“นั่นมิใช่หลิงเจวี๋ยอวิ๋น! แต่เป็นร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น!!”
ทันใดนั้น ก็มีอัจฉริยะตระหนักถึงเรื่องนี้เพิ่มขึ้น
ร่างแยกแห่งความตาย ยังเป็นที่รู้จักกันในนามร่างแฝดแห่งความตาย เป็นหนึ่งในความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย
ตอนนี้หลังจากมองออกว่านั่นคือร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หลายคก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง “แล้วมันทำได้อย่างไรกัน? ก่อนหน้าข้าไม่เห็นมันจะใช้ร่างแยกแห่งความตายออกมาตอนไหนเลย?”
“เหลวไหล! หากกระทั่งเจ้ายังเห็น เจ้าคิดว่าหวงเฉวียนอันจะโง่พอใช้แปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดใส่ร่างแยกแห่งความตายของมันหรือไร? กระทั่งหวงเฉวียนอันยังถูกหลอก!!”
“นี่มันกลวิธีผีสางอันใด? ต่อให้เป็นเทพสงคราม 6 ดาราหรือเหนือกว่านั้น ให้เชี่ยวชาญกฏแห่งความตายมากแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าจะซ่อนร่างที่แท้จริงไว้ในร่างแยกแห่งความตายได้ไม่ใช่รึไง? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทำได้ง่ายดายโดยที่ไม่มีใครมองออกแบบนี้อีก?”
“ข้าว่ามันสมควรใช้วิชาลับอะไรบางอย่าง!”
…
ร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นสมควรพึ่งปรากฏขึ้นเมื่อครู่หยกๆ เพราะในตอนที่หวงเฉวียนอันใช้การผนึกห้วงเวลา ดูเหมือนจะยังไม่ได้ปรากฏออกมา อย่างน้อยๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ถูกหยุดเวลาก่อนหน้า ก็ดูไม่หมือนร่างแยกแห่งความตายแม้แต่นิดเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากหวงเฉวียนอันใช้ออกด้วยแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิด ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กลายเป็นร่างแยกแห่งความตายเสียอย่างนั้น…
กลวิธีแบบนี้อย่าว่าแต่เทพสงคราม 5 ดารา ให้เป็นเทพสงคราม 6 7 8 หรือกระทั่ง 9 ดารา ต่อให้เชี่ยวชาญกฏแห่งความตายแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่าจะกระทำได้
เพราะร่างแยกแห่งความตายนั้น ปกติแล้วจะแยกตัวออกมาจากร่างต้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาแทนที่ร่างหลัก ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่ร่างหลักจะสวมเปลือกร่างแยกแห่งความตายแบบนี้!
ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ใช้วิธีสวมเปลือกร่างแยกแห่งความตายชัดเจน ให้ร่างแยกแห่งความตายปรากฏตัวออกมา รับแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดของหวงเฉวียนอันได้อย่างไร้เรื่องราว…สำหรับการผนึกแข็งห้วงเวลาก่อนหน้า ไม่อาจต้านทานได้จริงๆ
“นอกจากแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิด เจ้ายังมีลูกไม้อันใดอีกหรือไม่?”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ดวงตาสีแดงฉานปานก้อนเลือดของร่างแยกแห่งความตายหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็จางหายไป หวนกลับคืนสู่สภาพเดิม ราวกับมันสามารถสลับตัวกับร่างแยกแห่งความตายได้อย่างอิสระ!
“หยุด!”
แทบจะพอดีกับที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวจบคำ ไม่ทันที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะได้ตอบสนองสิ่งใด หวงเฉวียนอันก็ใช้การผนึกแข็งห้วงเวลาอีกครั้ง สามารถผนึกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไปพร้อมกับห้วงเวลาโดยรอบได้เช่นเดิม
และหลังจากกักขังร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้สำเร็จ ลูกตาของหวงเฉวียนอันก็ปรากฏแสงพลังพุ่งออกมาอีกรอบ
จังหวะนี้ทุกผู้คนจึงได้เห็นกันชัดถนัดตา!
ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่แสงพลังแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดของหวงเฉวียนอันจะชำแรกเข้าร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ดวงตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็กลับกลายเป็นสีแดงฉานในบัดดล!
“เปล่าประโยชน์”
หลังจากพลังของแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดจมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้เรื่องราวไม่ต่างหนึ่งหินร่วงตกลงมหาสมุทร ร่างแยกแห่งความตายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็หวนคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง คนมองจ้องหวงเฉวียนอันด้วยสายตาเฉยเมย “ไม่ว่าเจ้าจะพยายามผสานใช้ผนึกห้วงเวลากับแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดกี่ครั้ง เจ้าก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้”
แม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะพูดออกมาแบบนั้น แต่หวงเฉวียนอันก็ไม่เชื่อ มันพยายามลงมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายการลงมือของมันทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์
“เจ้าคงใกล้หมดแรงแล้วกระมัง?”
เมื่อร่างจริงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปรากฏขึ้นอีกครั้ง สายตาแหลมคมก็มองจ้องไปยังหวงเฉวียนอันที่สีหน้าซีดลงเล็กน้อย “แปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิด…ถึงแม้จะดูลี้ลับอัศจรรย์ ทว่าการใช้แต่ละครั้งก็สิ้นเปลืองพลังวิญญาณมากโข”
“ตอนนี้เจ้ายังจะใช้มันได้อีกกี่ครั้งกันเล่า? 2 ครั้ง หรือ 3 ครั้งก่อนที่พลังวิญญาณเจ้าจะแห้งเหือด?”
“น่าเสียดาย แต่ถึงตาข้าลงมือบ้างแล้ว”
พอกล่าวจบคำ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที
ในระหว่างนี้หวงเฉวียนอันที่ไม่คิดยอมแพ้ก็ได้ใช้ผนึกห้วงเวลาอีกครั้ง เพื่อตรึงร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาไว้กลางทาง แต่หลังจากหยุดหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้แล้วมันก็ไม่ได้ใช้แปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดอีก เลือกจะระเบิดพลังทั้งหมดแล้วพุ่งเข้าไปจู่โจมใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นโดยตรง!
อนิจจายามกระบวนท่าที่ทุ่มพลังทั้งหมดของมันกำลังจะกระทบถูกร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานซะก่อน และรับการโจมตีด้วยร่างกายเอาไว้ดื้อๆอย่างไร้เรื่องราว เสมือนพลังทั้งหมดของหวงเฉวียนอันเป็นแค่สายลมเย็นๆอย่างไรอย่างนั้น
“พวกที่เก่งในกฏเวลาเช่นเจ้า พลังโจมตีนั้นค่อนข้างธรรมดาอย่างยิ่ง…กระทั่งร่างแยกแห่งความตายของข้าไม่ได้ใช้พลังป้องกันอื่นใด ก็ยืนให้เจ้าตีได้ทั้งวัน…”
ร่างจริงหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเริ่มลงมือสืบต่อ
ถึงแม้หวงเฉวียนอันจะเก่งกฏเวลาแค่ไหน แต่เมื่อเจอหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่สามารถสลับสับเปลี่ยนร่างจริงกับร่างแยกแห่งความตายได้ตามใจชอบ ราวกับผู้อื่นเกิดมาเป็นดาวข่มมันโดยเฉพาะ หวงเฉวียนอันก็รู้สึกถึงความอับบจนหนทางเป็นครั้งแรก…
สุดท้ายแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะไม่ได้เผยพลังระดับเทพสงคราม 6 ดาราออกมา กระทั่งยังไม่ได้ใช้พลังของเทพสงคราม 5 ดาราออกมาถึงขีดสุดเหมือนก่อนหน้า ก็สามารถเอาชนะหวงเฉวียนอันที่สุดท้ายทำได้แต่วิ่งหนีได้ง่ายๆ
จนกระทั่งหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอาชนะหวงเฉวียนอันได้แล้ว เหล่าผู้ชมทั้งหลายไม่เว้นฉีคงไห่ที่เป็นประธานควบคุมการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็ยังอื้ออึงกับเรื่องราวไม่อาจดึงสติกลับคืนมา…
“หลิง…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นชนะแล้ว?”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้จะร้ายกาจเกินไปหน่อยไหม? ไม่ใช่เทพสงคราม 6 ดาราด้วยซ้ำ แต่กลับเอาชนะหวงเฉวียนอันได้? ไหนใครบอกหวงเฉวียนอันอยู่ยงคงกระพันใต้เทพสงคราม 6 ดารา?”
“เรื่องนี้จะให้หวงเฉวียนอันทำอะไรได้เล่า หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเล่นสลับสับเปลี่ยนระหว่างร่างจริงกับร่างแยกแห่งความตายได้แบบนั้น แถมร่างแยกแห่งความตายก็ไร้ชีวิตย่อมไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดเลย อีกทั้งพลังป้องกันก็สูงล้ำอีก…เห็นได้ชัดว่าเป็นดาวข่มกฏแห่งเวลาชัดๆ ถึงขั้นเอาชนะหวงเฉวียนอันได้ทุกทาง!”
“ให้ตายเถอะ! นั่นมันวิชาลับอันใดกันแน่!?…”
…
ตอนนี้ไม่ว่าจะเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ หรือแม้แต่เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ ไมเว้นแม้แต่อาวุโสหรือชนชั้นจ้าววิหารสาขาย่อยของวิหารเฟิงฮ่าว ล้วนจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตาเป็นมัน! สงสัยว่าที่แท้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นใช้เคล็ดวิชาผีสางอะไรกันแน่!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ใช้กฏแห่งความตายด้วยแล้ว แต่ละคนมองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาเร่าร้อนปานจะกลืนกิน! เพราะถ้าพวกมันได้เคล็ดวิชาลับเช่นนี้มาบ้าง พวกมันก็จะทรงพลังขึ้นไปอีกระดับ!!
ตอนนี้ ภายใต้เทพสงคราม 6 ดารา นับว่าคงยากจะหาผู้ใดต่อกรกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้จริงๆ
สลับสับเปลี่ยนระหว่างร่างแยกแห่งความตายกับร่างจริง วิชาลับพรรค์นี้มันท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!!
สิ่งนี้ยังต่างอะไรกับสวมใส่ชุดป้องกันที่ทรงพลังอย่างยิ่งยวด? เพราะต่อให้ถูกทำลายไปก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อร่างต้นแม้แต่น้อย…
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ที่แท้เจ้าใช้วิชาลับอันใดกันแน่?”
ถึงแม้จะรู้สึกว่วาการยิงคำถามออกไปในลักษณะนี้จะอุกอาจและหน้าด้านอยู่บ้าง แต่ฉีคงไห่ก็เลือกจะกล่าวถามออกมาเสียงดัง ไม่รอให้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเหินร่างกลับไปยังอัฒจันทร์ที่นั่ง ทำให้สายตามากมายหลายคู่จับจ้องมองมาที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเขม็งทันที
“ไม่ใช่วิชาลับอะไรทั้งนั้น”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่โดนฉีคงไห่จี้ถาม ก็หันกลับมากล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาไร้แยแส “สายเลือดของตระกูลที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้า ทำให้ข้ามีความสามารถพิเศษเช่นนี้…นอกจากนั้นยังกล่าวได้ว่าคนของตระกูลข้ากว่า 9 ส่วนยังเข้าใจกฏแห่งความตายและทำแบบข้าได้ตามธรรมชาติ ทั้งหมดเพราะสายเลือดของพวกเรามีกฏแห่งความตายแฝงอยู่…”
ไม่ใช่วิชาลับ?
คำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นย่อมทำให้หลายคนผิดหวังทันที แต่ก็มีหลายคนที่สงสัยว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังโกหก “เหอะๆ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่กล้ายอมรับออกมาว่าเป็นวิชาลับอันใด แต่ยกอ้างเรื่องสายเลือดออกมาเช่นนี้…เห็นได้ชัดว่ามันกำลังคิดป้องกัน ไม่ให้ใครจ้องจะขโมยวิชาลับของมัน!!”
“มีกฏแห่งความตายไหลเวียนในสายเลือด!?”
ทว่าด้านฉีคงไห่กับจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาต่างๆ ไม่เว้นจักรพรรดิสวรค์บางคน พอได้ยินคำพูดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สองตาก็หดหยีเล็กลงทันที
เพราะพวกมันกำลังนึกถึงตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นอย่างที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพูด
และตระกูลดังกล่าวผู้คนในตระกูลกว่า 9 ส่วน ก็มีกฏแห่งความตายแฝงอยู่ในสายเลือดจริงๆ!
“ตระกูลนั้น…ดูเหมือนจะแซ่…”
ทันใดนั้นพอฉีคงไห่มองไปยังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้ง สองตาก็เบิกกว้าง กล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเจ้า…ท่าน หรือว่าท่านเป็นคนของตระกูลอวิ๋นจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ!?”
“หืม? นี่เจ้ารู้จักตระกูลหลิงของพวกเราด้วยรึ?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเหลือบมองฉีคงไห่ด้วยสายตาประหลาดใจอยู่บ้าง ต้องทราบด้วยว่าตระกูลอวิ๋นของมันได้เร้นกายมานานปีแล้ว จนกลายเป็นตระกูลลับตระกูลหนึ่งในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพก่อนที่จะล่มสลายมาเนิ่นนาน กล่าวได้ว่าตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องก็ไม่ค่อยมีคนตระกูลอวิ๋นปรากฏตัวในที่สาธารณะเท่าไหร่…
‘มัน…มันถึงกับมาจากกตระกูลอวิ๋นจริงๆ!!’
และคำตอบของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ทำให้ลูกตาฉีคงไห่หดเล็กลงเร็วไว หลังจากดึงสติกลับมาแล้ว มันก็เร่งประสานมือโค้งคารวะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างนอบน้อมทันที “นายน้อยหลิง ก่อนหน้านี้เป็นข้าน้อยโง่เขลาไม่ทราบความเป็นมาของท่าน หากข้าน้อยเสียมารยาทอันใดขอท่านโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย…”
นอกจากจักรพรรดิสวรรค์เพียงหยิบมือกับคนเก่าคนแก่ของวิหารเฟิงฮ่าวไม่กี่คนที่รู้จักตระกูลหลิงของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพแล้ว คนอื่นๆที่ไม่รู้พอเห็นฉีคงไห่ประสานมือโค้งคารวะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างนอบน้อมก็อดตกใจกันไม่ได้!
ฉีคงไห่เป็นใคร?
นั่นคือรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก!
เป็นตัวตนขอบเขตเทพอันทรงพลัง!!
อย่างไรก็ตาม บัดนี้ตัวตนดังกล่าวกำลังโค้งหัวทำความคารวะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยท่าทีเรียบๆร้อย ยังเรียกหาว่า “นายน้อย” ด้วยน้ำเสียงสุภาพราวข้ารับใช้ผู้ต้อยต่ำ!
ต่อให้เป็นลูกชายแท้ๆของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้ฟ่านเทียน อันดับ 1 ของรายนามจักรพรรดิสวรรค์ ฉีคงไห่ก็ไม่แม้แต่จะเรียกคำว่า ‘นายน้อย’ หรือกล่าววาจาสุภาพแบบนี้ด้วยซ้ำ
‘ดูเหมือนฉีคงไห่จะรู้จักตระกูลที่อยู่เบื้องหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดี’
เมื่อเห็นท่าทีของฉีคงไห่ที่แปรเปลี่ยนไปราวคนละคนต่อหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ต้วนหลิงเทียนย่อมเดาได้ไม่ยาก
ยิ่งไปกว่านั้นเผลอๆ อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าตระกูลอวิ๋นเกิดเรื่องจนล่มสลายไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่งั้นคงไม่แลดูสุภาพเกรงใจกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงขนาดนี้แน่
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนเองก็ล่วงรู้ฐานะของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมานาน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับท่าทีของฉีคงไห่มากนัก กระทั่งเขายังรู้สึกว่าฉีคงไห่นี่ช่างฉลาดและรู้สถานการณ์นัก
ในขณะที่คนของวิหารเฟิงฮ่าวทั้งหมด ลุกขึ้นประสานมือโค้งคารวะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างนอบน้อม เรียกหาด้วยความให้เกีรยติสูงสุดว่า ‘นายน้อย’ ตามฉีคงไห่ ด้านฉีคงไห่ก็กล่าวตอบหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกมาว่า “นายน้อยหลิง พอดีวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเรามีความเป็นมายาวนานพอสมควร ทำให้พวกเราเองก็เคยติดต่อกับตระกูลหลิงของท่านก่อนที่พวกท่านจะเร้นกายเช่นกัน…ทว่านั่นเป็นเรื่องในอดีต ตอนนี้วิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราเพียงทราบเรื่องตระกูลท่านจากบันทึกเท่านั้น…”
“ถึงแม้ภายหลังตระกูลอวิ๋นของท่านจะตัดขาดจากโลกหล้าแยกตัวไปอยู่กันอย่างสันโดษกลายเป็นตระกูลลับ และวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราก็ขาดการติดต่อไปจนความสัมพันธ์เริ่มจางหาย…อย่างไรก็ตามวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเรานั้นได้ตรากฏเอาไว้ ว่ายามใดก็ตามที่คนของวิหารเฟิงฮ่าวพบเจอคนตระกูลอวิ๋น ก็ไม่อาจละเลยเด็ดขาด…”
ฉีคงไห่กล่าว
ถึงแม้เสียงของฉีคงไห่จะไม่ได้ดังมากมายอะไร แต่มันก็ไม่ได้ลดเสียงหรือกล่าวผ่านพลัง เช่นนั้นทุกคนก็ได้ยินคำพูดของมันชัดถนัดหู ทำให้ความโกลาหลพลันบังเกิดในฝูงชนทันที “โอทวยเทพ! ตระกูลหลิงที่อยู่เบื้องหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นตระกูลอันใดกันแน่!? ถึงกับทำให้วิหารเฟิงฮ่าวต้องให้เกียรติถึงขนาดนี้? กระทั่งถึงขั้นตรากฏเพื่อให้ความเคารพตระกูลหลิงเชียวหรือ?!”
“ตระกูลหลิง? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…”
“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ยินหรือไร รองจ้าววิหารฉีเอ่ยถึงตระกูลหลิงในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ? ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพที่ว่า…มิใช่ 1 ในระนาบเทพหรือไร!?”
…
หลังจากเห็นฉีคงไห่ทำความเคารพหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอย่างนอบน้อม ก็มีบางคนละเลยคำพูดของฉีคงไห่เมื่อครู่ไป พอมีคนกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้งก็ฉุกคิดได้ทันที
ที่แท้ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เป็นถึงตระกูลในระนาบเทพ!!
“นายน้อยหลิง ตอนนี้ทั้งๆที่ท่านยังมีอายุไม่ถึง 700 ปีแต่กลับประสบความสำเร็จขนาดนี้…ท่านสมควรสืบสายเลือดหลัก…ซึ่งหมายความว่าท่านคือทายาทสายตรงของตระกูลอวิ๋นรุ่นปัจจุบันกระมัง?”
ฉีคงไห่กล่าวถามด้วยรอยยิ้มสุภาพ แลคล้ายสุนัขรับใช้โง่งมยิ้มประจบเจ้านายอยู่บ้าง
“อืม”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพยักหน้า
และทันทีที่ฉีคงไห่กล่าวประโยคนี้ออกมา หลายคนก็ตกใจถึงกับอ้าปากค้างจนหมัดลอดผ่านเข้าออกได้ง่ายๆ “มารดามัน! หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้…เป็นเหมือนต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่งั้นเหรอ อายุไม่ถึง 700 ปีเช่นกัน!?”
“ให้ตายเถอะ! เป็นสัตว์ประหลาดอีกคนแล้ว!!”
“แต่ว่าในเมื่อมันมาจากระนาบเทพ…เช่นนั้นก็ไม่ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดมิใช่เหรอ?”
“จริง ระนาบเทพนั้นเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียนอมตะ สภาพแวดล้อมเหมาะสำหรับตัวตนขอบเขตเทพฝึกฝนบ่มเพาะ…แถมบวกกับชาติตระกูลอันยิ่งใหญ่นั่นอีก เพราะดูท่าแล้วตระกูลของมันในระนาบเทพต้องมีรากฐานและความเป็นมาไม่ใช่ชั่วแน่…”