ภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว สุดท้ายจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็เลือกที่จะหาทางออกที่ทำให้ทั้งสองไม่อาจโต้แย้ง เลือกใช้ผลอมตะหยวนปะทุเป็นของรางวัลให้ผู้ชนะเลิศศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้เสีย
ด้วยวิธีนี้ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวที่เขม่นกับฉีคงไห่ก็ทำได้แค่ยอมแพ้ โดยยรู้ดีว่าไม่มีหวังสำหรับลูกสาวมันแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับฉีคงไห่แล้ว สิ่งนี้เสมือนจ้าววิหารเฟิงฮ่าวจงใจส่งมอบของรางวัลให้ศิษย์หลานของมันทางอ้อม นั่นก็คือชายหนุ่มเบื้องหน้ามัน และเป็นไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารเฟิงฮ่าวคราวนี้
ฉีคงไห่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ด้านรองจ้าววิหารอีกคนที่แซ่หลิวก็ตระหนักได้เช่นกัน
แต่ในเมื่อจ้าววิหารพูดออกมาแล้ว และเลือกจะให้เรื่องมันยุติเพียงเท่านี้ ตัวมันยังจะพูดอะไรได้อีก
เช่นนั้นอย่างดีก็ได้แต่ลอบอธิษฐาน ขอให้ผู้ชนะเลิศในศึกอัจฉริยะครั้งนี้เป็นคนนอก และช่วงชิงผลอมตะหยวปะทุที่ฉีคงไห่คิดมอบให้ศิษย์หลานไป!
มีแต่เป็นแบบนี้เท่านั้น ใจมันถึงจะยอมรับได้
แน่นอนว่าเรื่องดังกล่าวมันทำได้แค่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกมา เพราะถ้าทะลึ่งพูดออกมาให้ใครได้ยิน ไม่พ้นถูกกล่าวหาว่าเป็นหมาป่าตาขาวคิดเข้าข้างคนนอกต่อต้านคนในแน่
“ผลอมตะหยวนปะทุนั่น ข้าต้องได้มันมา!”
ความฮึกเหินระเบิดขึ้นในแววตาของชายหนุ่ม ตอนนี้ด่านพลังฝึกปรือของมันก็คือจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก หากมันได้ผลอมตะหยวนปะทุมาล่ะก็ มันก็จะทะลวงผ่านได้ทันที บรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศในเวลาอันสั้น จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะฝึกฝนเพื่อทะลวงถึงขอบเขตเทพ!
ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่ประหยัดมาได้ มันก็สามารถนำไปทุ่มเทให้กับการทำความเข้าใจกฏ เพื่อยกระดับพลังต่อสู้ของมันให้สูงขึ้นได้อีกขั้นในเวลาสั้นๆ
“เจ้ากลับไปฝึกของเจ้าเถอะ”
ฉีคงไห่คลี่ยิ้มบางๆ “อย่าได้คิดมากเกินไป จนกดดันตัวเองซะเล่า…สุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น มันก็ถูกลิขิตมาให้เป็นได้แค่หินรองเท้าของเจ้าเท่านั้น!”
ฉีคงไห่ ไว้วางใจในพลังฝีมือของชายหนุ่มเบื้องหน้ามาก
…
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่รู้เลยยว่า ‘ไพ่ตาย’ ของวิหารเฟิงฮ่าวนั้นปรากฏตัวออกมาแล้ว ที่สำคัญอีกฝ่ายยังกังวลเรื่องเขากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่น้อย
ปัจจุบันต้วนหลิงเทียนนั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณหน้าผาแห่งหนึ่งของผาบรรพกาล อุทิศตัวให้กับการทำความเข้าใจกฏมิติ
ถึงแม้ความรู้ความเข้าใจในการใช้กฏมิติที่บันทึกไว้ในผาบรรพกาลแห่งนี้ ในแง่ความลึกล้ำแล้วจะไม่อาจเทียบได้กับผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่เพราะความที่มันง่ายกว่าและไม่ลึกล้ำเท่า จึงทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจได้เพิ่มขึ้น และพบว่ายังมีอีกหลายอย่างที่กฏมิติสามารถทำได้ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมมากก็ตามที
ที่สำคัญคือมีบางอย่างที่เขาสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม มีความลึกซึ้งรวมผสานอีกหลายรูปแบบที่เขายังใช้ไม่ได้ เพราะเขาเองก็ใช่ว่าจะหลอมรวมความลึกซึ้งของกฏมิติได้หมด
ในบรรดาผู้ที่ใช้พลังแห่งกฏทั้งหลาย ต่างคนต่างความคิด วิธีการผสานรวมความลึกซึ้งก็แล้วแต่ความถนัด พลังอำนาจก็มีสูงมีต่ำผสนปนเปกันไป
หากนำความลึกซึ้งที่มุ่งเน้นในการโจมตีเป็นหลักมาผสานรวมกัน พลังอำนาจจู่โจมก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก หาได้ธรรมดาดั่งหนึ่งบวกหนึ่งไม่…และหากนำความลึกซึ้งที่เน้นในด้านโจมตีมาผสานกับความเร็ว ไม่เพียงแต่จะทำให้พลังโจมตีสูงขึ้น แต่ความเร็วในการโจมตีก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นด้วย
การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลายที่แม้จะเชี่ยวชาญในกฏเดียวกัน แต่ยามต่อสู้ลงมือก็ให้ความรู้สึกว่าแตกต่างกันไปโดยสมบูรณ์
‘แบบนี้นี่เอง…ทำแบบนี้ได้ด้วยสินะ’
“ทรงพลังจริงๆ น่าทึ่งนัก!”
…
ต้วนหลิงเทียนที่อุทิศตัวให้กับผาบรรพกาล เรียกว่าเพลินจนลืมเวลา ในหัวมีแต่การทำความเข้าใจกฏมิติเท่านั้น
มุมหนึ่งของผาบรรพกาล ซูหลี่เองก็จมจ่อมในภวังค์จนลืมเลือนเวลาเช่นกัน
เรื่องที่ต้วหลิงเทียนกับซูหลี่เข้าใช้ผาบรรพกาลก่อนใคร ไม่ใช่ความลับสำหรับางคนที่เพ่งเล็งต้วนหลิงเทียนอยู่
อย่างเช่นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไร หรือที่แท้ก็คือพระอาจารย์หมี่เยี่ยนที่ครอบงำจิตมันอยู่ พอรู้เรื่องที่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนอยู่ในผาบรรพกาลใจมันก็เต้นแรงนัก ‘ตอนนี้ฟงชิงหยางเองก็คงไว้วางใจให้มันเข้าใช้ผาบรรพกาลเพียงลำพังแล้วกระมัง?’
‘หากข้าลงมือตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสสำเร็จสูงหรือ?’
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนที่ทราบเรื่องราว ก็บังเกิดความคิดอุกอาจขึ้นมาทันที
อย่างไรก็ตาม ความคิดอุกอาจดังกล่าวพึ่งจะปรากฏขึ้นไม่นาน ก็ถูกมันสลัดทิ้งไป ‘ไม่ได้! เสี่ยงเกินไป…ข้าคิดได้ไฉนฟงชิงหยยางจะคิดไม่ได้ ถึงตอนนี้มันจะไม่อยู่เฝ้าต้วนหลิงเทียน แต่ไม่พ้นต้องฝากฝังเรื่องความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียนไว้กับจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนแน่!’…
‘และด้วยความที่พวกมันสนิทสนมกัน ติงฟู่นั่นไม่พ้นต้องช่วยมันอย่างไม่อิดออดแน่นอน’
‘ดูเหมือนข้าจะทำได้แค่มองหาโอกาสดีๆในภายหลัง’
สำหรับร่างกายของต้วนหลิงเทียน เป็นอะไรที่พระอาจารย์หมี่เยี่ยนไม่คิดจะยยอมแพ้ถอดใจโดยง่าย ร่างอันมีศักยภาพท้าทายสวรรค์แบบนี้ ไม่ว่ามันต้องเสียเท่าไหร่มันก็ต้องชิงมาให้ได้!
ด้วยชีพจรสววรรค์ 99 จุดสาย พรสวรรคดังกล่าว หากไม่มีเหตุผิดพลาดใดๆเรื่องบรรลุถึงขอบเขตเทพก็เป้นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
และด้วยความเข้าใจจตุรวิถีในสวรรค์และโลกถึงขั้นตอนเบื้องต้นนั่น ทั้งๆที่ไม่ว่าจะอย่างไหน หากเข้าใจสักอย่างก็ถือว่าเสมือนได้รับ ‘บัตรผ่าน’ สู่ขอบเขตเทพอยู่แล้ว เช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เข้าใจตั้ง 2 วิถีเลย
“ยังมีเจ้าฟงชิงหยางนั่นอีกคน…หลังจากนี้ร้อยปีรอให้ข้าหายดีก่อนเถอะ ข้าจะไปหาความกับเจ้า! และถึงตอนนั้นหากข้าฆ่าเจ้าได้ ต้วนหลิงเทียนยังจะตค่างอะไรจากปลาบนเขียง รอให้ข้าแล่สับได้ตามใจ!!”
ในขณะที่พระอาจารย์หมี่เยี่ยนพึมพำออกมา สองตามันก็ทอประกายสว่างจ้านัก ราวกับมันได้เห็นฉากฟงชิงหยางถูกฆ่าตาย และต้วนหลิงเทียนไม่อาจหนีชะตากรรมถูกมันชิงร่าง…
…
ด้วยมีเวลา 3 เดือนก่อนที่ศึกอัจฉริยะสวรรค์จะเริ่มต้นขึ้น ทำให้เหล่าอัจฉริยะที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายทั้ง 30 คนพากันรู้สึกกดดันมาก แต่ละคนหลังกลับมาถึงที่พักก็ปิดด่านบ่มเพาะฝึกฝนทันที
สำหรับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ตกรอบไปแล้ว ก็จับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส จ้อเรื่อรอบสุดท้ายของศึกอัจฉริยะไม่หยุด
“ตอนนี้มี 8 คนแล้วที่เปิดเผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 5 ดาราออกกมา…พวกเจ้าว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ จะมีเทพสงคราม 5 ดาราเกิน 10 คนหรือไม่?”
“เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยกันแล้วมั้ง ปกติแล้วก่อนจะถึงรอบสุดท้ายก็มีพวกที่ยังปกปิดพลังฝีมือทั้งนั้น”
“ใช่ ข้าเชื่อว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ มีเทพสงคราม 5 ดารามาเข้าร่วมเกิน 10 คนแน่นอน!”
“แล้วพวกเจ้าว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ใครจะได้ที่ 1?”
“นี่ก็บอกยาก…รอบก่อนหน้าก็ไม่มีเทพสงคราม 5 ดาราคนไหนได้ลงมือเต็มกำลังสักคน อาศัยพลังที่เผยออกจนถึงตอนนี้คงยากจะบอกว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่าใคร”
“แล้วเจ้าว่า จะมีเทพสงคราม 6 ดาราโผล่มาหรือไม่?”
“เทพสงคราม 6 ดารา? เจ้าก็กล้าคิดไปได้! เจ้าทราบหรือไม่ว่าเทพสงคราม 6 ดาราอายุไม่ถึงพันปีเป็นตัวตนเช่นไร? ศึกอัจฉริยะสวรรค์จัดขึ้นทุกๆพันปี แต่เทพสงคราม 6 ดาราอายุไม่ถึงพันนั่น ต่อให้ 10 ศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็ไม่แน่ว่าจะปรากฏขึ้นสักคน!”
“ก็ไม่แน่หรอก ครั้งนี้อาจมีเทพสงคราม 5 ดารามากกว่า 10 คน โอกาสที่จะมีเทพสงคราม 6 ดาราโผล่มาก็มิใช่ว่าจะเป็นศูนย์”
…
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ตกรอบไปแล้วทั้งหลาย ต่างคาดหวังและตั้งหน้าตั้งตารอดูชมการประลองในรอบสุดท้ายของศึกอัจฉริยะสวรรค์นัก
เรียกว่าพวกมันแลดูคึกคักทั้งตื่นเต้นยิ่งกว่า อัจฉริยะ 30 คนที่ผ่านเข้ารอบเสียอีก
วันเวลา 3 เดือนภายใต้สถานการณ์ปกติ สำหรับเหล่าอัจฉริยะที่ถูกคัดออกแล้วคงเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ…ทว่าบัดนี้แต่ละคนล้วนตั้งหน้าตั้งตานับวันรอ ทำให้แลดูเสมือนเนิ่นนานอยู่บ้าง
วันแต่ละวันค่อยๆผันผ่านไป…
หลายคนรู้สึกว่ามันยาวนานเป็นพิเศษ
สุดท้าย ท่ามกลางการเฝ้ารอคอยอย่างใจจดจ่อของเหล่าอัจฉริยะ วันเวลา 3 เดือนที่เสมือนาวนานเป็นพิเศษก็ผันผ่านไปในที่สุด และศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้ายก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
‘พรุ่งนี้ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้ายก็จะเริ่มแล้ว…ไปเรียกซูหลี่ก่อนดีกว่าไม่งั้นเดี๋ยวจะพลาดเอา’
ต้วนหลิงเทียนที่กลับจากผาบรรพกาลได้เดือนกว่า และใช้ผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อทำความเข้าใจกฏมิติรวมถึงมรรคากระบี่มิติในบ้านพัก ลืมตาขึ้นพลางคิดในใจ
ตั้งแต่ 2-3 วันก่อน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ทำความเข้าใจอะไรอีกต่อไป เพียงหลับตาเพื่อผ่อนคลายจิตใจเท่านั้น
เพราะด้วยเวลาที่เหลือเพียงไม่กี่วัน เขารู้ดีว่าคงไม่เกิดความก้าวหน้าอะไรอีกแล้วแน่นอน การย่อยองค์ความรู้ที่ได้รับมาจากก่อนหน้าย่อมช่วยยกระดับความเข้าใจได้มากกว่า ไม่งั้นผลที่ได้ก็คงจะไม่ค่อยดีนัก
“พรุ่งนี้…ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นแล้วรึ?”
ซูหลี่ที่ได้รับข้อความจากต้วนหลิงเทียน ก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ทันที ยังอดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง ด้วไม่คิดว่าวันเวลาจะผ่านพ้นไป 3 เดือนแล้ว
“เจ้ารีบกลับมาเถอะ อย่าพลาดเล่า”
ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความหาซูหลี่อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นซูหลี่ให้กลับมาจากผาบรรพกาล จะได้ไม่พลาดศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้าย…
ถึงแม้ซูหลี่จะพลาดเข้าร่วมและอย่างไรก็ติดอยู่ใน 30 อันดับแน่นอน ทว่าหากไม่พลาดก็ไม่แน่ว่าอันดับของซูหลี่จะหยุดอยู่แค่ 30 และมีโอกาสไม่น้อยที่จะกระเตื้องขึ้น 2-3 อันดับ และนั่นก็ส่งผลให้ซูหลี่เข้าใช้ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวได้นานขึ้น
“ในที่สุดการรอคอยอันยาวนานของข้าก็สิ้นสุดลง…พรุ่งนี้ศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้ายก็จะเริ่มขึ้นแล้ว!”
“ไปกันเถอะ! กลับไปพักผ่อนเอาแรงกัน! พรุ่งนี้จะได้มีเรี่ยวแรงชมดูการประลองที่สมควรน่าตื่นเต้นที่สุดของศึกอัจฉริยะสวรรค์!”
“จริง พวกเรากลับไปพักสักวันก็ดี นี่ก็นั่งรอกันมา 3 เดือนแล้ว”
…
เมื่อศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นพรุ่งนี้ เหล่าอัจฉริยะที่เฝ้ารอมาตลอด 3 เดือน ก็เลือกที่จะไปพักผ่อน และไม่รู้สึกรีบร้อนอะไรอีก
เพราะวันเวลาที่รอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว
พรุ่งนี้เท่านั้น!
….
เมื่ออีกวันผ่านพ้นไป ในที่สุดรอบสุดท้ายของศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็ได้เวลาเปิดฉาก
ตั้งแต่เช้าตรู่ อัฒจันทร์ที่นั่งของสังเวียนยประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็เต็มไปด้วยผู้คน
และแต่ละคนยังแลดูคึกคักจนหน้าแดง ราวกับถูกฉีดเลือดไก่เข้าเส้น ตื่นเต้นยิ่งกว่าผู้จะลงแข่งเสียอีก
จะอย่างไรพวกมันทั้งหมดก็เป็นแค่ ‘ผู้ชม’ เท่านั้น สุดท้ายตัวเอกของศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบสุดท้ายก็ยังไม่มา…และเหล่าจักรพรรดิสวรรค์ รวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็ยังไม่มีใครมา
ไม่ใชว่าคนพวกนั้นมาสายอะไร แค่เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายมากันเร็วเกินไป ทำราวกักลัวจะพลาดอะไรสักอย่างไป
ราวๆครึ่งชั่วยามต่อมา ใรที่สุดคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็เริ่มยทอยกันมาถึง
จากนั้นจักรพรรดิสวรรค์ก็ปรากฏตัวทีละคนๆ
ต่อมาอัจฉริยะไม่กี่สิบคนที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายก็เดินทางมาถึง และแต่ละคนที่มาก็ดึงดูดความสนใจผู้คนทั้งหลาย…โดเฉพาะผู้เข้ารอบที่เด่นๆ
เรียกว่าเมื่อต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และถังซานเป่ามาถึงสนมประลองพร้อมๆกัน ก็ทำให้ผู้คนที่เฝ้ารอฮือฮากันยกใหญ่
“พวกต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มากันแล้ว!”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับถังซานเป่าก็มา!”
“ในปัจจุบันยังพึ่งมีแค่ 8 คนเท่านั้นที่เปิดเผยพลังระดับเทพสงคราม 5 ดาราออกมา…แตกลุ่มเล็กของพวกมันกลับมีถึง 3 ให้ตายเถอะ…น่าทึ่งเกิน!”
…
เรียกว่าการมาถึงของต้วนหลิงเทียนกับพวก ประสบความสำเร็จในการดึงดูดความสนใจของผู้ชมอย่างล้นหลาม