นรกอสุรา เป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก
ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากฟงชิงหยางถูกไล่ล่าจนต้องหนีตายเข้าสู่นรกอสุราในปีนั้นจนเรียกว่า 9 ตาย 1 รอด ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินเรื่องของนรกอสุรามาตั้งแต่ก่อนขึ้นมาระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ
“ท่านอาจารย์ นรกอสุรา ถือว่าเป็นสถานที่อันตรายติด 3 อันดับแรกของ 7 สถานที่ต้องห้ามในระนาบเทวโลก…ลือกันว่าหากด่านพลังยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพ เมื่อเข้าไปแล้วก็ยากจะรอดกลับออกมาได้…เช่นนั้นนอกจากสถานที่ต้องห้ามที่ว่ากันว่าอันตรายที่สุด สถานที่ต้องห้ามอีกแห่งมันอันตรายพอๆกับนรกอสุราหรือไม่?”
ระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามเพิ่ม
“ก็ใช่”
ฟงชิงหยางพยักหน้า “อีก 2 สถานที่ต้องห้ามนั่น ที่หนึ่งคล้ายๆกับนรกอสุรา แต่อีกที่นั้นแปลกประหลาดยิ่งกว่านรกอสุราอีก…ในนั้นยังเต็มไปด้วยขอบเขตเทพมากมาย”
“ด้วยเหตุนี้ที่นั่นจึงเรียกว่า สุสานแห่งทวยเทพ”
ฟงชิงหยางกล่าว
ในบรรดา 7 สถานที่ต้องห้ามอันตรายของระนาบเทวโลกนั้น ต้วนหลิงเทียนเคยได้ยินมาแล้วว่า สุสานแห่งทวยเทพ เป็นสถานที่ๆอันตรายที่สุด และรู้ว่ามีตัวตนที่ทรงพลังขอบเขตเทพมากมาย กระทั่งเทพทั่วไปยังอาจตายเอาได้ง่ายๆ เช่นนั้นจึงถูกเรียกว่าสุสานแห่งทวยเทพ
“ท่านอาจารย์ตอนท่านเข้าสู่นรกอสุรา…สถานการณ์ของท่านคง 9 ตาย 1 รอดเลยกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“เป็น 9 ตาย 1 รอดจริงๆ”
ขณะที่ฟงชิงหยางพยักหน้ารับ ลึกลงไปในแววตาของมัน ก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวที่ต้วนหลิงเทียนยากจะมองเห็นวาบหนึ่ง “พูดไปแล้ว ข้าเสมือนใช้โชคชั่วชีวิตไปหมดสิ้นกับตอนนั้นจริงๆ…การที่ข้ารอดมาได้ต้องบอกเลยว่าเป็นเพราะโชคล้วนๆ”
“สถานที่ในนั้นลึกลับซับซ้อนทั้งเอาแน่เอานอนไม่ได้ มีทั้งประตูเป็นและประตูตาย เพียงแค่ประตูตายมันมีมากกว่าประตูเป็นมาก…การที่ข้าสามารถเลือกถูกประตูเป็นได้ ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่”
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจล่วงรู้สถานการณ์จำเพาะเจาะจงในนรกอสุราที่ฟงชิงหยางเคยเผชิญ
อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าอีกไม่นานเขาก็จะได้รู้เรื่องนี้เอง
“ท่านอาจารย์ท่านเคยบอกว่า…ร่างจริงของท่านติดอยู่ในนั้น ตอนนี้ยังออกมาไม่ได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกรอบ
เขาเคยถามผู้เฒ่าหั่วแล้ว จึงได้รับทราบว่าร่างจริงของฟงชิงหยางนั้นติดอยู่ในนรกอสุรา และเรื่องจะออกมายังเป็นปัญหาไม่น้อย
“เคยมีปัญหาจนยากจะออกมาได้นั่นล่ะ…แต่ตั้งแต่ตอนที่ข้าย้อนกลับมาพาเมิ่งหลัวไปครั้งก่อน ข้าก็สามารถกลับออกมาได้แล้ว”
ฟงชิงหยางกล่าว “อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ร่างจริงของข้าหลุดจากปัญหา ข้าก็เลือกที่จะปล่อยให้ร่างจริงอยู่ที่นั่น อันดับแรกเลยข้าคิดสำรวจที่นั่นต่อ ส่วนรองลงมาเพราะข้าคิดให้ร่างจริงทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพให้เร็วที่สุด”
ราชาเทพ!
สำหรับการแบ่งระดับพลังของเหล่าเทพบนระนาบเทพนั้น ต้วนหลิงเทียนได้ฟังจาก หวงเอ้อ ที่กลายเป็นจิตวิญญาณของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนมาเรียบร้อยแล้ว และต่อให้หวงเอ้อจะไม่รู้ เขาก็ยังถามเทพเบญจธาตุจนรู้รายละเอียดได้ง่ายๆ
บนระนาบเทพนั้น เหล่าเทพจะถูกแบ่งระดับออกเป็น 5 ด่านพลังใหญ่ๆ
เทพ ราชาเทพ จอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพ และอริยะเทพ
และแต่ละด่านพลังก็มีขั้นพลังย่อยอยู่ 3 ขั้น..
อย่างเช่น เทพขั้นต่ำ เทพขั้นกลาง และเทพขั้นสูง…ในบรรดาทั้ง 3 ขั้น เทพขั้นต่ำถือว่าอ่อนแอที่สุด และผู้ที่พึ่งทะลวงด่านพลังมาถึงขอบเขตเทพได้ก็จะอยู่ในระดับนี้ และในด่านพลังเทพ ผู้ที่บรรลุถึงเทพขั้นสูงคือผู้ที่ทรงพลังที่สุด
ถัดจากเทพขั้นสูงก็จะเป็นราชาเทพขั้นต่ำ จากนั้นก็ราชาเทพขั้นกลาง และราชาเทพขั้นสูง
ด่านพลังหลังๆก็เช่นกัน
“คราวนี้ ร่างจริงของข้าได้ค้นพบสถานที่ประเสริฐแห่งหนึ่ง…อย่างไรก็ตามแม้ข้าจะพบสถานที่ประเสริฐดังกล่าวและมีพลังไม่ต่างอะไรจากห้องลับแห่งกฏเลย แต่ข้ายังไม่แน่ใจนักว่าเจ้าจะสามารถอยู่ในนั้นได้รึเปล่า”
ฟงชิงหยางกล่าว “คราวก่อน ข้าเคยพาเมิ่งหลัวมา แต่มันกลับอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็ทนรับแรงกดดันจากอาคมลี้ลับที่นั่นไม่ไหว ข้าก็ทำได้แค่ส่งมันกลับออกมาเท่านั้น”
“ราวกับว่า…การที่เจ้าจะอยู่ที่นั่นได้ จำต้องได้รับการยอมรับจากสถานที่แห่งนั้นเสียก่อน”
ฟงชิงหยางกล่าวออกมารวดเดียวจบ
“การยอมรับ?”
ต้วนหลิงเทียนแปลกใจ
“ใช่”
ฟงชิงหยางพยักหน้า “ข้าสงสัยว่า…สถานที่ๆข้าพบเจอ เป็นสถานที่ๆมีใครเคยอาศัยอยู่มาก่อน และที่ไฉนข้าเข้าไปได้ไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับมรรคากระบี่ทำลายล้างของข้า ก็เลยได้รับการยอมรับจากที่นั่น”
“กล่าวง่ายๆ เสมือนข้ามีคุณสมบัติถึง จึงได้รับอนุญาตจากเจ้าของเดิมที่นั่น”
“และข้าเชื่อว่าผู้ที่สร้างสถานที่แห่งนั้นเอาไว้ ไม่น่าจะใช่ตัวตนธรรมดาแน่นอน ต่อให้อาจจะยังไม่บรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็สมควรเป็นตัวตนที่ยืนอยู่เหนือเหล่าทวยเทพทั้งมวล!”
“หลังจากเข้าไปที่นั่น ข้าก็ได้รับอะไรมามากมาย”
“และข้าที่อาศัยมรรคากระบี่ทำลายล้างจนได้รับการยอมรับจากที่นั้น ก็ล่วงลึกเข้าไปเรื่อยๆ และโชคดีที่ข้าเลือกถูกประตูเป็น…ทำให้ตอนนี้คิดเข้าไปอีกครั้งข้าก็รู้แล้วว่าสมควรไปทางไหน แน่นอนว่าข้าพาเจ้าไปถึงที่นั่นได้ก็จริง แต่เจ้าจะได้รับการยอมรับหรือไม่ข้าก็ไม่แน่ใจ”
“อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเจ้าเองก็เข้าใจมรรคากระบี่มิติของตัวเองแล้ว”
กล่าวถึงประโยคท้าย สายตาที่ฟงชิงหยางใช้มองต้วนหลิงเทียนก็เต็มไปด้วยความโล่งใจ
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น”..
ต้วนหลิงเทียนก็ขานรับด้วยความคาดหวัง
จากนั้นฟงชิงหยางที่ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนเหาะเองมาสักพักขณะคุย ก็เลือกจะหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนไปด้วยความเร็วของขอบเขตเทพสืบต่อ ทำให้ไม่นานนักก็มาถึงสุดขอบฟ้าทิศตะวันออก
ยังเป็นสถานที่ๆใกล้กับแนวกั้นระนาบทิศตะวันออกของหยวนสื่อเทียน
“ที่นี่จุดเคลื่อนย้ายไปยังนรกอสุรานั้นตั้งอยู่ในตำแหน่งไม่ตายตัว…แต่ก็ง่ายที่จะระบุว่ามันอยู่ตรงไหน เพียงแค่เจ้าแผ่สำนึกเทวะออกไป ก็จะพบเจอจุดเคลื่อนย้ายเอง”
“เจ้าลองดูสิ”
ฟงชิงหยางกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
บัดนี้ต้วนหลิงเทียนกำลังเหินร่างหยุดลอยกลางอากาศ เขาก้มลงมองไปยังทะเลทรายอันไร้ขอบเขตเบื้องล่าง ไม่มีใครอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ และมันไร้ซึ่งกลิ่นอายชีวิตใดๆ เห็นก็แต่เพียงพายุทรายม้วนวนถึงฟ้า และสายลมวิปริตที่กวาดซัดสาดไปทั่วอย่างไร้ปราณีเท่านั้น
พอได้ยินคำพูดของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลังเลรอช้า เร่งแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบอาณาบริเวณโดยรอบทันที สำนึกเทวะไร้รูปแผ่กำจายกวาดฟ้าผ่านดินไปกว้างไกลในชั่วพริบตา…
ซัว!
ซัว!
…
หลังแผ่สำนึกเทวะออกไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจสภาพการณ์ของสถานที่แห่งนี้ทันที และไม่นานก็พบว่ามีห้วงมิติลึกลับหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปทั่วอย่างไร้รูปแบบ มันสมควรเป็นจุดเคลื่อนย้ายที่ว่า และดูหมือนจะเคลื่อนไหวไปทั่ว เพราะได้รับอิทธิพลจากพายุทรายไม่ต่างอะไรกับกระดาษผืนน้อยปลิดปลิว…
“พบแล้วหรือไม่?”
ฟงชิงหยางกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม
และในขณะที่ฟงชิงหยางกล่าวถาม สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็ค้นพบจุดเคลื่อนย้ายอีก 2 จุด หนึ่งในนั้นยังคงปลิวว่อนอยู่บริเวณขอบพายุทรายลูกหนึ่ง
ส่วนอีกจุดนั้นอยู่ในตาพายุทรายพอดี
“พบแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
จากนั้นฟงชิงหยางก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงหอบหิ้วต้วนหลิงเทียนเข้าไปยังจุดเคลื่อนย้ายที่ปลิวอยู่บริเวณขอบพายุทรายที่ใกล้ที่สุดทันที
“ท่านอาจารย์จุดเคลื่อนย้ายนี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่ จะเป็นค่ายกลก็ไม่เชิง เพราะมันเหมือนห้วงมิติเคลื่อนย้ายมากกว่า แถมราวกับมันจะเกิดขึ้นมาเอง”
ก่อนจะเข้าสูจุดเคลื่อนย้าย ต้วนหลิงเทียนก็อดถามเรื่องที่สงสัยยออกมาไม่ได้
“มันไม่ได้เกิดขึ้นเองหรอก เพียงแค่ในอาณาบริเวณแถบนี้มันเป็นมหาค่ายกลของมันเอง และจุดเคลื่อนย้ายที่ว่าก็เป็นแค่ส่วนเล็กๆของมหาค่ายกลที่ว่า”
ฟงชิงหยางกล่าวอธิบายขณะพาต้วนหลิงเทียนเข้าสู่จุดเคลื่อนย้าย
หลังเข้าสู่จุดเคลื่อนย้ายแล้ว ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเพียงเบื้องหน้าสองตามืดลงวูบหนึ่งก่อนจะหวนคืนสู่ความสว่างอีกครั้ง และสิ่งที่ปรากฏสู่สายตาเขาตอนนี้ก็คือโลกสีแดงฉานที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรร้ายกำลังต่อสู้กัน
“กรรรร!!”
“ฮู่มมม!!”
สัตว์อสูรดุร้ายที่กำลังสู้กันอยู่ ต่างคำรามขู่ข่มศัตรูไม่หยุด เสียงของมันยังแฝงไว้ด้วยพลังอันน่ากลัวนัก
ปง! ตูม! ตูม!!
…
ทุกการโจมตีของสัตว์อสูรร้ายเหล่านี้ ความว่างเปล่าถึงกับสนั่นหวั่นไหว ทำให้ต้วนหลิงเทียนบอกได้ทันทีวว่าสัตว์อสูรร้ายีท่กำลังเข่นฆ่ากันทั้งหลายนั่น ไม่ว่าตัวไหนก็มีพลังระดับจักรพรรดิอมตะทั้งสิ้น เพียงแต่ดูเหมือนพวกมันจะไม่มีสติปัญญา สองตายังแดงฉานปานโลหิต คล้าคุ้มคลั่งและเข่นฆ่ากันตามสัญชาตญาณเท่านั้น
“สัตว์ประหลาดพวกนี้เกิดจากพลังปราณโลหิตที่เอ่อล้นออกมาจากนรกอสุรา…และคุณภาพของพลังวิญญาณฟ้าดินในนรกอสุราก็ไม่น่าจะแตกต่างจากพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพมากนัก แต่มันไม่บริสุทธิ์เหมือนพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ และเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งกระหายเลือด หากคิดจะมาบ่มเพาะพลังที่นั่น จำต้องขัดเกลามันให้สงบเสียก่อนถึงจะดูดซับได้ ซึ่งนั่นก็ต้องใช้ความพยายามอยู่บ้าง”
“หากไม่ใช่เพราะสาเหตุดังกล่าว ร่างจริงของข้าคงทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพไปนานแล้ว”
ฟงชิงหยางกล่าว ขณะนำต้วนหลิงเทียนเข้าสู่นรกอสุรา
“กรรร–!!”
ระหว่างเดินทางอยู่ๆก็อุบัติสัตว์อสูรตัวเขื่องหนึ่งโจนทะยานเข่นฆ่าเข้ามาอย่างดุร้าย เป็นสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่ปานขุนเขาลักษณะคล้ายพยัคฆ์ 6-7 ส่วน เพียงแค่มันมีปีกกระดูกที่หลังและมีเขางองุ้มอยู่บนหัว เป้าหมายการเข่นฆ่าของมันก็คือต้วนหลิงเทียน
ราวกับต้วนหลิงเทียนและฟงชิงหยางเป็นอันธพาลกลุ่มอื่นที่กำลังจะมายึดอาณาเขตของมันอย่างไรอย่างนั้น
ฟั่ฟฟ!
ฟงชิงหยางเมินเฉยต่อสัตว์ร้ายที่เข่นฆ่าเข้ามา เพราะรู้ดีว่าลูกศิษย์สามารถจัดการได้ และต้วนหลิงเทียนก็เพียงสะบัดมือต่างกระบี่ ซัดคลื่นพลังสะบั้นไร้สภาพขุมหนึ่งผ่าร่างของมันออกเป็น 2 เสี่ยงได้อย่างง่ายดาย
“ข้างหน้าก็คือนรกอสุราแล้ว”
ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็ถูกฟงชิงหยางพามาถึงประตูทางเข้านรกอสุรา เป็นหมอกโลหิตหนาแน่นกลุ่มหนึ่งอันมีอัสนีสีดำแล่นวาบแปลบปลาบปกคลุมอยู่
“หลังจากเข้าสู่นรกอสุราแล้ว บริเวณใกล้ๆทางเข้าออกยังไม่นับเป็นอะไร อาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามที่แข็งแกร่งใกล้เคียงกับครึ่งก้าวเทพก็สามารถเอาตัวรอดได้ไม่ยาก…ขอเพียงไม่เข้าไปลึกมากเกินไป ก็สามารถถอยกลับออกมาได้ทุกเมื่อ”
“อย่างไรก็ตามหากถลำลึกเข้าไปล่ะก็ จะอยู่หรือตายก็ไม่อาจบอกได้”
“สถานการณ์เป็นตายที่ว่า ต่อให้เป็นเทพทั่วไปยังอนาถ เรียกว่าถึงไม่ตายก็ต้องสาหัส…แต่เมื่อมีข้า พวกเราก็สามารถเข้าไปยังสถานที่ลี้ลับที่ข้าพบได้โดยไม่ต้องเสี่ยงตายอะไรมากมาย”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังชักสีหน้าจริงจัง ฟงชิงหยางก็กล่าวปลอบออกมา
“ไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนถูกฟงชิงหยางหอบหิ้วเดินทางอีกครั้ง พุ่งผ่านม่านหมอกโลหิตที่เต็มไปด้วยอัสนีสีดำแปลบปลาบปกคลุม ล่วงล้ำเข้าสู่นรกอสุราอย่างเป็นทางการ…
หลังจากเข้าสู่นรกอสุราแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ทันทีว่าพลังวิญญาณฟ้าดินมันต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง และมันก็คล้ายๆกับพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพจริงๆ คุณภาพสูงกว่าพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทวโลกมาก
ยิ่งไปกว่านั้นต้วนหลิงเทียนยังมั่นใจอีกด้วย…
ว่าพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่ เหมือนกับพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ!
แต่ก็เป็นอย่างที่อาจารย์เขาฟงชิงหยางกล่าวไว้ พลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มันไม่บริสุทธิ์ มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความบ้าคลั่งและกระหายเลือด และในขณะเดินทางไม่ว่าผ่านพ้นไปที่ใด เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่าพรั่นพรึงที่สาดโถมเข้ามาจากทั่วสารทิศ
ไม่ว่าจะต้นไม้ใบหญ้าเล็กๆ หรือนกตัวกระจิ๊ดริดรวมถึงสัตว์ที่แลดูไม่มีพิษมีภัย ล้วนทำให้เขาบังเกิดสังหรณ์อันตรายราวกับพวกมันสามารถฆ่าเขาได้ในพริบตา!
ความรู้สึกดังกล่าวทำให้ต้วนหลิงเทียนถึงกับหายใจไม่ออก
อย่างไรก็ตามด้วยมีฟงชิงหยางนำพา ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตที่จู่โจมเข่นฆ่าเข้ามามีมากแค่ไหนฟงชิงหยางก็พาเขาหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย ที่ขวางทางก็โดนฟงชิงหยางฆ่าทิ้งในพริบตา
เรียกว่าตลอดการเดินทางไม่คล้ายกำลังอยู่ในสถานที่อันตราย แต่เป็นการเดินเที่ยวชมสวนหลังบ้าน
“หลังจากจุดนี้ เจ้าอย่าได้แผ่สำนึกเทวะออกไปรอบๆเด็ดขาด”
ตอนนี้เองเสียงของฟงชิงหยางพลันดังขึ้น อีกทั้งน้ำเสียงยังดูจริงจังเป็นอย่างมาก
และตอนนี้ร่างของฟงชิงหยางก็หยุดลงคล้ายพินิจอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เริ่มพาต้วนหลิงเทียนเดินทางต่อ ทิศทางยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างมีรูปแบบ จนในที่สุดก็มาปรากฏตัวด้านนอกหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง
ภายในหุบเขาเต็มไปด้วยหมอกสีเลือดปกคลุม และหมอกสีเลือดดังกล่าวก็คล้ายมีชีวิต มันไหลเวียนม้วนวนอยู่ตลอดเวลา กลิ่นอายฆ่าฟันยังหนาแน่นทั้งน่าสะพรึงกลัวนัก