“จะอย่างไร วิหารเฟิงฮ่าวก็สันดารชั่วไม่เปลี่ยนจริงๆ…ในปีนั้นพวกมันก็คิดลงมือกับข้าทีนึงแล้ว มาวันนี้ยังจะคิดลงมือกับศิษย์ข้าอีก”
“หรือพวกมันคิดกันไปจริงๆ…ว่าข้าฟงชิงหยางรังแกกันได้ง่ายๆ?”
ฟงชิงหยางกล่าวบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ สองตาเผยประกายเยียบเย็น ราวกระบี่อันคมกริบ พาลให้ติงฟู่ที่อยู่ข้างๆรู้สึกเสมือนมีไอเย็นแล่นพล่านเสียดกระดูก ยังรับรู้ได้ถึงโทสะของฟงชิงหยางชัดเจน
“น้องฟงท่าน…ข้ารู้ดีว่าท่านไม่ได้อ่อนด้อย แต่รากฐานของวิหารเฟิงฮ่าวมันแข็งแกร่งเกินไป เจ้าอย่าได้ปะทะกับพวกมันซึ่งๆหน้าดีกว่า”
ติงฟู่กล่าวเตือน มันเองก็ห่วงสหายผู้นี้จากใจ
เพราะด้วยพลังฝีมือของสหายผู้นี้ อีกฝ่ายมีแนวโน้มว่าอาจจะลุยแหลก เลือกจะฉะกับวิหารเฟิงฮ่าวขึ้นมาจริงๆ…
“พี่ติงท่านวางใจเถอะ”
ได้ยินความเป็นหวงของติงฟู่ ความเย็นชาที่แผ่ซ่านออกมาทั่วร่างฟงชิงหยางสลายหายไปทันที ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยยิ้มสดใส ให้ความรู้สึกเสมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนนกับก่อนหน้า “ก่อนที่ร่างจริงของข้าจะออกจากนรกอสุรา ข้าไม่คิดลงมือวู่วามหรอก”
ร่างจริง!
ได้ยยินคำพูดของฟงชิงหยาง ใจติงฟู่ก็สั่นไหวไปไม่น้อย
สหายของมัน น้องฟงผู้นี้กฏที่เชี่ยวชาญที่สุดก็คือกฏทำลายล้าง ร่างที่เห็นนั้นก็คือร่างอวตารกฏแห่งดิน ทว่าร่างอวตารกฏทำลายล้างนั้น ปกติแล้วสมควรรวมเป็นหนึ่งกับร่างจริง
“น้องฟงท่าน…ว่าแต่ตอนนี้ร่างที่แท้จริงของท่านแข็งแกร่งแค่ไหนรึ?”
ติงฟู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย เรื่องนี้มันอยากรู้จนอดถามออกมาไม่ได้จริงๆ
“ฆ่าฉีคงไห่ เหมือนฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง!”
สองตาฟงชิงหางหรี่ลงเผยยประกายแหลมคมเรืองวูบ
ฟืด!
และแทบจะทันทีที่ฟงชิงหยางกล่าวตอบออกมา ติงฟู่ ก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้!
ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ต้องทราบว่าวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักจะแต่งตั้งใครเป็นชนชั้นรองจ้าววิหารไม่ได้อาศัยแค่คุณวุฒิเท่านั้น แต่พลังฝีมือเองก็ต้องถึงขั้นด้วย!
กล่าวได้ว่า ตัวตนขอบเขตเทพทั่วไป ไม่ใช่คู่มือของฉีคงไห่เลย!
แต่ตอนนี้น้องฟงของมันกลับบอกว่า ฆ่าฉีคงไห่เหมือนฆ่าหมาตัวหนึ่ง?!
จะไม่ให้มันตกใจได้อย่างไร?
…
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจรับทราบบทสนทนาระหว่างฟงชิงหยางกับติงฟู่ได้เลย และตอนนี้เขาก็กลับมานั่งทำความเข้าใจกฏมิติบริเวณหน้าผาแห่งหนึ่งของผาบรรพกาล จมจ่อมสู่ภวังค์หยั่งรู้จนลืมเลือนเวลา
เขาไม่ได้ตื่นขึ้นจนกระทั่งซูหลี่มาเรียก
“เจ้าต้วน ใกล้ถึงเวลาแล้ว…อีกไม่นานศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบที่ 5 ก็จะเริ่มขึ้น”
ตอนนี้ซูหลี่ลอยร่างห่างต้วนหลิงเทียนไม่ไกลนัก และข้างๆกายซูหลี่ก็มีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับถังซานเป่าอยู่ด้วย ทั้ง 3 มองจ้องต้วนหลิงเทียนที่พึ่งตื่นขึ้นมาตาปริบๆด้วยรอยยิ้มรู้กัน
“อะไร? ไหงไวนักล่ะ?”
หลังกลับมาถึงผาบรรพกาล ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจโลกภายนอกอีกเลย เรียกว่าจดจ่อกับการทำความเข้าใจกฏมิติจากผาบรรพกาลจนลืมเลือนเวลาไปเสียสิ้น
ในเมื่อคนที่ครอบงำร่างยยูไลลงมือพลาดไปแล้ว เขาก็ไม่กังวลเรื่องที่อีกฝ่ายจะลงมือติดๆกัน
สำหรับคนของวิหารเฟิงฮ่าว ไม่มีทางลงมือเผยหางออกมาแน่นอน
และไม่นานหลังจากเขากลับมายังผาบบรรพกาล ฟงชิงหยางอาจารย์เขาก็ส่งข้อความมาบอกว่า ตอนที่คนที่ครอบงำร่างยูไลลงมือกับเขา ‘ฉีคงไห่’ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักก็มาป้วนเปี้ยนอยู่ด้านนอกผาบรรพกาล ดูท่ามาเพื่อรอขัดขวางอาจารย์เขาไม่ให้มาช่วยเขาโดยเฉพาะ
“ฉีคงไห่!”
ตอนที่ได้รับทราบข้อความดังกล่าว ในใจต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความคิดฆ่าฟันต่อฉีคงไห่ทันที และวันไหนที่พลังฝีมือเขาสูงพอแล้ว เขาไม่มีทางปล่อยฉีคงไห่ไปง่ายๆแน่
ในอดีตถึงแม้เขาจะรู้ว่าวิหารเฟิงฮ่าวเพ่งเล็งและวางแผนร้ายต่อเขา แต่ก็ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะบ้าระห่ำขนาดนี้ ถึงขั้นคิดร่วมมือกับคนของเผ่าภูตเพื่อลักพาตัวเขา!
แน่นอนล่ะว่าฉีคงไห่คงไม่รู้ว่ายูไลถูกคนเผ่าภูตครอบงำ กระทั่งไม่น่าจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกเจ้านั่นหลอกใช้!
หากคนเผ่าภูตลักพาตัวเขาไปสำเร็จ เขาเชื่อว่ามันต้องพาเขาหลบหนีไปจากหยวนสื่อเทียนและหายเข้ากลีบเมฆแน่นอน เผลอๆไม่แน่ก็อาจจะพาตัวเขากลับไปยังเผ่าภูตในโลกแห่งความตายด้วยซ้ำ เพื่อรอเวลาชิงร่างและยึดครองุทกสิ่งทุกอย่างของเขา!
“ข้ารู้สึกเหมือนพึ่งผ่านไปไม่ทันไร…ไม่คิดเลยว่าจะผ่านไปครบเดือนแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา
“ฮ่าๆๆ พี่น้องต้วน ท่านไม่ได้รู้สึกแบบนั้นคนเดียวหรอก พวกเราเองก็ด้วย”
ถังซานเป่าหัวเราะเบาๆ ค่อยกล่าวต่อว่า “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรารีบไปที่สนามประลองกันก่อนเถอะ รอบที่ 5 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ใกล้เริ่มเต็มทีแล้ว”
“ไปสิ”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกับพวกออกจากผาบรรพกาล พวกเขาก็พบว่ามีอัจฉริยะมากมายกำลังกลับออกจากผาบรรพกาลเหมือนกัน รวมถึงอวี๋ตงฟางศิษย์ที่แท้จริงลำดับ 3 ของกงซุนซวนหยวนด้วย
และเมื่อต้วนหลิงเทียนมองไปยังอวี๋ตงฟาง ก็พบว่าอวี๋ตงฟางก็กำลังมองเขาอยู่ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นเขาก่อน
“ต้วนหลิงเทียน ข้าหวังว่าจะได้เจอเจ้าบนสังเวียนในเร็ววัน”
อวี๋ตงฟางกล่าวออกเสียงเย็น น้ำเสียงไม่ขาดการท้าทายแม้แต่น้อย
ได้ยินน้ำเสียงเอาเรื่องของอวี๋ตงฟาง ต้วนหลิงเทียนเพียงคลี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะถอนสาตากลับมาและไม่ได้สนใจอะไรมันอีก
และอวี๋ตงฟางที่โดนต้วนหลิงเทียนทำราวกับไม่เห็นหัวมัน ก็ของงขึ้นทันที สองตาฉายประกายเย็นชาวูบวาบปานสายฟ้า
หลังจากต้วนหลิงเทียนกับพวกเดินทางมาถึงสังเวียนประลองศึกอัจฉริยะ เขาก็พบว่าอัจฉริยะส่วนใหญ่มาถึงกันแล้ว และแม้แต่เหล่าจักรพรรดิสวรรค์กับคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็มาถึงแล้วเช่นกัน
พอกวาดตามองไปรอบๆ เขาก็พบว่ามีจักรพรรดิสวรรค์คนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มา
และไม่ใช่ใคร เป็นอาจารย์เขา จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง!
สำหรับจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ได้มานั่งรออยู่แล้ว
‘อาจารย์ยังไม่มารึ?’
แม้ต้วนหลิงเทียนจะสงสัย แต่ก็เลือกที่จะไปนั่งที่พร้อมกับซูหลี่และคนอื่นๆก่อน แน่นอนว่าเป็นที่เดิม
หลังจากพวกเขานั่งลงได้ไม่นาน รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ฉีคงไห่ ที่มีหน้าที่ควบคุมกำกับการประลองก็ปรากฏตัวขึ้นเหมือนเดิม กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ศึกอัจฉิยะสวรรค์รอบที่ 5 กำลังจักเริ่มต้นขึ้น”
“ในรอบที่ 5 กฏกติกาของช่วงแรก ก็จะคล้ายคลึงกับช่วงแรกของรอบที่ 4 ทางวิหารเฟิงฮ่าวเราจะจับคู่ประลอง 50 คู่ และ 50 คนที่ชนะการประลองดังกล่าวจะผ่านเข้ารอบเป็นการชั่วคราว”
“เป็นธรรมดาว่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่าอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง ทางเราจักไม่จัดให้อัจฉริยะที่แข็งแกร่งพบเจอกันเองแต่แรก ”
“กล่าวได้ว่า อัจฉริยะที่เผยพลังฝีมือระดับเทพสงคงราม 4 ดาราขึ้นไปในรอบที่ 4 จักไม่มีทางปะทะกันเองในช่วงแรกของรอบที่ 5”
พอเสียงของฉีคงไห่ดังจบคำ เหล่าอัจฉริยะที่รอดูชมการประลองส่วนใหญ่ก็อดชักสีหน้าผิดหวังไม่ได้ พวกมันย่อมอยากดูศึกพยัคฆ์มังกร แต่ใครจะไปรู้ว่าวิหารเฟิงฮ่าวกลับจัดให้ผู้แข็งแกร่งพบเจอผู้อ่อนแอ…นี่ใช่ศึกพยัคฆ์มังกรที่ไหน แต่เป็นศึกมังกรกับหนอนแมลงชัดๆ…ไร้ซึ่งความลุ้นระทึกอันใด!
ในบรรดาอัจฉริยะ 100 คนที่ผ่านเข้ารอบที่ 5 มา แต่พลังฝีมือไม่ถึงเทพสงคราม 4 ดารา ก็ได้แต่คลี่ยิ้มหน้าแหยอย่างช่วยไม่ได้…
ดูเหมือนว่าช่วงแรกของรอบที่ 5 พวกมัมนจะถูกลิขิตให้เป็นทหารเลว…
ถึงแม้ว่าพวกมันจะมีโอกาสท้าท้ายอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามในบรรดา 50 คนที่สามารถชนะผ่านเข้ารอบเป็นการชั่วคราวไปก่อน ส่วนใหญ่ก็อยู่ในระดับเทพสงคราม 4 ดารา และอย่างต่ำๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 3 ดารา…
ในกรณีนี้หากพลังฝีมือและความมั่นใจในตัวเองไม่สูงพอ เลือกจะท้าประลองไปก็รังแต่จะหาเรื่องขายหน้าเท่านั้น
เป็นการดีเสียกว่าที่จะไม่ท้าและขึ้นไปแพ้ซ้ำอีกรอบ…
“ดูเหมือนรอบนี้พวกเราจะไม่ได้เจอกันเองแน่นอน”
ถังซานเป่าคลี่ยิ้ม
ไม่นานนักรายชื่อก็ปรากฏบนฟ้าเหนือสังเวียนอัจฉริยะ และยังเป็นการประลอง 5 คู่พร้อมกัน หนึ่งในนั้นก็มีหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วย และคู่ต่อสู้ก็มีนามว่า หยวนถง.
ส่วนอีก 4 คู่ที่เหลือ หนึ่งในนั้นก็มีจงกุ้ยอวี่ และคู่ต่อสู้ของจงกุ้ยอวี่ก็เป็นอัจฉริยะที่แทบจะตกรอบก่อนหน้า เรียกว่าผ่านเข้ารอบมาอย่างทุลักทุเล
สุดท้ายหลังจบการประลอง ไม่เพียงแต่คู่ต่อสู้ของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับจงกุ้ยอวี่จะชักสีหน้าขื่นขมเท่านั้น อีก 3 คนที่เป็นฝ่ายแพ้ก็สีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก…เรียกว่าแค่ดูสีหน้าพวกมันก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นทหารเลวที่วิหารเฟิงฮ่าวเลือก
กล่าวได้ว่า 5 คู่ประลองแรก ใช้เวลาไม่ถึง 10 ลมหายใจก็จบลง…
ถึงจะไม่มีใครยอมรับความพ่ายแพ้ แต่พวกมันก็แพ้พ่ายอย่างไว สิ่งนี้ก็ช่วยไม่ได้เพราะคู่ต่อสู้ของพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นเทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป…และในบรรดา 5 ผู้ชนะ หลิงเจวี๋ยอวิ๋ยกับจงกุ้ยอวี่ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้เร็วที่สุด
5 คนที่แข็งแกร่งก็ผ่านเข้ารอบมาอย่างราบรื่น
แน่นอนว่าดุจเดียวกับช่วงแรกของรอบที่ 4 เป็นการผ่านเข้ารอบชั่วคราวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามทุกคนที่ในที่นี้ต่างทราบดี ว่าหากไร้ข้อผิดพลาดอันใด ทั้ง 5 คนที่ชนะมาได้ ก็สมควรผ่านเข้าสู่รอบที่ 6 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้แน่นอน
และในรอบนี้จะมีเพียง 30 คนเท่านั้นที่ผ่านเข้าสู่รอบที่ 6 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้
30 คนที่ว่า ก็จะกลายเป็นอัจฉริยะ 30 คนที่แข็งแกร่งที่สุดในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้
ตามสถิติของศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งก่อนๆ 30 คนที่แข็งแกร่งที่สุดส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเทพสงคราม 4 ดารา บางครั้งทั้ง 30 คนก็อาจเป็นเทพสงคราม 4 ดารากันหมด และหากศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งไหนมีอัจฉริยะมาเข้าร่วมมากเป็นพิเศษเทพสงคราม 4 ดาราที่พลังฝีมืออ่อนด้อย ก็อาจไม่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรกด้วยซ้ำ
ต้องกล่าวว่าเทพสงคราม 4 ดาราแบบนั้นถือว่าโชคร้ายนัก เพราะศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบของมัน ดันมีเทพสงคราม 4 ดาราเกิน 30 คน…
และหากพลังฝีมือของมันต่ำสุดในบรรดาเทพสงคราม 4 ดารา ก็ทำได้แค่โดนคัดออกเท่านั้น
“ลงประลองชุดละ 10 คน..เช่นนั้นแค่ 10 ชุดก็ครบ 100 คนแล้ว”
ในบรรดาอัจฉริยะ 10 ชุดที่ 2 ผู้ที่ชนะทั้ง 5 คนก็มีเทพสงคราม 4 ดารา 4 คน และมียอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดาราคนหนึ่ง…4 คนแรกสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในเวลาอันสั้น ส่วนคนสุดท้ายกว่าจะชนะมาได้ก็หืดจับอยู่บ้าง
เพราะถึงมันจะเป็นยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดารา แต่พอดีคู่ต่อสู้ของมันก็เป็นเทพสงคราม 3 ดาราชนชั้นยอดฝีมือที่ไม่ได้ด้อยกว่ามันมากนัก ทำให้ต้องประมือกันนานพอสมควร
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบจากเวลาที่ใช้ประลองในรอบก่อนๆ ก็ถือว่าได้ผู้ชนะอีก 5 คนในเวลาอันสั้นอยู่ดี
ต่อมาอีก 10 คนชุดที่ 3 ก็ลงสนาม
จากนั้น 10 คนชุดที่ 4 ก็ลงสนาม
ต้วนหลิงเทียนเองก็มีชื่ออยู่ใน 10 คนของชุดที่ 4
และบังเอิญอวี๋ตงฟางศิษย์ที่แท้จริงคนที 3 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียนก็อยู่ในชุดที่ 4 เช่นกัน
แต่เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้ถูกจับคู่ประลองกับต้วนหลิงเทียน
ส่วนอัจฉริยะอีก 2 คนที่โดนจับคู่ประลองกับต้วนหลิงเทียนและอวี๋ตงฟางนั้น สีหน้าเรียกว่ามืดดำปานจะคั้นได้เป็นน้ำหมึก เพราะพวกมันรู้ตัวดีว่าพวกมันมาเป็นตัวประกอบเท่านั้น
และต้วนหลิงเทียนกับอวี๋ตงฟางก็ไม่คิดเสียเวลาอะไร อาศัย 1 กระบวนท่าก็จัดการคู่ต่อสู้ของตัวลงได้ง่ายๆ และหลังจากจบการประลองแล้ว อวี๋ตงฟางก็เลือกจะยืนมองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนที่กลับที่นั่งอย่างไร้แยแสไม่วางตา
“เฮ่ พวกเจ้าดูนั่นดิ…ไฉนสายตาของอวี๋ตงฟางแลดูเขม่นต้วนหลิงเทียนผิดวิสัยแบบนั้นล่ะ?”
“ช่วงเดือนที่ผ่าน มันไปมีเรื่องมีราวอะไรกับต้วนหลิงเทียนมาหรือ?”
สายตาของอวี๋ตงฟางเด่นชัดเกินไป ทำให้อัจฉริยะหลายคนสังเกตเห็นได้ไม่ยาก จึงบังเกิดความสนใจขึ้นมา