เพื่อที่จะเข้าสู่ห้องลับกฏแห่งเวลาที่ว่า ต้วนหลิงเทียนก็จำต้องเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในโลกใบเล็กของฟงชิงหยางเสียก่อน และให้ฟงชิงหยางพาเข้าไปส่ง
และในระหว่างเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่ากลัวและทรงพลังที่แผ่ออกมาจากทุกทั่วหัวระแหงในช่องทางอันนำไปสู่ห้องลับแห่งกฏเวลา กระทั่งเป็นร่างจริงของอาจารย์เขาเอง คิดจะบุกฝ่าเข้ามาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย
‘เหอะๆ หากเป็นข้าทะลึ่งพรวดเข้ามาคนเดียว เกรงว่าคงตายหยังเขียดไปตั้งแต่ปากทาง…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างหวาดเสียว
“ท่านอาจารย์”
ขณะเดียวกัน เมื่อต้วนหลิงเทียนพบว่าสถานการณ์ด้านนอกไม่ค่อยมีอันตรายมากแล้ว เขาที่ฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งก็เอ่ยถามฟงชิงหยางทันที “หลังจากบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ก็สมควรมีแต่ร่างจริงที่ยังมีโลกใบเล็ก แต่ร่างอวตารกฏไม่มีโลกใบเล็กใช่หรือไม่?”
โลกใบเล็กภายในกายของฟงชิงหยางอาจารย์เขา ถึงแม้จะไม่มีสีสันเหมือนโลกใบเล็กของเขา เพราะในโลกใบเล็กเขาไม่เพียงแต่จะมีเทพเบญจธาตุทั้ง 5 เท่านั้น ยังมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพรวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพอีกด้วย…
อย่างไรก็ตามหากจะวัดกันเรื่องความกว้างขวางใหญ่โตแล้วล่ะก็ โลกใบเล็กของอาจารย์เขาเรียกว่ากว้างใหญ่กว่าโลกใบเล็กเขาหลายขุม เรียกว่าไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย
อีกทั้งตอนที่อาจารย์เขาฟงชิงหยางลงมือ ด้านในโลกใบเล็กแห่งนี้แม้จะไม่มีอะไร แต่กลับปรากฏพลังอันน่าสะพรึงกลัวฟุ้งตลบไปทั่ว คล้ายมีเมฆหมอกดำทะมึนก่อเกิดปกคลุมไปทั้งโลกอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าหลังจากอาจารย์เขาฟงชิงหยางหยุดมือ ความแปรปรวนและสิ่งต่างๆในโลกใบเล็กก็อันตรธานหายไปทันที
“ย่อมไม่มี”
ฟงชิงหยางกล่าวตอบ “มีเพียงร่างจริงเท่านั้นที่จะรองรับอะไรเช่นนั้นได้…ร่างอวตารแห่งกฏจะอย่างไรก็ถือว่าเป็นแค่ร่างแยกที่เกิดขึ้นจากการควบรวมพลังแห่งกฏผสานเข้ากับพลังเทพเท่านั้น ไม่ต่างอะไรจากร่างพลังงาน”
“อาศัยร่างพลังงานที่เกิดจากพลังเทพกับพลังของกฏ ย่อมไม่มีพลังอำนาจพื้นฐานของสวรรค์และโลก ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับร่างจริงได้”
“อีกทั้งร่างอวตารกฏ ก็ไม่ได้มีเจตจำนงเป็นของตัวเอง เป็นข้าที่คอยควบคุมทุกการเคลื่อนไหว”
“เช่นเดียวกับร่างอวตารกฏแห่งดินของข้าก่อนหน้า แม้มันจะแยกตัวออกไปเคลื่อนไหวทำนู่นนี่นั่นด้านนอก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นข้าควบคุม ไม่ว่าจะการใช้พลังอันใดแม้กระทั่งพลังของกฏธาตุดินเองก็ตาม”
คำพูดของฟงชิงหยางก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเข้าใจร่างอวตารกฏเพิ่มขึ้น และกล่าวไปเขาก็คุ้นชินพอสมควร เพราะร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวที่เข้าควบสร้างได้ ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน…
ส่วนร่างอวตารกฏนั้น ขอเพียงบรรลุถึงขอบเขตเทพ และเข้าใจความลึกซึ้งของกฏถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งอันใด ก็สามารถใช้พลังเทพควบรวมกับพลังแห่งกฏนั้นๆสร้างขึ้นมาได้ทันที
ดุจเดียวกับฟงชิงหยาง หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคและเอาชนะช่องทางสายนี้จนไปพบเจอห้องลับแห่งกฏเวลาได้ หลังจากเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการนอกจากความหมายแห่งเวลา ก็สามารถใช้พลังเทพควบสร้างร่างอวตารกฏเวลาทันที
ฟงชิงหยางยังไม่ได้ทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏเวลาแต่อย่างใด
นอกจากนั้นห้องลับแห่งกฏก็เพียงช่วยเหลือผู้ที่เข้าใช้ ให้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นๆอย่างเดียว ไม่มีความสามารถในการช่วยให้ใครบรรลุความเข้าใจในการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏได้ เพราะการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏนั้นแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทุกคนต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเอง
แต่แน่นอนว่าห้องลับแห่งกฏเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีส่วนช่วยให้ผู้คนทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยๆมันก็ทำให้ผู้คนริเริ่มเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้
“ถึงแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นานนัก ปลายทางของช่องทางเดินสายนี้ก็ปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียนย ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็พบว่าปลายสุดของช่องทางนั้นมีประตูมิติตั้งอยู่ พอเข้ามาแล้วก็ถูกส่งตัวมายังโลกใบเล็กแห่งหนึ่ง
“นี่เป็นระนาบอิสระขนาดย่อม”
ฟงชิงหยางกล่าว
“ค่ายกลเคลื่อนย้ายถูกจัดตั้งไว้ในพื้นใต้เท้าข้า”
“หลังจากนี้ข้าจะเฝ้ารอเจ้าอยู่ที่นี่…หากเจ้าถูกปฏิเสธให้รีบติดต่อข้าทันที ข้าจะได้พาเจ้าเข้ามาหลบในโลกใบเล็กเพื่อหลีกเลี่ยงพลังกดดัน”
“ครอบครัวรวมถึงสหายเจ้าก็เช่นกัน…หากใครถูกปฏิเสธเจ้าก็รีบพากลับเข้าไปหลบในโลกใบเล็กของเจ้าเสีย”
ฟงชิงหยางไม่ลืมกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับ จากนั้นภายใต้การชี้แนะของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปยังห้องลับแห่งกฏเบื้องหน้า…
ห้องลับแห่งกฏที่ว่า เป็นตำหนักเล็กๆหลังหนึ่ง ภายนอกแลดูวิจิตรบรรจงให้ความรู้สึกเลอค่าทั้งงดงามไม่น้อย อีกทั้งทั่วทุกแห่งหนยังเต็มไปด้วยกระแสพลังหลากสีสันลอยล่องปานสายธาร ดูจากสีเขาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นพลังของกฏแห่งธาตุทั้ง 5
ตัวอย่างเช่นด้านบนตำหนัก บริเวณยอดแหลมก็มีกระแสพลังสีทองที่ม้วนวนเร็วไว คล้ายอสรพิษซุกซนเลื้อยลดขดตัวไปมา
บริเวณผนังรอบตำหนักเห็นชัดว่ามีกระแสพลังสีเขียวค่อยๆไหลเอื่อยนวลตา
พื้นตำหนักเองก็เห็นไอพลังสีกากีกระเพื่อมไหวคล้ายสายน้ำที่ไม่หยุดนิ่ง
และพลังสีเขียวนั่น สมควรเป็นพลังของกฏแห่งลม แต่พิกลนักเดิมทีพลังของกฏแห่งลมที่สมควรมีความเร็วสูงที่สุดแต่บัดนี้กว่ามันจะไหลวนครบรอบตำหนักสักรอบกลับเชื่องช้าจนน่าเวทนานัก เรียกว่าช้ายิ่งกว่าเต่าขาเจ็บเสียอีก หากต้วนหลิงเทียนไม่ได้มองจ้องมันอย่างจริงจัง เกรงว่าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกำลังเคลื่อนไหวอยู่
‘กระแสพลังของกฏแห่งลมนั่น สมควรได้รับผลกระทบอะไรบางอย่างจากพลังของกฏเวลาล่ะมั้ง…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
จากนั้นเมื่อชมดูความสวยงามจนพอใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในตำหนักเบื้องหน้า
พอเข้ามายังด้านในตำหนัก เพียงแลเห็นการตกแต่งภายในของตำหนัก ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับยืนดูอย่างทึมทื่อไปพักหนึ่ง…เพราะของตกแต่งภายในตำหนักนั้นล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับเวลาต่างๆ ไม่ว่าจะนาฬิกาทราย นาฬิกาน้ำ เรียกว่าอุปกรณ์ใดๆที่เกี่ยวข้องกับเวลาล้วนปรากฏให้เห็นที่นี่ทั้งสิ้น และไม่มีชิ้นไหนที่ซ้ำกันเลย
ที่ทำให้เขาชอบก็คือนาฬิการูปแบบต่างๆ
เขาเห็นนาฬิกาที่มีลักษณะค่อนข้างทันสมัยในโลกเก่า รวมถึงนาฬิกาที่ต้องใช้คำว่า ‘คลาสสิค’ มาบรรยาย ไม่ว่าจะนาฬิกาลูกตุ้มโบราณแบบตะวันตกหรือนาฬิกาไขลาน กล่าวได้ว่านาฬิกาแทบทุกประเภทล้วนลอยล่องอยู่ในอากาศ พาลให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนตอนนี้ตัวเองอยู่ในพิพิธภัณฑ์นาฬิกาในโลกเก่าเมื่อชีวิตที่แล้วอยู่บ้าง
และในขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าภายในตำหนักหลังนี้ เพียงแผ่สำนึกเทวะออกไป เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังงานอันลี้ลับอัศจรรย์ที่ลอยยอยู่เต็มไปหมด พลังงานเหล่านี้บ้างเร็วบ้างช้า และดูเหมือนพลังงานทั้งหลายคล้ายจะหลบหนีสำนึกเทวะของเขา
แต่อาศัยเพียงหนึ่งห้วงคิด สำนึกเทวะของเขาก็ไล่ตามไปปกคลุมมัน จากนั้นก็จับมันมาลองผสานเข้าสู่จิตวิญญาณเขา
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าความเข้าใจในกฏเวลาในอดีตของเขา จุดที่ยังไม่เข้าใจก็กลายเป็นเริ่มเข้าใจ บางอย่างก็เข้าใจได้ทันทีราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับมันอยู่แล้ว
‘นี่คือธาตุแห่งเวลา…’
เพียงห้วงคิด ต้วนหลิงเทียนก็แผ่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมาผสานรวมเข้ากับพลังธาตุแห่งเวลา จากนั้นพลังดังกล่าวก็เริ่มม้วนวนคลุมกายเขา
ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า แผ่สำนึกเทวะเข้าไปจับพลังลี้ลับของกฏเวลาที่เต็มไปทั่วตำหนักมาผสานรวมเข้ากับจิตวิญญาณเขาทันที
‘ห้องลับแห่งกฏมันวิเศษถึงขนาดนี้เชียวหรือ…แค่จับพลังแห่งกฏที่อยู่ในนี้มาผสานรวมเข้ากับวิญญาณก็สามารถเข้าใจมันได้โดยตรง’
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตกใจมาก
จังหวะนี้เขาเริ่มอธิษฐานในใจ ว่าขอให้เขาอย่าได้โดนขับไล่เหมือนกับเมิ่งหลัวเลย!
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนพึ่งภาวนาอธิษฐานในใจได้ไม่ทันไร ไม่ทันได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาประการที่ 2 นอกจากความหมายแห่งเวลา เขาก็พบว่ามีแรงผลักดันมหาศาลขุมหนึ่งกำลังผลักไล่ไสส่งเขาให้ออกไปจากตำหนัก
‘บ้าจริง แรงกดดันพลังนี่มันคิดจะขับข้าออกไป!’
ต้วนหลิงเทียนที่หลับตาอยู่พลันลืมตาขึ้นมาทันที สีหน้ายังกลายเป็นจริงจังขรึมเคร่ง และพอนึกถึงคำเตือนของอาจารย์ เขาก็ไม่รอช้าเร่งใช้พลังของมรรคากระบี่มิติรวมถึงวิถีควบคุมออกมาทันที
‘ท่านอาจารย์บอกว่าสามารถอยู่ทำความเข้าใจที่นี่ได้ เพราะอาศัยพลังของมรรคากระบี่ทำลายล้าง’
‘บางที สิ่งที่จะทำให้สถานที่แห่งนี้ยอมรับได้คือพลังของจตุรวิถีในสวรรค์และโลก!’
เพียงใจคิด พลังอำนาจของมรรคากระบี่มิติ และวิถีควบคุมก็ถูกต้วนหลิงเทียนใช้ออกทันที จากนั้นต้วนหลิงเทียนที่เดิมสัมผัสได้ถึงแรงกดดันพลังมหาศาลที่คอยขับไล่เขา ไม่นานนักเขาก็พบว่าแรงกดดันดังกล่าวค่อยๆถดถอยกลับไปอย่างไม่คิดฝัน
จังหวะนี้สองตาเขาพลันลุกวาวฉายแสงจ้าขึ้นมาทันที “ได้เรื่อง! ใช้ได้จริงๆ!!”
ต้องทราบด้วยว่าแม้อาจารย์เขาจะกล่าวชี้แนะเอาไว้แต่แรกแล้ว แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่ามันจะใช้ได้ผลรึเปล่า เพียงแค่บอกให้เขาลองดู
มาตอนนี้หลังจากลองดู เขาก็พบว่ามันใช้การได้จริงๆ!
‘ให้ท่านพ่อท่านแม่ แล้วก็พวกเสี่ยวเฟยเอ๋อลองดูด้วยดีกว่า…’
หลังจากยืนยันได้แน่ชัดแล้วว่าแม้จะถอนรั้งพลังของมรรคากระบี่มิติกับวิถีควบคุมคืนกลับ ตัวตำหนักก็ไม่แผ่พลังมาขับไล่เขาอีก ต้วนหลิงเทียนก็เปิดโลกใบเล็กภายในกายเขาทันที และติดต่อไปหาบิดามารดา ภรรยา ลูกสาว ลูกชาย และเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ที่ตอนนี้โตกันหมดแล้ว เพื่อให้ทุกคนลองออกมาดูว่าสามารถใช้ห้องลับแห่งกฏเวลานี้ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วต้วนหลิงเทียนก็พบว่านอกจากต้วนซือหลิงลูกสาวเขา คนอื่นๆล้วนถูกแรงกดดันพลังของตำหนักหลังนี้ขับไล่กันหมด และถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะลองใช้พลังของวิถีควบคุมกับมรรคากระบี่มิติกางกั้นสร้างม่านพลังโดยรอบเพื่อปกคลุมทุกคนเอาไว้ ก็ไม่ได้ผล…
สุดท้ายคนอื่นๆก็ต้องกลับเข้าไปหลบอยู่ในโลกใบเล็กภายในกายของเขาเท่านั้น
“อ๋อยย…น่าเสียดายอ่า ทำไมข้าฝึกฝนในนี้ไม่ได้เล่า….”
ภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียน เสี่ยวจินก็โอดครวญออกมาด้วยความเสียดายก่อนใคร
“แทนที่จะบอกว่าฝึกฝน ให้พูดว่าสถานที่แห่งนี้มันมอบกฏแห่งเวลาให้พวกเราเลยจะดีกว่า…แต่ไม่คิดเลยว่านอกจากพี่ใหญ่หลิงเทียนแล้ว จะมีแค่ซือหลิงคนเดียวที่ไม่ถูกปฏิเสธ สิ่งนี้เป็นเพราะอะไรกันนะ?”
เสี่ยวไป๋เอ่ยขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“อาจเป็นเพราะว่า…ซือหลิงเดิมทีก็ใช้กฏแห่งเวลาอยู่แล้วหรือไม่ อีกทั้งนอกจากกฏแห่งเวลาแล้ว ซือหลิงก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับกฏอื่นอีกเลย?”
เฟิงเทียนหวู่คาดเดา
และการคาดเดาของเฟิ่งเทียนหวู่ก็ไม่ใช่แค่คนอื่นเท่านั้น แต่ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดว่าเป็นคำตอบที่น่าจะถูกที่สุดเช่นกัน
“เสี่ยวเทียน”
และทันใดนั้นเอง วารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุที่อยู่ในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจอย่างหาได้ยาก “เจ้า…นี่เจ้าค้นพบสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร!?”
“เสี่ยวเทียน! สิ่งนี้มิใช่แค่ห้องลับแห่งกฏเวลาธรรมดาๆ…แต่มันเป็นห้องลับแห่งกฏที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเหลือไว้!”
คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันของวารีเทพชำระโลกา นำพาความตกใจมาสู่ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “พี่สาวสุ่ยท่านว่าอะไร? ที่นี่เป็นห้องลับแห่งกฏที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเหลือไว้?”
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เล่ารายละเอียดให้วารีเทพชำระโลกาฟัง ว่าเขามาถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร
“เสี่ยวเทียน อาจารย์ของเจ้าโชคดียิ่งนัก”
วารีเทพชำระโลกาถอนหายใจออกรอบหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า “สถานที่แห่งนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นดั่งดินแดนศักดิ์สิทธ์ถ้ำสวรรค์ที่ผู้แข็งแกร่งสร้างเอาไว้…หากข้าเดาไม่ผิด ในช่องทางสุดท้ายที่ว่า สมควรเป็นมรดกที่แท้จริงที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเหลือเอาไว้”
“สำหรับ 3 ช่องทางแรก ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าบททดสอบที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างทิ้งไว้ เพื่อคัดเลือกผู้สืบทอดที่เหมาะสม!”
“กล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้ก็คือมรดกสถานของผู้แข็งแกร่งที่สุด และฟังจากเรื่องที่อาจารย์เจ้าได้ยินเสียงเพรียกนั่น ไม่พ้นอาจารย์ของเจ้าต้องได้รับการยอมรับจากเจตจำนงของมรดกสถานแห่งนี้ จนกลายเป็นผู้สืบทอดของผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้วเป็นแน่”
ต้วนหลิงเทียนย่อมเชื่อคำพูดของวารีเทพชำระโลกาอย่างไม่คิดจะสงสัยเลย เพราะในโลกนี้หากจะมีใครรู้ว่าที่นี่คืออะไรก็ไม่พ้นต้องเป็นวารีเทพชำระโลกา และนั่นทำให้สองตาเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที เร่งติดต่อไปหาอาจารย์แล้วกล่าวบอกเรื่องนี้ทันที
“ท่านอาจารย์ ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมกล่าวคำแสดงความยยินดีกับอาจารย์ของเขาจากใจ
“มรดกสถานของผู้แข็งแกร่งที่สุด?!”
พอฟงชิงหยางได้ยินเรื่องราวจากต้วนหลิงเทียน ก็เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย “เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากผู้ใดหรือ?”
“เป็นวารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุของข้า และนางก็เคยเป็นอดีตเทพเบญจธาตุที่เคยหล่อเลี้ยงพฤกษาเทพกำเนิดชีพในซากปรักหักพังของระนาบเทพ เป็นตัวตนที่ดำรงอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวยย้ำด้วยยความมั่นใจ “สิ่งที่นางพูด ไม่ควรผิดพลาด”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ฟงชิงหยางก็เริ่มเชื่อทันที ตอนแรกมันคิดว่าทั้งหมดเป็นการคาดเดาของศิษย์อย่างต้วนหลิงเทียนเท่านั้น ปรากฏว่าผู้ที่ให้ข้อมูลกลับเป็นถึงวารีเทพชำระโลกาที่เคยอยู่ร่วมกับพฤกษาเทพกำเนิดชีพ เช่นนั้นสมควรไม่ใช่เรื่องเท็จแน่นอน
“ไม่คิดเลย…ไม่คิดเลยจริงๆ”
หลังได้รับคำยืนยันแล้ว แม้ใจของฟงชิงหยางจะยังนิ่งสงบเหมือนน้ำ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจ