ตอนที่ 3497 ไพ่ตาย ของวิหารเฟิงฮ่าว

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ถึงแม้อวี๋ตงฟางจะเข้าใจคำพูดของกงซุนซวนหยวน หากแต่มันก็ไม่คิดจะเลิกราง่ายๆ “จะอย่างไรเสี มันก็ลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะตอบแทนบุญคุณท่านอาจารย์ แต่ทั้งๆที่ข้าเตือนมันแล้วทว่ามันยังเล่นลิ้นไม่เลิก เห็นชัดว่าไม่ได้ต่างอะไรจากไม่เห็นหัวท่าน!”
  “ยามนั้น มันทราบดีว่าท่านอาจารย์ต้องการให้มันชดใช้บุญคุญ แต่มันกลับเลือกเล่นลิ้น”
  กล่าวถึงจุดนี้ สองตาอวี๋ตงฟางก็ฉายแววดุร้ายนัก ทั่วร่างยังปรากฏกลิ่นอายเย็นชา พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนฤดูหนาวมาเยือน
  กงซุนซวนหยวนได้แต่ส่ายหัวไปมา แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความ
  ถึงแม้จนบัดนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าศิษย์ของมันออกมา
  อย่างไรก็ตาม มันรู้สึกมาตลอดว่าต้วนหลิงเทียนยังซุกซ่อนพลังอันน่ากลัวเอาไว้
  สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการสังเกตุ แต่เป็นสัญชาตญาณ
  อย่างไรก็ตามเพื่อรักษาขวัญกังใจของศิษย์ กงซุนซวนหยวนย่อมไม่คิดกล่าวออกมาเพื่อบั่นทอน เพียงเปลี่ยนหัวข้อแล้วหันไปคุยเรื่องการฝึกฝนแทน สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือพยายามเข้าใจมรรคากระบี่ที่คลำทางพบเจอวาบหนึ่ง เพื่อบรรลุถึงให้ได้
  ถึงตอนนั้นต่อให้มันต้องประมือกับ ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน อันดับ 4 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ มันก็ไม่กลัว!
  ติงฟู่นั้น เป็นเพราะอีกฝ่ายเข้าใจวิถีกลืนกิน 1 ในจตุรวิถีแห่งฟ้าดินถึงขั้นตอนเบื้องต้น ทำให้มีความแข็งแกร่งได้อย่างทุกวันนี้ ขอเพียงมันกงซุนซวนหยวนเข้าใจมรรคากระบี่ของตัวเองบ้าง มันก็จะไม่อ่อนด้อยไปกว่าติงฟู่ทันที และมั่นใจว่าจะสู้กับติงฟู่ได้ทันที
  แต่เป็นธรรมดาว่าหากคิดจะเอาชนะติงฟู่ ก็คงต้องบรรลุความเข้าใจให้เหนือกว่าขั้นตอนเบื้องต้น
  “ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในเชิงกระบี่อย่างแท้จริง มันพึ่งได้พบเจอกับฟงชิงหยางมาแค่ 100 ปีเท่านั้น เรียกว่าเวลาที่มันได้รับคำชี้แนะของฟงชิงหยางก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่มันกลับเข้าใจมรรคากระบี่มิติของตัวเองแล้ว”
  กงซุนซวนหยวนกล่าวอย่างทอดถอนใจ “จุดนี้เจ้าสู้มันไม่ได้จริงๆ”
  “แต่ทั้งหมดเป็นเพราะอาจารย์เองก็เทียบฟงชิงหยางไม่ได้ เพราะข้ายังไม่สำเร็จมรรคากระบี่ของตัวเองด้วยซ้ำ…”
  ได้ยินวาจาเสียงอ่อนของกงซุนซวนหยวน อวี๋ตงฟางก็เร่งส่ายหัวพลางกล่าว “ท่านอาจารย์ทุกคนล้วนมีโชคชะตาเป็นของตัวเอง ผู้ใดจะไปรู้ว่าที่ฟงชิงหยางพบเจออะไรมาถึงบรรลุมรรคากระบี่ทำลายล้างได้อย่างวันนี้?”
  “ยิ่งไปกว่านั้น มันที่รอดกลับออกมาจากนรกอสุราได้ ไม่ทราบไปพบพานการผจญภัยยิ่งใหญ่อันใดมา ถึงได้บรรลุขอบเขตเทพอย่างทุกวันนี้”
  อวี๋ตงฟางกล่าว
  “บางครั้งโชคก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน”
  กงซุนซวนหยวนส่ายหัวไปมา มันไม่คิดอ้างโชคชะตาวาสนาอะไรเพื่อปลอบใจตัวเองทั้งนั้น “ตอนนี้ข้าด้อยกว่ามันแล้ว นี่คือความจริง”
  “ท่านอาจารย์ ตอนนี้แม้ท่านจะด้อยกว่ามัน…แต่ 3 เดือนหลังจากนี้ ในรอบสุดท้ายของศึกอัจฉริยะสวรรค์ ข้าจะให้ทุกคนได้รับทราบ ว่าศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน เหนือล้ำกว่าศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน”
  อวี๋ตงฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  …
  ศึกอัจฉริยะที่มีอัจฉริยะจากทั่วทุกสารทิศมาเข้าร่วมครั้งนี้ ทางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ก็จัดที่พักให้อย่างดี และมีสถานที่พักสำหรับแขกถึง 3 แห่ง
  แห่งหนึ่งไว้ให้เหล่าอัจฉริยะพัก
  อีกแห่งก็มีไว้ให้เหล่าจักรพรรดิสวรรค์พัก
  ส่วนแห่งสุดท้ายก็มีไว้ให้คนของวิหารเฟิงฮ่าวโดยเฉพาะ
  ’
  ในฐานะที่เป็นผู้กำกับควบคุมการประลอง ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก กระทั่งยังมีฐานะสูงที่สุดในบรรดาคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่มาคราวนี้ ไม่เพียงแต่ฉีคงไห่จะมีที่พักเท่านั้น ยังมีความเป็นส่วนตัวสูงมาก
  ณ หุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง อันเป็นสถานที่พักที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนจัดให้ฉีคงไห่
  ปุจจุบัน ฉีคงไห่กำลังนั่งจัดสมาธิกลางอากาศเบื้องหน้าน้ำตกเล็กๆข้างหุบเขา คนหลับตาเงียบงัน ไม่ทราบว่าที่แท้พักผ่อนหรือกำลังบ่มเพาะพลังกันแน่
  ฟุ่บ!
  ทันใดนั้นเอง บังเกิดร่างหนึ่งวูบมาหยุดไม่ห่างจกาฉีคงไห่มากนัก ผู้มาใหม่อันมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มยังคารวะทักทายฉีคงไห่ว่า “อาจารย์อาฉี”
  “เจ้ามั่นใจหรือไม่?”
  พอฉีคงไห่ลืมตาขึ้นมา ก็ยิงคำถามนี้แก่ผู้มาใหม่ทันที
  “หากพลังฝีมือของพวกมันมีเท่าที่เผยออกมาให้เห็น ข้ามั่นใจเต็ม 10 ส่วน”
  ร่างชายหนุ่มกล่าวตอบอย่างมั่นใจ
  “ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยย ที่จะปรากฏเทพสงคราม 6 ดาราคนที่ 2…”
  ฉีคงไห่กล่าว “หากไม่มีอะไรผิดพลาดเจ้าต้องได้อันดับที่ 1 แน่…พวกมันอย่างดีก็อาจเป็นได้แค่ยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราเท่านั้น ไม่น่าใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าได้”
  “อาจารย์อาฉี ข้าไม่กล้ามองโลกในแง่ดีขนาดนั้นหรอก”
  ชายหนุ่มส่ายหัวพลางกล่าว
  “ทำไม? เจ้ารู้สึกถึงอันตรายรึ?”
  ฉีคงไห่แลดูแปลกใจไม่น้อย “เป็นผู้ใด?”
  “มี 2 คน”
  สองตาชายหนุ่มทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “เป็นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น?”
  “พวกมัน?”
  ฉีคงไห่อึ้งไปครู่หนึ่ง ค่อยถามด้วยสงสัยว่า “ไฉนถึงเป็นพวกมันไปได้ หากเจ้าบอกว่า อวี๋ตงฟาง จงกุ้ยอวี่ เย่ตงลี่ข้าจักไม่แปลกใจเลย…ทว่าเป็น 2 คนนั่นที่ทำให้เจ้ารู้สึกอันตรายรึ?”
  “ต้วนหลิงเทียนนั่น เจ้าก็ทราบว่ามันมีอายุได้ 600 ปีเศษ การบรรลุถึงระดับเทพสงคราม 5 ดาราได้ในวัยเพียงเท่านี้ก็ไม่เลวแล้ว ถึงแม้มันจะเข้าใจ 2 ใน 4 วิถีแห่งสวรรรค์และโลก แต่จากคำกล่าวหนึ่งใจไม่อาจทำสองสิ่ง ข้าคิดว่าความสำเร็จในกฏมิติของมัน ก็มีเท่าที่เห็นเท่านั้น”
  ขณะกล่าวถึงต้วนหลิงเทียน สองตาฉีคงไห่ก็ฉายประกายลี้ลับขึ้นมาวูบวาบ แฝงไว้ด้วยสีสันแห่งความโลภอันยากจะมองเห็น
  “อ่า”
  ชายหนุ่มพยักหน้า ที่ฉีคงไห่สื่อ มันก็เข้าใจ
  “แล้วหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น เจ้ารู้สึกถึงอันตรายมากหรือไม่…ว่าแต่เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันอายุเท่าใด?”
  ฉีคงไห่เอ่ยถามออกมาติดๆ
  “มันเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้ เช่นนั้นอย่างน้อยๆก็ต้องมีอายุไม่ถึงพันปี ท่านอาจารย์อาฉี ท่านคไม่คิดจะบอกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่น ที่จริงอ่อนกว่าต้วนหลิงเทียนและซูหลี่หรอกนะ”
  ชายหนุ่มย้อนถาม
  “ไม่น้อยกว่า แต่มันก็มีอายุไล่เลี่ยกับต้วนหลิงเทียนและซูหลี่”
  สองตาฉีคงไห่ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง กล่าวเสียงดังฟังชัด
  “ฟืด!”
  แทบจะทันทีที่ได้ยินคำตอบของฉีคงไห่ ชายหนุ่มอดสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้ ใบหน้ามันบัดนี้ฉายชัดถึงความตกตะลึง แววตายังเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ กจะสงบใจลงได้อยู่นาน
  “อาจารย์อาฉี เรื่องนี้ท่านทราบได้อย่างไร?”
  ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่าน ได้ข้อมูลมาไม่ผิดแน่หรือ?”
  ไม่ว่าจะเป็นต้วนหลิงเทียนหรือซูหลี่ การที่ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้ได้ด้วยวัยดังกล่าว ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจมากแล้ว
  แต่ตอนนี้อาจารย์อาฉีของมัน กลับบอกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเองก็อายุไล่เลี่ยกับทั้งคู่?
  “เจ้าสมควรรู้แล้วว่านอกจากคนที่มากับพวกจักรพรรดิสวรรค์ ล้วนแล้วแต่มาเข้าร่วมการประลองพร้อมคนของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาต่างๆ และทั้งหมดผ่านการทดสอบของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาต่างๆมาแล้วทั้งสิ้น”
  “กับอัจฉริยะที่มากับพวกจักรพรรดิสวรรค์ ไม่มีผู้ใดถูกตรวจสอบอายุกระดูกก่อน ทว่าหลังจบศึกอัจฉริยะสวรรค์หากพวกมันติดอันดับ จึงจะถูกตรวจสอบอายุกระดูกเพื่อยืนยัน…”
  “ทว่าปกติแล้วคนที่มาเข้าร่วมการประลองพร้อมกับวิหารเฟิงฮ่าวสาขา ไม่เพียงพลังฝีมือถึงเกณฑ์เท่านั้นแต่พวกมันล้วนผ่านการตรวจสอบอายุกระดูกตั้งแต่แรก และโดยปกติแล้วคงไม่มีใครติดสินบเพื่อโกงอายุแน่นอน กระทั่งคนของวิหารเฟิงฮ่าวเราก็ไม่เคยปล่อยให้ใครทำเช่นนั้น”
  “คนของจักรพรรดิสวรรค์นั่น ถึงแม้พวกมันอาจโกงอายุมาเข้าร่วม อย่างไรก็ตามหากติดอันดับการประลองแล้วมาตรวจพบว่าโกงอายุภายหลัง ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงเท่านั้น จึงไม่มีใครคิดจะโกงอายุแต่แรก”
  ฉีคงไห่กล่าว
  “หากหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมากับคนของจักรพรรดิสวรรค์คนไหนสักคน ข้าคงากจะล่วงรู้อายุกระดูกของมันได้…”
  “แต่ปัญหาคือมันไม่ได้มากับคนของจักรพรรดิสวรรค์ แต่มากับคนของวิหารเฟิงฮ่าวเราเอง”
  “และวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียน ก็ได้ตรวจสอบแน่ชัดแล้ว ว่าอายุกระดูกของมันยังไม่ถึง 700 ปี”
  “แน่นอนว่าข้อมูลเท่าที่วิหารเฟิงชิงเทียนล่วงรู้คือ มันมีพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 3–4 ดาราเท่านั้น ก่อนหน้าที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 5 ดาราออกมา ก็ทำให้พวกมันตกใจกลัวแทบตาย”
  “คนสองคนที่อายุไม่ถึง 700 ปี…เจ้าคิดว่าพวกมันจะเป็นภัยคุกคามเทพสงคราม 6 ดาราเช่นเจ้าได้รึ?”
  กล่าวถึงท้ายประโยค ฉีคงไห่ก็มองจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาลึกซึ้ง “เจ้ากังวลมากเกินไปหรือไม่ ถึงแม้เจ้าจะกังวลก็ไม่น่าจะกังวลเรื่องพวกมันสองคน”
  “อายุของพวกมันทั้งคู่ยังน้อยเกินไป แค่บรรลุพลังระดับเทพสงคราม 5 ดาราก็ถือว่าท้าทายสวรรค์ยิ่งแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะเป็นเทพสงคราม 6 ดาราไปได้”
  ขณะกล่าว น้ำเสียงของฉีคงไห่ก็ดังชัดถ้อยชัดคำนัก เห็นได้ง่ายๆว่ามันมั่นใจเรื่องนี้อย่างมาก
  “ข้าก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนั้น”
  ชายหนุ่มพยักหน้า “แต่ ความรู้สึกที่ข้าสัมผัสได้จากพวกมัน ต่างจากคนอื่นๆจริงๆ…อาจารย์อาฉี ท่านเองก็สมควรได้ยินท่านอาจารย์ข้ากล่าวบอกมาแล้ว ว่าตัวข้านั้นมีสัญชาตญาณพิเศษตั้งแต่เกิด”
  “และสัญชาตญาณดังกล่าว ก็ทำให้ข้ารอดชีวิตในสมรภูมิ 9 ยมโลกมาแล้วหลายครั้งหลายครา”
  ฟังจากที่ชายหนุ่มพูด เห็นได้ชัดว่ามันเข้าไปฝึกฝนผลักดันตัวเองในสมรภูมิ 9 ยมโลกมาไม่น้อย
  “เรื่องสัญญชาตญาณของเจ้าข้าเคยได้ยินมาแล้ว…แต่สัญชาตญาณบางคราก็ผิดพลาดได้ หรือว่าสัญชาตญาณของเจ้าไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง?”
  ฉีคงไห่ย้อนถาม
  ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย “บางครั้งเมื่อสัญชาตญาณของข้ามันร้องเตือนว่าอันตราย ข้าก็เร่งรุดหลบหนีไปทันที และไม่เคยย้อนกลับมาชมดูเลยว่ามันมีอันตรายจริงๆรึเปล่า?”
  “เพราะจากสถานการณ์มันไม่เอื้อให้ข้าย้อนกลับมาตรวจสอบเรื่องราว…”
  “อย่างไรก็ตาม มีครั้งหนึ่งที่ข้าพบว่าสัญชาตญาณของข้าผิดพลาดจริงๆ”
  ชายหนุ่มกล่าว
  “เช่นนั้นก็มิใช่ว่าได้คำตอบแล้วหรือ? สัญชาตญาณมิใช่ทุกอย่าง”
  ฉีคงไห่กล่าว
  “ข้าก็หวังว่างั้น”
  ชายหนุ่มพยักหน้า
  “ยิ่งไปกว่านั้นให้ถอยไปหมื่นก้าว แม้ว่าพวกมันทั้งคู่จะเป็นเทพสงคราม 6 ดาราแล้วอย่างไร? อย่างดีพวกมันก็พุ่งมีพลังแตะระดับเทพสงคราม 6 ดาราเท่านั้น”
  ฉีคงไห่กล่าว
  “อืม”
  ชายหนุ่มพยักหน้า “ก็จริงของท่าน เทพสงคราม 6 ดาราเช่นนั้น ก็ถือว่าเป็นเทพสงคราม 6 ดาราแต่ในนาม”
  “แม้จะถือว่าอยู่ในระดับเทพสงคราม 6 ดารา แต่ก็อ่อนด้อยที่สุดในบรรดาเทพสงคราม 6 ดาราด้วยกัน…แม้แต่เทพสงคราม 6 ดาราทั่วๆไป ก็จัดการพวกที่พึ่งก้าวเข้าสู่ระดับเทพสงคราม 6 ดาราได้ง่ายๆ”
  ฉีคงไห่คลี่ยิ้มไร้เฉยเมย “เจ้าสบายใจได้ 3 เดือนหลังจากนี้ เจ้าต้องชนะเลิศแน่นอน และของรางวัลสำหรับผู้ชนะอันดับ 1 ในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้อย่างผลอมตะหยวนปะทะ ต้องตกอยู่ในมือเจ้าแน่ ด้วยวิธีนี้ต่อให้หลานสาวขอรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักผู้นั้นจะละโมบผลอมตะหยวนปะทุเพียงไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดแย่งชิงกับเจ้า”
  ผลอมตะหยวนปะทุนนั้นมีค่ามาก และวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักก็พึ่งได้มาผลเดียวเท่านั้น
  อย่างไรก็ตามเมื่อรู้ว่าได้รับผลอมตะหยวนปะทุมา เหล่าระดับสูงๆของวิหารเฟิงฮ่าวก็โต้เถียงแย่งชิงกันใหญ่ เพื่อให้ได้รับมันมาสำหรับลูกหลานหรือศิษย์ของตัวเอง
  ในบรรดาคนที่อยากได้ผลอมตะหยวนปะทุ ก็มีรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอีกคนที่เป็นคู่แข่งของฉีคงไห่ และเขม่นกันมาตลอดหมายตาผลอมตะหยวนปะทุด้วย! แน่นอนว่าฉีคงไห่ก็ไม่คิดให้มันได้ของไปง่ายๆ เช่นนั้นพอ 2 รองจ้าววิหารเช่นพวกมันปะทะฝีปากยกอ้างเหตุผลของตัวเองขึ้นมา คนอื่นๆที่ฐานะต่ำกว่าก็เริ่มถอดใจกันแล้ว
  สุดท้ายพอมันกับอีกฝ่ายก็ถกเถียงกันยกใหญ่ ยกอ้างความดีความชอบในอดีตมาข่มกันไม่หยุด คนอื่นที่ผลงานไม่สู้ไหนเลยยังจะกล้าแทรก! สุดท้ายก็กลายเป็นจับตาดูว่ารองจ้าววิหารทั้ง 2 ที่แท้ใครจะแน่กว่ากันแทน…
  เช่นนั้นจากการถกเถียงว่าใครจะได้ผลอมตะหยวนปะทุมาครอง ก็ได้ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต พัวพันไปถึงหน้าตาและศักดิ์ศรี ถึงขั้นไม่มีใครคิดจะยอมใคร…