ผลอมตะหยวนปะทุนั้น มันเป็นของรางวัลที่ล้ำค่าที่สุดในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้เลยก็ว่าได้
เพราะมันสามารถช่วยให้ตัวตนขอบเขตพลังจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก ทะลวงถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ในเวลาอันสั้น!
อย่างที่ทราบกันดีว่าด่านพลังจักรพรรดิอมตะนั้น เป็นด่านพลังสุดท้ายก่อนจะบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว แม้จะเป็นขั้นย่อยก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทะลวงผ่านกันได้ง่ายๆ และยิ่งขั้นย่อยหลังๆความยากในการทะลวงขั้นก็มากขึ้นเป็นทบทวี
สำหรับบางคน การทะลวงขั้นพลังจากขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักไปยังขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ยังต้องใช้เวลามากกว่าในการทะลวงจากจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดไปยังจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักเสียอีก
ผู้ที่มีพรสวรรค์ดีๆหน่อย เวลาที่ใช้ก็จะเทียบได้กับเวลาที่ใช้ในการทะลวงจากจักรพรรดิอมตะ 3 ศักดิ์หรือ 4 รูปไปยังจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก
และต่อให้มีพรสวรรค์เลิศล้ำเพียงใด เป็นอัจฉริยะแค่ไหน แต่เวลาที่เร็วที่สุดในการทะลวงจากจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักไปยังจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ก็อยู่ราวๆจักรพรรดิอมตะ 6 ผสานหรือจักรพรรดิอมตะ 7 ดาราไปยังจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก!
ทว่าผลอมตะหยวนปะทุนั้น ทำให้เหล่าจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนักทั้งหลายประหยัดเวลาในการทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้มาก และการใช้เวลาทะลวงผ่านน้อยลง เส้นทางในอนาคตก็จะราบรื่นเหนือคนอื่น
ด้วยเหตุนี้ ตอนแรกที่ผู้คนได้ยินว่าวิหารเฟิงฮ่าวนำผลอมตะหยวนปะทุมาเป็นของรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ทุกคนก็พากันตกใจยกใหญ่
เพราะในสายตาของทุกคน…
ของดีๆแบบนี้ไม่ใช่ว่าสมควรเก็บไว้ใช้เองหรือไง?
“ที่แท้ผลอมตะหยวนปะทุก็เป็นแบบนี้นี่เอง นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ข้าได้เห็นมัน…แค่กลิ่นหอมที่โชยออกมานั่น ก็ทำให้ข้ารู้สึกเสมือนล่องลอยท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิแล้ว ช่างเป็นผลไม้อมตะที่วิเศษนัก”
ขณะมองจ้องผลอมตะหยวนปะทุที่ฉีคงไห่นำออกมาจากแหวนพื้นที่ตาเป็นมัน หลายคนก็อดกล่าวอย่างทอดถอนใจไม่ได้
“ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ก่อนที่ฐานะของถังซานเป่าจะเปิดเผยออกมา…ข้าก็อดคิดไปไม่ได้ว่าไฉนวิหารเฟิงฮ่าวถึงได้ใจป้ำนัก แม้แต่ผลอมตะหยวนปะทุก็กล้าเอาออกมาแจกเป็นของรางวัล! พอรับทราบฐานะถังซานเป่ารวมถึงเห็นระดับพลังเทพสงคราม 6 ดารามัน ข้าก็เข้าใจทันที ว่าที่แท้วิหารเฟิงฮ่าวมั่นใจในตัวถังซานเป่าและคิดว่าถังซานเป่าอย่างไรก็ต้องชนะเลิศและได้รับผลอมตะหยวนปะทุมาครอง…”
พลันมีบางคนกล่าวเรื่องนี้ออกมา
“เหอะๆ แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้วิหารเฟิงฮ่าวเสมือน ‘ตัดชุดแต่งงาน’ ให้ผู้อื่นแท้ๆ”
อัจฉริยะทั้งหลายไม่ใช่คนโง่ พวกมันเห็นได้ชัดว่าแผนส่งมอบผลอมตะหยวนปะทุให้คนของตัวพร้อมๆกับชื่อเสียงของวิหารเฟิงฮ่าว สุดท้ายก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า กลับเป็นต้วนหลิงเทียนศิษย์ของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนได้รับประโยชน์ไปแทนเสียอย่างนั้น
“ข้าว่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวกระทั่งหลับยังไม่เคยฝันถึงด้วยซ้ำ ว่าศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้จะมีตัวตนที่ร้ายกาจอย่างต้วนหลิงเทียนและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นปรากฏตัวออกมา”
“กับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังไม่เท่าไหร่ สุดท้ายก็ทำได้แค่เสมอกับถังซานเป่า หากข้าได้ยินไม่ผิด ถังซานเป่าได้ตกลงกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไว้แล้วด้วย ว่าจะเลือกจับฉลากกันตัดสินเรื่องใครจะได้ผลอมตะหยวนปะทุไปครอง เท่ากับว่าโอกาสที่ถังซานเป่าจะได้รับก็มีแค่ 5 ใน 10 ส่วน…แต่ตอนนี้เหรอ? มันไม่มีโอกาสแม้แต่นิดเดียว!”
“นั่นน่ะสิ ทำอย่างไรได้เล่า พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนร้ายกาจเกินไป ด่านพลังยังไม่ทันถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศแท้ๆแต่ก็มีความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดฝีมือเทพสงคราม 7 ดาราระดับแนวหน้าเลย…ทันทีที่ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ พลังของต้วนหลิงเทียนก็จะเหนือกว่าเทพสงคราม 8 ทั่วไปทันทีแน่!”
…
เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายพูดคุยกันเสียงดังจอแจ กระทั่งเหล่าจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายก็ซุบซิบคุยกันอย่างออกรส เพราะทั้งหมดรู้สึกสนุกสนานแปลกๆ ที่วิหารเฟิงฮ่าวครั้งนี้คิดขโมยไก่ไม่สำเร็จ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ…เรียกว่าหาเรื่องทุ่มหินทับเท้าตัวเองแท้ๆ!
“ต้วนหลิงเทียน ผลอมตะหยวนปะทุเป็นเพียงหนึ่งในของรางวัลที่ทางวิหารเฟิงฮ่าวเราจะมอบให้อันดับ 1 เช่นเจ้าเท่านั้น…ยังมีรางวัลในการเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏอีก ทว่าเรื่องนั้นเจ้าต้องมาเยือนวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักของเราด้วยตัวเอง”
ฉีคงไห่มองต้วนหลิงเทียนพลางส่งมอบผลอมตะหยวนปะทุให้ จากนั้นก็กล่าวเรื่องของรางวัลอื่นๆ
ถึงแม้การส่งมอบผลอมตะหยวนปะทุครั้งนี้จะทำให้มันรู้สึกทำใจลำบากเหลือเกิน แต่มันรู้ดีว่าไม่อาจไม่ส่งมอบออกไป!
หากไม่ส่งมอบออกไป เกรงว่าวิหารเฟิงฮ่าวคงต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั้งระนาบเทวโลกแล้ว และหลังจากนี้ไปความน่าเชื่อถือของวิหารเฟิงฮ่าวก็จบสิ้นกันพอดี วันหน้าคงไม่มีอัจฉริยะคนไหนอยากเข้าร่วมกับวิหารเฟิงฮ่าวอีก…
เมื่อเทียบกับเกียรติยศและศักดิ์ศรีของวิหารเฟิงฮ่าว ผลอมตะหยวนปะทุย่อมไม่อาจนับเป็นอะไรได้
“ขอบคุณรองจ้าววิหารฉี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณฉีคงไห่ด้วยรอยยิ้ม พลางรับผลอมตะหยวนปะทุมาอย่างไม่เกรงใจ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณ สิ่งนี้เป็นเจ้าได้มาด้วยความสามารถของเจ้าเอง”
ฉีคงไห่พยักหน้าตอบคำต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม เรียกว่าใบหน้าของมันยามนี้แลดูอ่อนโยนไม่ต่างสายลมฤดูใบไม้ผลิ ไม่คล้ายคนที่ไม่เต็มใจจะส่งมอบผลอมตะหยวนปะทุออกมาแม้แต่น้อย เหมือนเป็นแค่ผู้ใหญใจดีคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเห็นแบบนี้ต้วนหลิงเทียนยิ่งเพิ่มความระวังอีกฝ่ายมากขึ้น
เพราะมีหลายๆครั้ง ที่คนแลดูใจดีมีเมตตาเช่นมัน ล้วนซ่อนใบหน้าอำมหิตและร้ายกาจเอาไว้
ทวนเปิดเผยง่ายป้องกัน เกาทัณฑ์เร้นลับยากปัดป้อง…
“นอกจากนั้น หากเจ้าคิดเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวเรา เจ้าจะเข้าใช้มันเมื่อไหร่ก็ได้…เพียงไปเยือนวิหารเฟิงฮ่าวสาขาจี้เมี่ยเทียน และขอเข้าพบจ้าววิหารที่นั่น เดี๋ยวมันก็จะพาเจ้ามายังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเพื่อเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏด้วยตัวเอง”
ขณะกล่าวถึงจุดนี้ ฉีคงไห่ก็หันไปมองเกาะลอยเล็กๆเกาะหนึ่งไกลตา
และเกาะลอยเล็กๆที่ว่า ก็ปรากฏร่างหนึ่งเหินมาอย่างรู้งาน เป็นชายวัยกลางคน รูปร่างปานกลาง หน้าตาค่อนข้างธรรมดา มาในชุดคลุมสีดำ สีหน้าแลดูอึมครึมเป็นธรรมชาติ
“ต้วนหลิงเทียน ข้าคือจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาจี้เมี่ยเทียน เอี้ยยา”
ชายวัยกลางคนปริปากกล่าวคำแนะนำตัวเองพลางคลี่ยิ้มฝืนๆออกมา แต่รอยยิ้มของมันช่างแลดูน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก ชวนให้ใบหน้าที่เดิมอึมครึมกลายเป็นสยองไปกันใหญ่ “ไม่ว่าเจ้าต้องการไปใช้ห้องลับแห่งกฏที่วิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเมื่อใด ก็มาเยือนวิหารเฟิงฮ่าวสาขาจี้เมี่ยเทียนของเราได้ทุกเมื่อ”
“พอเจ้ามาถึงก็เพียงแค่แจ้งชื่อเท่านั้น”
เอี้ยยากล่าว
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนพยัยกหน้าขานรับ “เช่นนั้นวันหน้าข้าคงต้องไปรบกวนจ้าววิหารเอี้ยแล้ว”
“ไม่รบกวนๆ”
เอี้ยยาส่ายหัวไปมา ก่อนจะหันหลังและเหินร่างกลับ
“ไปกันเถอะ”
ขณะเดียวกัน พอฟงชิงหยางเห็นว่า ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ของตัวได้รับผลอมตะหยวนปะทุเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าก็เริ่มคลี่ยิ้มยินดีอย่างหาได้ยาก จากนั้นก็กล่าวชวนต้วนหลิงเทียน ก่อนจะหอบหิ้วร่างต้วนหลิงเทียนจากไปโดยตรง
ร่างทั้ง 2 อันตรธานหายไปในพริบตา กระทั่งในสายตายอดฝีมือ คนก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆหายลับไปในม่านเมฆฉับไว…
กระทั่ง 2 คนจากไปสักพักแล้ว สถานที่จัดการประลองศึกอัจฉริยะก็ยังคงอยู่ในความเงียบงัน
ครู่ต่อมา ค่อยหวนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ทุกคนเอาแต่พูดถึงการประลองก่อนหน้าไม่หยุด “ต้วนหลิงเทียนร้ายกาจเกินไป แต่ต้นจนจบแทบไม่ได้ทำอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ เรียกว่าอาศัยแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น ก็จัดการถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอยู่หมัดแล้ว…พวกมันไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย”
ไม่ว่าจะถังซานเป่าหรือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่กลับมานั่งที่ ทั้งคู่ก็ได้ยินวาจาทำนองเดียวกันดังเข้าหูไม่ขาดสาย และสัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่มองมา
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นยังไม่เป็นไร เพราะแลดูไม่แยแสอะไรสักนิด
แต่ด้านถังซานเป่านั้นแลดูหน้าม้าน ทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
สุดท้ายมันก็ทนไม่ไหว ได้แต่เหินร่างกลับไปนั่งกับพวกซูหลี่ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นและคนอื่นๆ และเลือกจะนั่งลงข้างๆหลิงเจวี๋ยอวิ๋น
ตอนนี้ที่นั่งตรงกลางระหว่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับซูหลี่ที่เดิมเป็นของต้วนหลิงเทียน ก็ได้ว่างเว้นเอาไว้ และถังซานเป่าก็ไม่คิดจะนั่งตรงนั้น
“พี่น้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ถามจริงนี่ท่านรู้จักสัตว์ประหลาดเยี่ยงพี่น้องต้วนมานานเท่าไหร่แล้ว แต่ก่อนพี่น้องต้วนร้ายกาจเยี่ยงนี้เสมอหรือไม่?”
ถังซานเป่าอดถามออกมาไม้ได้
กล่าวไปมันก็ไม่ได้รู้เรื่องราวความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ เรื่องเดียวที่มันรู้ก็คือต้วนหลิงเทียนนั้นได้รับสืบทอดมรดกจากจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางตั้งแต่อยู่ในระนาบโลกียะ และพึ่งจะกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงอย่างเป็นทางการของฟงชิงหยางก็เมื่อร้อยปีก่อนเท่านั้น…
“หลายร้อยปีที่แล้ว ข้ากับมันก็มีพลังพอๆกัน”
เสียงไร้แยแสของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดังขึ้น ราวกับมันไม่มีอารมร์ใดๆ แต่หากใครตั้งใจฟังให้ดีล่ะก็ จะพบว่าในน้ำเสียงนั้นยังมีร่องรอยของความสูญเสียอย่างยากจะพบอยู่บ้าง
“หลายร้อยปีก่อน พี่น้องท่านร้ายกาจพอๆกันรึ…ไฉนผ่านไปไม่กี่ร้อยปีพี่น้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋นถึงถูกทิ้งห่างนักเล่า?”
ถังซานเป่าอดอึ้งไปไม่ได้ “ข้าได้ยินว่า…ท่านเป็นถึงนายน้อยตระกูลใหญ่จากระนาบเทพเลยนี่นา ไฉนถึงพ่ายแพ้คนในระนาบเทวโลกได้ล่ะ? แถมพี่น้องต้วนไม่ใช่ชนพื้นเมืองของระนาบเทวโลกด้วยนะ แต่เป็นคนของระนาบโลกียะที่ขึ้นสวรรค์มา”
“เรื่องของข้า”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้หันหน้า เพียงเหลือบมองถังซานเป่าด้วยหางตาพลางเอ่ยเสียงเย็น ทำให้สีหน้าถังซานเป่าแดงขึ้นทันที ยังแลดูฮึดฮัดอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่เซ้าซี้อะไรสืบต่อ
“เอาล่ะ…ถึงแม้บัดนี้ 3 อันดับแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์จักถูกตัดสินแล้ว แต่อันดับที่เหลือยังมีโอกาสให้พวกเจ้าช่วงชิงกันอยู่”
เสียงของฉีคงไห่ดังขึ้นอีกครั้ง ดึงความสนใจของทุกคนกลับคืน “ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า…ศึกอัจฉริยะสวรรค์จักดำเนินสืบต่อ”
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนจากไปพร้อมฟงชิงหยางนั้น ทั้งคู่ก็ไปกันแค่ 2 คน
จักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่างเมิ่งหลัว ไม่ได้ติดตามไปด้วย
“ท่านอาจารย์ นรกอสุราอยู่ที่ไหนเหรอ?”
ระหว่างทางต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย
เพราะเขาพบว่าอาจารย์ไม่ได้พาเขาไปยังสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน แต่พาเขาเหินร่างออกนอกเขตพระราชวังและมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
“มันตั้งอยู่ในระนาบอิสระ”
ฟงชิงหยางกล่าว
“ระนาบอิสระ?”
ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง
“ทุกระนาบเทวโลก ขอเพียงมุ่งหน้าไปตามทิศตะวันออกของระนาบนั้นๆจนสุดทาง พอไปถึงแนวกั้นของระนาบแล้ว ก็จะพบจุดเคลื่อนย้ายเพื่อส่งตัวไปยังนรกอสุรา”
ฟงชิงหยางกล่าว “หากคิดกลับ ก็ไม่ยากอะไรเพราะค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ตั้งอยู่ใกล้ๆจุดค่ายกลส่งตัว…อย่างไรก็ตามหากใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจากระนาบอิสระที่นรกอสุราตั้งอยู่ จะทำได้แค่ส่งตัวไปยังใกล้ๆแนวกั้นของระนาบเทวโลกเท่านั้น ไม่ได้ไปโผล่ยังค่ายกลเคลื่อนย้าย”
“อีกทั้งขากลับ จะปรากฏยังระนาบเทวโลกใด ก็ไม่อาจระบุได้”
“ดังนั้นโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เข้าสู่นรกอสุรา มีน้อยคนนักที่ตอนกลับออกมา จะปรากฏในระนาบเทวโลกเดิม…เพราะโอกาสโผล่ในระนาบเดิมก็มีแค่ 1 ใน 81 เท่านั้น”
ฟังคำอธิบายของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่ง “ท่านอาจารย์ เช่นนั้น…ในอดีตก่อนที่ท่านจะหลบหนีเข้าไปยังนรกอสุรา ก็ไม่ใช่ว่าสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายในระนาบอิสระที่นรกอสุราตั้งอยู่ได้หรอกเหรอ?”
“เจ้านั่นที่ไล่ล่าท่าน…ก็ไม่น่าจะมาโผล่ระนาบเดียวกับท่านไม่ใช่หรือไร?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“ก็ใช่”
ฟงชิงหยางพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา “เพียงแค่ตอนนั้นมันไล่ตามข้ามากระชั้นเกินไป หลังข้าเคลื่อนย้ายมาถึงระนาบอิสระที่ตั้งนรกอสุราแล้ว ข้าไม่มีเวลามากพอจะไปใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อย้อนกลับ ทำได้แค่เร่งรุดเข้าไปในนรกอสุราโดยไม่เหลียวหลังเท่านั้น”
“พอมองย้อนกลับไป วันนั้นต้องกล่าวว่าดีแล้วที่มันไล่ข้าไปกระชั้นชิดขนาดนั้น…หาไม่แล้วหากข้ามีโอกาสทำอย่างที่เจ้าว่า ข้าคงพลาดโอกาสอันดีแน่”
หลังฟงชิงหยางกล่าวถึงจุดนี้ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เพราะโอกาสที่มันพบเจอ เป็นดั่งวาสนาในคราวเคราะห์จริงๆ