ถังซานเป่าเป็นไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ของวิหารเฟิงฮ่าวงั้นรึ?
ตัววตนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นเทพสงคราม 6 ดารา?
พอได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ซูหลี่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองถังซานเป่า และพอเห็นสีหน้าท่าทีของถังซานเป่าที่กำลังมองต้วนหลิงเทียน อารมณ์ความรู้สึกที่อีกฝ่ายส่งออกมา ก็เรียกว่าเปลี่ยนแปลงไปสะท้านสะเทือนแดนดินเลยทีเดียว!
เฉกเช่นตอนที่มันเปิดเผยพลังฝีมือระดับเทพสงคราม 5 ดาราเป็นครั้งแรกวันนั้นไม่มีผิด…ไม่เหลือความเฮฮาเหลวไหลอยู่เลย!
ปงงง!
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นสนั่น ดึงความสนใจของซูหลี่ไปทันที เป็นซือหม่ารุ่ยกับจงกุ้ยอวี่ที่ประลองกันอยู่ หนึ่งในนั้นครองอันดับ 2 ส่วนอีกคนอยู่ในอันดับ 7
หากซือหม่ารุ่ยชนะ ก็จะยึดครองอันดับ 2 ของจงกุ้ยอวี่ทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนหลังจากละสายตาออกมาจากถังซานเป่าครู่หนึ่ง เขาก็เลิกสนใจมันสืบไป ในใจหวนคืนสู่ความสงบ ดั่งผิวน้ำไร้ระลอกคลื่น
เรื่องของถังซานเป่า เขาก็ไม่ถึงขั้นเก็บเอามาใส่ใจอะไรนักหนา
ถึงแม้เขาจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือไพ่ตายใบสุดท้ายของวิหารเฟิงฮ่าว แต่เขาก็ไม่ได้อะไรมากมาย หากกจะกล่าวถามความรู้สึกจริงๆ เกรงว่าคงมีแต่…ความภูมิใจ? จะไม่ให้ภูมิใจได้อย่างไร?
ไม่ว่าถังซานเป่าจะเข้าหาพวกเขาด้วยสาเหตุอันใด แต่จะมากจะน้อยก็ไม่พ้นเรื่องหยั่งวัดตื้นลึกหนาบางของพวกเขาหรือไง?
เรื่องนี้ต่อให้ถังซานเป่ายืนกรานปฏิเสธ ก็เปล่าประโยชน์!
“ซือหม่ารุ่ยดูท่าจะไม่รอด…เดี๋ยวก็คงแพ้แล้วล่ะ”
ความสนใจของต้วนหลิงเทียนเอง ก็ถูกเสียงอัจฉริยะรอบๆดึงกลับมาให้หยุดที่การประลองอีกครั้ง มองไปก็พบว่าตอนนี้ซือหม่ารุ่ยเริ่มตกเป็นรองจงกุ้ยอวี่แล้ว…
ยิ่งไปกว่านั้นพอตกเป็นรอง จงกุ้ยอวี่ที่รุกไล่มาต่อไม่ถึงสิบกระบวนท่า ซือหม่ารุ่ยที่ไม่อาจต้านทานรับไหวสืบไป ก็ได้แต่เอ่ยคำยอมแพ้จงกุ้ยอวี่แต่โดยดี “ข้าแพ้แล้ว”
เรียกว่าเจริญรอยตามหงหยวนไปติดๆ อัจฉริยะระดับเทพสงคราม 5 ดาราของวิหารเฟิงฮ่าวก็ได้พ่ายแพ้ไปอีกคน
จงกุ้ยอวี่ยังรักษาอันดับที่ 2 เอาไว้ได้
“อันดับที่ 6 หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
หลังจากที่ซือหม่ารุ่ยพ่ายแพ้จงกุ้ยอวี่ เสียงของฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักที่เป็นผู้ดำเนินทั้งกำกับดูแลการประลองศึกอัจฉริยะก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ทันใดนั้น ความสนใจของอัจฉริยะทั้งหลายก็ละออกจากร่างจงกุ้ยอวี่ที่พึ่งได้ชัย กลับมามองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที
และท่ามกลางสายตาของทุกคน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็ค่อยๆเหินร่างขึ้นฟ้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน และก่อนจะเหินออกไปมันก็หันกลับมาส่งเสียงผ่านพลังคุยอะไรบางอย่างกับต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ยิ้มกล่าวตอบกลับไปว่า “เอาสิ”
ฟุ่บ!
จากนั้นร่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็วูบหายไปปรากฏกลางฟ้าเหนือสนามประลองในพริบตา
“เลือกคู่ต่อสู้ของเจ้าเสีย”
กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น สีหน้าของซือหม่ารุ่ยก็ผ่อนคลายลงมาก ไม่แลดูขึงขังจริงจังเหมือนตอนพูดกับซือหม่ารุ่ยและหงหยวน
และแทบจะทันทีที่เสียงกล่าวของฉีคงไห่ดังจบคำ เสียงพูดเฉยเมยไม่แสของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ดังให้ทั่วสนามประลองได้ยินกันชัดถนัดหู “หวงเฉวียนอัน”
วาจา 3 พยางค์สั้นๆ ทำให้สนามประลองที่เต็มไปด้วยเสียงสนทนาพร้อมใจกันเงียบลงทันที!
หวงเฉวียนอัน!
หลังผ่านไปสักพัก เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็ได้สติกลับคืน
บางคนหลังคืนสติแล้วก็ถึงกับลุกขึ้นยืน ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ “อะไร?! หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวท้าหวงเฉวียนอันงั้นเหรอ?!”
“ให้ตายเถอะ! หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมั่นใจจริงๆหรือยังไง? หรือใช่อยากลองสัมผัสพลังของหวงเฉวียนอันอีกคน?”
“ยังต้องถามอีกหรือไง? หวงเฉวียนอันนั่นมันเชี่ยวชาญกฏเวลาถึงขั้นใช้แปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดได้ หากไม่ใช่เพราะอยากรู้ว่าเป็นอย่างไรมันจะท้าหวงเฉวียนอันที่สมควรไร้พ่ายใต้เทพสงคราม 6 ดาราทำอะไร? เพราะสุดท้ายอย่างไรก็ต้องแพ้!!”
“เป็นไปได้หรือไม่…ที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้จะเป็นเทพสงคราม 6 ดารา?”
“ไม่หรอก มันไม่ได้ท้าเพราะคิดอยากจะเอาชนะแน่นอน…ไม่พ้นอยากสัมผัสพลังของแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดกับตัวอีกคนมากกว่า!”
…
จังหวะนี้ไม่เพียงแต่เหล่าอัจฉริยะที่อึ้งเพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวท้าหวงเฉวียนอัน กระทั่งเหล่าจักรพรรดิสวรรค์ไม่เว้นคนของวิหารเฟิงฮ่าวบนเกาะลอยเหนืออัฒจันทร์ทิศต่างๆยังอดแปลกใจไม่ได้
จากความแข็งแกร่งที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเผยออกก่อนหน้า ทุกคนย่อมทราบว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนับเป็นชนชั้นยอดฝีมือในบรรดาเทพสงคราม 5 ดารา…
อย่างไรก็ตาม พลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ยังมีจำกัด
นอกจากนั้นการลงมือก่อนหน้าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ความเป็นไปได้ที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะซ่อนพลังอยู่ก็น้อยนิดนัก
แต่น้อยก็ไม่ใช่ว่าไม่มี เช่นนั้นที่แท้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเป็นเทพสงคราม 6 ดาราจริงๆ…
หรือทั้งหมดก็แค่อยากทดสอบพลังอำนาจของหวงเฉวียนอัน?!
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“มองไม่ออก…รอดูชมไปเถอะ”
จักรพรรดิสวรรค์หลายคนเริ่มถามความเห็นกัน แต่ส่วนมากก็พากันส่ายหัว ไม่กล้าชี้ชัด
เหล่าจักรพรรดิสวรรค์ย่อมระวังมาดตัวเองเสมอ ยังมีใครกล้าฟันธงส่งเดช? เพราะหากพูดผิดไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไร?
‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้…ซ่อนอยู่ลึกนัก!’
จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียน อากู๋โม่ ยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 8 ดารา มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกครั้งวันนี้ มันก็อดส่ายหัวพลางถอนหายใจไม่ได้
‘ทุกคนเอาแต่พูดว่าต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่นั้นมีพรสวรรค์สูงล้ำมาก อายุไม่ถึง 700 ปีก็ประสบความสำเร็จเลิศล้ำได้ขนาดนี้…แต่พวกมันคงไม่เคยคิดเคยฝัน ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นคนนี้ก็มีอายุไม่ถึง 700 ปีเช่นกัน!’
อากู๋โม่ลอบทอดถอนอยู่ในใจ ‘ข้าอากู๋โม่ สามารถพาอัจฉริยะระดับนี้มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ในนามวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิงชิงเทียนได้ นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว…’
‘ในอดีตอัจฉริยะที่มากพรสวรรค์ที่สุดที่ข้าเคยยพามาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ เต็มที่ก็เป็นแค่เทพสงคราม 5 ดาราทั่วไปเท่านั้น แถมยังมีไม่กี่คน…’
‘ผู้ที่ทรงพลังอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น พึ่งจะมีเป็นคนแรก…’
‘แค่ไม่ทราบว่ามันเป็นเทพสงคราม 6 ดารารึเปล่า…หากใช่ ข้าอากู๋โม่ก็มีเรื่องให้คุยไปชั่วชีวิตแล้ว!’
สายตาที่อากู๋โม่ใช้มองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยิ่งมาก็ยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้า
และลึกลงไปในประกายตาเจิดจ้าของมัน ยังมากล้นไปด้วยความคาดหวัง!
ฟุ่บ!
ท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน หวงเฉวียนอันก็ลุกออกจากที่นั่งก่อนจะเหินร่างไปหยุดลอยเผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋น มันที่แลดูไม่โดดเด่นอะไร บัดนี้ก็มองจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยสายตาจริงจัง เห็นได้ชัดว่ามันไม่กล้าดูเบาคู่ต่อสู้
“การต่อสู้รอบนี้…ข้าสังหรณ์ว่ามันอาจจะเป็นการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้!”
เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งหลายพากันจับจ้อง 2 ร่างที่เผชิญหน้ากันกลางอากาศไม่วางตา ทำราวกับพวกมันกลัวว่าจะพลาดชมฉากเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นไป
“น้องฟงท่าน…”
ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนอดไม่ได้ที่จะหันไปกล่าวถามฟงชิงหยางข้างๆ “เจ้าหนุ่มหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั่นดูเหมือนจะเป็นสหายของศิษย์หลานต้วน เช่นนั้นท่านสมควรรู้จักมันดีใช่หรือไม่? ท่านว่ามันมีโอกาสชนะหรือไม่?”
ได้ยินคำถามของติงฟู่ ฟงชิงหยางได้แต่ส่ายหัวไปมาเบาๆ “ถึงเจ้าหนูนี่จะเป็นเพื่อนของเสี่ยวเทียน…แต่ข้าไม่เคยพบเจอหรือสนทนากับมันเลย”
“จะอย่างไรก็ตาม ลองมันกล้าท้าหวงเฉวียนอันแบบนี้ เห็นชัดว่ามันสมควรมั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองไม่น้อย”
“แต่เป็นธรรมดาว่าไม่แน่ก็อาจเป็นเหมือนที่หลายๆคนพูดกัน มันอาจรู้ตัวดีว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวงเฉวียนอัน ที่ท้าทายหวงเฉวียนอันก็แค่อยากรับทราบช่องว่างระหว่างมันกับผู้อื่นเขา สุดท้ายแล้วต่อให้มันแพ้พ่ายหวงเฉวียนอันไป ก็มิได้ส่งผลกระทบอะไรกับมันมาก”
ถึงแม้การที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นพ่ายแพ้หวงเฉวียนอัน จะทำให้ไม่อาจท้าทายหวงเฉวียนอันได้อีกรอบ
แต่สถานการณ์มันก็ไม่ได้แตกต่างจากการไม่ท้าหวงเฉวียนอันมากนัก
แน่นอนว่าการท้าทายหวงเฉวียนอันอาจไม่ใช่แค่แพ้พ่าย แต่เป็นไปได้ว่าจะบาดเจ็บจนส่งผลสืบเนื่องต่อการท้าสู้ไต่อันดับหลังจากนี้…
ดังนั้นสำหรับอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆที่มีพลังระดับเทพสงคราม 5 ดารา เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเอาชนะหวงเฉวียนอันได้ ก็เลือกที่จะไม่ท้าประลองเพื่อแส่หาเรื่องเจ็บตัว…
ตอนนี้เมื่อหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล้าท้าหวงเฉวียนอัน ไม่ต้องกล่าวถึงผลแพ้ชนะ แต่อย่างน้อยๆหลายคนก็ชื่นชมความกล้าหาญของมันแล้ว
“เจ้าลงมือเถอะ”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเหลือบมองหวงเฉวียนอันด้ววยสายตาไม่แยแส เอ่ยออกเสียงเบา “มิฉะนั้นข้าเกรงว่า เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ลงมือ”.
ไม่มีใครคิดใครฝัน ว่าการเผชิญหน้ากันระหว่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับหวงเฉวียนอัน จะเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ริเริ่มกล่าวคำออกมาก่อน แถมยังพูดออกมาทำนองดังกล่าวอีกด้วย!
เรียกว่าสร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนไม่น้อย
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้…ช่างคุยโวเขื่องโขเสียจริง!”
“มันช่างกล้าหาญนัก! เอาเรื่องแท้!!”
“ปากมันพูดคำโตแบบนั้น…แต่ฝีมือมันจะดีอย่างปากรึเปล่า?”
…
ได้ยินคำวาจาคำโตโอหังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หลายคนได้แต่มองชมด้วยความสงสัย
ความแข็งแกร่งของหวงเฉวียนอันสูงต่ำแค่ไหน ทุกคนรับทราบกันแล้ว พลังอำนาจของกฏแห่งเวลานั้นยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือจริงๆ ยากจะหากฏใดเปรียบเทียบกับความอัศจรรย์ของมันได้ โดยเฉพาะแปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดนั่น ทำให้หลายคนที่เห็นอดหนังศีรษะชาหนึบไม่ได้จริงๆ
แม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นคนนี้จะเคยเผยพลังฝีมืออันเข้มแข็งเทียบได้กับเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ แต่ในแง่พลังสะกดข่มแล้ว เกรงว่ายังไม่สู้หวงเฉวียนอัน!
กลวิธีการลงมือของหวงเฉวียนอัน นั้นร้ายกาจและน่าตกใจเกินไป…
“ดี!”
อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนอัจฉริยะที่ชมดูอยู่บนอัฒจันทร์ที่คลางแคลงสงสัยวาจาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น หวงเฉวียนอันในฐานะคนที่กำลังเผชิญหน้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่ แม้จะเจอคำพูดเขื่องโขของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น แต่สีหน้าท่าทีของมันก็บอกชัดว่ายึดถือเป็นจริงจัง ไม่กล้าละเลย
ครู่ต่อมาพลังทั่วร่างมันก็ปะทุขึ้น จากนั้นก็อ้าปากพ่นพลังขุมหนึ่งออกมา พลังดังกล่าวยังแผ่ไปปกคลุมทหลิงเจวี๋ยอวิ๋นรวมถึงอาณาบริเวณโดยรอบทันที
ในสายตาของทุกคน เมื่อพลังขุมดังกล่าวแผ่มาปกคลุมหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับพื้นที่โดยรอบแล้ว ไม่เพียงแต่ร่างของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะหยุดนิ่ง กระทั่งชุดคลุมที่โบกสะบัดตามแรงลมก็กลายเป็นนิ่งค้างไม่สะบัดอีกต่อไป ราวกับคนทั้งคนถูกแช่แข็งไปพร้อมๆกับห้วงเวลา ถูกหยุดเวลาก็ว่า!
อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น!
ซัว! ซัว!
ในขณะที่ร่างกายของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นแน่นิ่งไป หวงเฉวียนอันก็เร่งลงมือจู่โจมต่อเนื่อง ลูกตาแต่ละข้างของมันเปล่งแสงจ้า ยิงพุ่งลำแสง 2 สายพุ่งเข้าใส่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที!
ฉากเรื่องราวดังกล่าวสะท้านใจผู้คนไม่น้อย เพราะพวกมันคุ้นเคยกับฉากนี้ดี!
“แปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิด!”
การลงมือจู่โจมของหวงเฉวียนอัน เห็นได้ชัดว่าเป็นกระบวนท่าพิชิตชัยอย่างแท้จริง เพราะกระบวนท่านี้ทำให้อวี๋ตงฟางกับจงกุ้ยอวี่สิ้นท่าอย่างที่ไม่อาจทำอะไรได้มาแล้ว!
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะต้านทานได้หรือไม่?”
หลายคนจับจ้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นตาเขม็ง และทุกคนเห็นกันชัดเจนว่าตอนนี้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นถูกพลังแห่งเวลากักขังเอาไว้โดยสมบูรณ์ ไม่อาจขยับเขยื้อนได้แม้แต่ปลายนิ้ว
“ไม่อาจหลีกหลบ! โดนเต็มๆแน่!”
“หากโดนแสงพลังนั่น มันก็สิ้นท่าทันที!!”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะแพ้แล้วรึ?”
…
ในขณะที่ใจของทุกคนกำลังเต้นระส่ำ แปรเปลี่ยนในหนึ่งห้วงคิดของหวงเฉวียนอันก็พุ่งหายเข้าไปในร่างหลิงเจวี่ยอวิ๋นเป็นที่เรียบร้อย และร่างกายหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เริ่มขยับเขยื้อนอีกครั้ง
“มันจบแล้วล่ะ…”
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นแพ้แน่…”
…
ในขณะที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นต้องพ่ายแพ้แน่แล้ว มีเพียงต้วนหลิงเทียนกับคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สองตาเป็นประกายจ้า
ด้านหวงเฉวียนอันเอง สีหน้าท่าทีเคร่งขรึมจริงจังของมันไม่เพียงแต่จะไม่ผ่อนคลาย แต่ยังเปลี่ยนไปเป็นอึมครึมทันที
“หืม? นี่มันยังไงกันแน่?”
ตอนนี้เองหลายคนค่อยได้สติกลับมาอีกครั้ง เพราะพวกมันค้นพบเรื่องหนึ่ง “พวกเจ้าเห็นหรือไม่…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่มีทีท่าว่าจะแก่ตัวลงเลย?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ตอนอวี๋ตงฟางกับจงกุ้ยอวี่ พอโดนแสงที่พุ่งออกจากลูกตาของหวงเฉวียนอันเข้าไป แต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนเป็นชายชราแก่หง่อมรึไร แต่ไฉนหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงไม่เปลี่ยนแปลงเลยล่ะ เห็นได้ชัดว่าโดนพลังของหวงเฉวียนอันเข้าไปแล้วนี่?”
“พวกเจ้าดูนั่น…สีตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกัน?!”
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจเพราะหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่แก่ตัวลง บางคนที่มีสายตาแหลมคมก็พบว่าบัดนี้ดวงตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้เปลี่ยนไปแล้ว แถมยังเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานปานก้อนเลือด ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ!