรพกาลครู่หนึ่ง ก็ปรากฏภาพเรื่องราวขึ้นในใจเขา เป็นหญิงชราในชุดคลุมสีเขียวกำลังประมือกับชายวัยกลางคนร่างกำยำเปลือยอกผู้หนึ่ง
คนหลังนั้นเชี่ยวชาญกฏแห่งดิน ทั่วร่างปรากฏแสงพลังสีกากีควบรวมเป็นเกราะแลดูน่าเกรงขาม ปิดกั้นคมมีดมิติทั้งพลังมิติอื่นๆที่จู่โจมเข้ามาได้อย่างชะงัด ราวกับไร้สิ่งใดจะฝ่าทำลายปราการป้องกันของมันได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับชายร่างกำยำที่เก่งกฏแห่งดินและเต็มไปด้วยพลังป้องกันอันน่ากลัว หญิงชราไม่คล้ายนำพาอันใด เพียงยกมือขึ้นรวมรั้งพลังครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏแสงกระบี่มิติพุ่งทะลุความว่างเปล่าไปฉับไว พร้อมกันนั้นเอง รอบกายชายร่างกำยำก็ปรากฏรอยแยกมิติขึ้น 9 รอยอย่างน่ากลัว ปลดปล่อยคมมีดมิติ 9 คมมีดเข่นฆ่าเข้าใส่ชายร่างกำยำพร้อมๆกันอีกทาง
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ตอนแรกชายยวัยกลางคนก็สามารถต้านทานรับมือกระบวนท่าสังหารของหญิงชราได้อยู่
อย่างไรก็ตาม อยู่ๆร่างหญิงชราก็เริ่มสั่นไหว จากนั้นรอบกายก็ปรากฏรอยแยกมิติ 9 รอย ปลดปล่อยคมมีดมิติทั้ง 9 ออกมาผสานรวมเป็นกระบี่มิติเล่มหนึ่ง อีกทั้งรอบตัวกระบี่มิติยังปรากฏพลังมิติบิดเบือนคล้ายผสานไว้ด้วยความลึกซึ้งบิดเบือนของกฏมิติ ต่อมาร่างหญิงชราก็อันตรานหายไปในความว่างเปล่า ปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่ด้านหลังชายร่างกำยำแล้ว และคมมีดมิติในมือของนางก็ตวัดฟันไปยังหลังคอของชายวัยกลางคนร่างกำยำทันที
วู้มมม!!
อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนคล้ายมีดวงตางอกเงยอยู่หลังหัว ทั่วคอมันปรากฏแสงพลังสีกากีเข้มสาดส่องออกมา ก่อเกิดเป็นเกราะป้องกันฉับไว ตัวเกราะยังให้ความรู้สึกอยู่ยงคงกระพันประหนึ่งไร้สิ่งใดสามารถผ่านทำลาย
แต่กระนั้น ก็ยังไร้ประโยชน์
วู้มมม!!
ถึงแม้ว่ากระบี่มิติจะไม่อาจฟันผ่านปราการของชายวัยกลางคนได้ในฉับเดียว อย่างไรก็ตามในขณะที่กระบี่มิติของนางปะทะหักหาญกับปราการป้องกันของชายวัยกลางคน นางก็อาศัยการผสานใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติและส่งผ่าน เพื่อหลีกเลี่ยงปราการป้องกัน จนในที่สุดก็ตัดหัวชายวัยกลางคนร่างกำยำลงได้
‘การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 4 ประการ…’
‘ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ส่งผ่าน ผ่ามิติ แล้วก็บิดเบือน’
ต้องทราบด้วยว่าการผสานรวมความลึกซึ้ง 4 ประการ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ที่มีอัจฉริยะภาพก็ยังมีน้อยคนนักที่ทำได้…และเมื่อสามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 4 ประการแล้ว ต่อให้จะไม่ได้เข้าถึงจตุรวิถีใดในสวรรค์และโลก และไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เป็นแค่มนุษย์ แต่อย่างน้อยๆพลังก็จะเข้าถึงขอบเขตเทพสงคราม 8 ดาราทันที
และหากเชี่ยวชาญการผสานรวมความความลึกซึ้งของกฏประการที่เหลืออีกสักชุดล่ะก็ ตัวตนเช่นนี้ก็มีพลังเทียบได้กับเทพสงคราม 9 ดาราแล้ว
ซูว!
หลังจากหญิงชราเข่นฆ่าชายวัยกลางคนแล้ว ฉากเรื่องราวในใจต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไป กลายเป็นฉากเหนือทะเลสาบแห่งหนึ่ง และยังปรากฏร่างหญิงชราคนเดิม ทว่าคู่ต่อสู้ของนางเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น
แต่สุดท้ายก็ถูกหญิงชราเข่นฆ่าอยู่ดี
ซูว! ซูว! ซูว!
…
การเปลี่ยนแปลงของฉากเรื่องราวแต่ละฉาก ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจวิธีการลงมือของหญิงชรามากขึ้น
‘ผาบรรพกาลเป็นสถานที่ๆดีจริงๆ…มีการต่อสู้ของคนๆหนึ่งกับศัตรูหลายๆคน และศัตรูแต่ละคนก็มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับมีลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการต่อสู้ของยอดฝีมือคนหนึ่งเอาไว้เป็นชุดเลย…และลูกแก้วเงาลอยเป็นชุดแบบนี้ ก็มีราคาไม่ด้อยกว่าอุปกรณ์อมตะจักรพรรดิด้วยซ้ำ’
ต้วนหลิงเทียนลอบทอดถอนอยู่ในใจ