ถึงแม้ฟงชิงหยางจะรู้สึกได้แต่แรกแล้วว่าสถานที่แห่งนี้ไม่น่าจะธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าที่แท้มันจะเป็นถึงมรดกสถานของผู้แข็งแกร่งที่สุด!
เดิมทีมันก็คิดว่าประเมินไว้สูงแล้ว ว่าที่นี่น่าจะเหลือทิ้งไว้โดยตัวตนที่สมควรอยู่ในขอบเขตจอมราชันเทพ ไม่ก็จักรพรรดิเทพอะไรทำนองนั้น
สำหรับตัวตนระดับอริยะเทพ ที่ในสวรรค์และโลกจะเป็นรองก็แต่ผู้แข็งแกร่งที่สุด ฟงชิงหยางไม่กล้าคิดไปไกลขนาดนั้น
แต่มาวันนี้ มันกลับได้รับทราบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกเหลือไว้โดยตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุด!
แล้วช่องว่างระหว่างตัวตนระดับอริยะเทพกับผู้แข็งแกร่งที่สุดมากขนาดไหน?
จากข่าวลือที่ฟงชิงหยางเคยได้ยินมา เหล่าผู้ที่อยู่ใต้อาณัติตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุด ล้วนแล้วแต่เป็นอริยะเทพทั้งสิ้น!
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่อริยะเทพธรรมดาๆ!
ด้วยเหตุผลทั้งหมด ทำให้หลังได้รับข้อมูลที่ต้วนหลิงเทียนยืนยัน จึงทำให้อารมณ์ในใจฟงชิงหยางยากจะสงบลงอยู่นาน
“ในช่องทางสุดท้ายนั่น…มีมรดกที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่งั้นรึ?”
ถึงแม้ฟงชิงหยางจะอยู่มาเป็นหมื่นปี แถมตลอดเส้นทางที่ผ่านมาก็ล้วนผจญความยากลำบากมานานานับประการกว่าจะมีวันนี้ได้ แต่พอได้รับทราบว่าตัวเองได้รับการยอมรับจากผู้แข็งแกร่งที่สุด ทั้งมีโอกาสได้รับสืบทอดมรดกของผู้แข็งแกร่งที่สุด มันก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่พักหนึ่ง ผ่านไปสักพักถึงจะค่อยสงบสติอารมณ์ลงได้
แต่นี่ก็นับว่าควบคุมสติได้ดีมากแล้ว หากเป็นเทพคนอื่น และอย่าว่าแต่เทพเลย ให้เป็นราชาเทพ จอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพ หรือแม้กระทั่งอริยะเทพก็ยังต้องดีใจจนเนื้อเต้น!
มรกดกของผู้แข็งแกร่งที่สุดคืออะไร?
ผู้แข็งแกร่งที่สุดคือตัวตนที่มีระดับพลังสูงสุดในสวรรค์และโลกแห่งนี้ กอปรด้วยอายุขัยไร้จำกัด ปกติแล้วหากคิดจะรับศิษย์สักคน เกรงว่าแค่ออกปากคำเดียว ก็ต้องสร้างความแตกตื่นฮือฮาครั้งยิ่งใหญ่
“ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เหลือมรดกสถานแห่งนี้ไว้…สมควรเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่รู้ว่าชีวิตของตัวเองกำลังจะถึงจุดจบงั้นเหรอ?”
หลังได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจากวารีเทพชำระโลกา ต้วนหลิงเทียนก็อดแปลกใจไม่ได้
“พี่สาวสุ่ย เรื่องนี้ท่านแน่ใจหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็สมควรมีพลังร้ายกาจมากไม่ใช่หรือไร ถึงแม้คู่ต่อสู้จะร้ายกาจเช่นกัน แต่ถึงจะสู้ไม่ได้ ก็น่าจะหนีได้ไม่ใช่รึไง?
ตัวตนเช่นนี้ ไฉนเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเลือกจะทิ้งมรดกสถานเอาไว้ได้?
“สมควรเป็นแบบนั้น”
วารีเทพชำระโลกาขานรับก่อน ค่อยแจกแจงเหตุผล “ปกติแล้วหากผู้แข็งแกร่งที่สุดคิดหาผู้สืบทอด แค่พูดคำเดียว ก็มีคนนับไม่ถ้วนที่รอไปเข้าร่วมการทดสอบแล้ว และไม่ว่าจะสั่งให้กระทำเรื่องอะไร ก็ต้องมีคนที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อทำให้สำเร็จให้ได้แน่”
“เสี่ยวเทียน เจ้าไม่อาจประเมินอิทธิพลของผู้แข็งแกร่งที่สุดได้ออกหรอก…”
“นั่นคือตัวตนที่ดำรงอยู่ ณ จุดสูงสุดของสวรรค์และโลกแห่งนี้ แค่หนึ่งวาจาก็ตัดสิความเป็นความตายของสรรพชีวิตนับล้านๆได้”
“เช่นนั้นปกติแล้วผู้แข็งแกร่งที่สุดที่มาสร้างมรดกสถานทิ้งไว้ ล้วนแล้วแต่เป็นตะเกียงใกล้หมดน้ำมันทั้งสิ้น และตัวตนเช่นนี้พอนึกขึ้นได้ว่าตนฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ ดำรงอยู่มาก็เนิ่นนานแต่กลับไม่มีผู้สืบทอดสักคน ช่วงสุดท้ายในชีวิตย่อมรู้สึกเสียใจไม่น้อย จึงเลือกที่จะทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดสร้างมรดกสถานทิ้งเอาไว้…”
หลังได้ยินสิ่งที่วารีเทพชำระโลกาพูด ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน
คำยิ่งสูงยิ่งหนาว นับว่าที่ไหนก็มีจริงๆ
ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของสวรรค์และโลก คาดว่าทั้งชีวิตคงไม่มีวันคิดฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะเป็นตะเกียงสิ้นน้ำมัน และเมื่อถึงจุดสุดท้ายก่อนไฟตะเกียงจะดับลง ค่อยสำนึกเสียใจที่ไม่เคยเฟ้นหาผู้สืบทอดหรือทายาท เรียกว่าสำนึกได้ก็สายไปแล้ว…
ในห้วงเวลาแบบนี้ ตัวตนเช่นนั้น่ยอมไม่อยากให้ทุกสิ่งที่ตัวเองเพียรสร้างต้องสลายหายไป แน่นอนว่าย่อมทุ่มเททุกสิ่งที่เหลือในบั้นปลายชีวิตสร้างมรดกสถาน เพื่อหวังให้มีคนสืบทอดเจตนารมณ์กระทั่งความรู้ชั่วชีวิตของตัวเองต่อไป
หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่มีครอบครัวหรือลูกศิษย์ ก็คงไม่มีปัญหา เพียงส่งต่อให้ลูกหลานเหล่าศิษย์ก็จบ ไม่ต้องลำบากมาสร้างมรดกสถานแบบนี้
“อย่างไรก็ตาม ทันทีที่อาจารย์ของเจ้ารับสืบทอดมรดกของผู้แข็งแกร่งที่สุดคนนั้นมา ขณะเดียวกันก็จะต้องแบกรับผลของการเป็นผู้สืบทอดเช่นกัน…วันหน้าหากอาจารย์เจ้าอาศัยมรดกแห่งนี้จนบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้ ต่อให้ตัวผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สร้างมรดกสถานแห่งนี้ไว้จะไม่ได้ร้องขอให้ช่วยล้างแค้น…แต่ตัวตนที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่สุดต้องสร้างมรดกทิ้งไว้จบชีวิตลง เกรงว่าจะไม่คิดปล่อยอาจารย์เจ้าไปง่ายๆ…”
วารีเทพชำระโลกากล่าวออกเสียงหนัก “ในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ทำให้เจ้าของมรดกต้องตาย อาจารย์เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากหน่อเนื้อเชื้อไขของศัตรูร้าย มันที่ฆ่าต้นหลักไปแล้ว…พอปรากฏตัวผู้สืบทอดขึ้นมา ก็ย่อมต้องคิดตัดรากถอนโคน ยังจะฆ่าทิ้งตั้งแต่ยังไม่เติบโตเต็มที่ เพื่อไม่เปิดโอกาสให้อาจารย์เจ้ากลายเป็นเภทภัยในภายภาคหน้า”
“ผู้แข็งแกร่งที่สุดเองก็มีแบ่งแยกสูงต่ำ และไม่ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่มานานกว่าจะแข็งแกร่งกว่าเสมอไป…อัจฉริยะบางคนสามารถบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้ในเวลาอันสั้น อัจฉริยะเหล่านี้เมื่อผงาดมาถึงระดับพลังสูงสุดในสวรรค์และโลกแล้ว ก็จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดระดับต้นๆ”.
“หากคนที่เข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นเจ้าของมรดกสถานแห่งนี้ รู้เรื่องอาจารย์เจ้าล่ะก็ ไม่พ้นมันก็ต้องบังเกิดความกังวลใจทันที…ว่าหากอาจารย์เจ้าบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ใช่จะมาฆ่ามันเพื่อล้างแค้นให้ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นเจ้าของมรดกหรือไม่?”
คำพูดต่อมาของวารีเทพชำระโลกา ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนร่วงตกลงทันที
เพราะดูเหมือนการได้รับสืบทอดมรดกของผู้แข็งแกร่งที่สุดจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป!
“ผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เจ้ามีก็เช่นกัน”
วารีเทพชำระโลกากล่าวสืบต่อ “ผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด ล้วนถูกสร้างขึ้นก่อนตายทั้งสิ้น และผู้ที่สังหารเจ้าของผลึกได้น่ากลัวว่าย่อมคุ้นชินวิธีการลงมือของผู้สร้างผลึกดี…วันหน้าหากเจ้าอาศัยผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด จนบรรลุถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดได้ หากเจ้าไม่เผยพลังออกมาก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากเผยพลังออกมา จะมากจะน้อยก็ต้องมีเค้าลางร่องรอยอยู่…”
“คนที่เคยเข่นฆ่าเจ้าของผลึกในตอนนั้น หากยืนยันได้ว่าเจ้าได้ผลึกสำนึกมา น่ากลัวว่าจะสังหารเจ้าตั้งแต่ในเปลเช่นกัน”
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็กำลังวิตกกังวลเรื่องของอาจารย์ พอได้ยินวารีเทพชำระโลกาเอ่ยถึงเรื่องเขาต่อ ก็ถึงกับสมองตื้อไปทันที
ปรากฏว่าที่แท้เขาก็ได้แบกรับความเสี่ยงจากศัตรูของเจ้าของผลึกสำนึกแล้ว?
อย่างไรก็ตาม พอนึกถึงความช่วยเหลือที่ได้รับจากผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดมาโดยตลอด สองตาต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเผยประกายมุ่งมั่น “ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดช่วยเหลือข้าเอาไว้มาก…เพราะมีมันข้าถึงประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้”
“หากวันหน้าข้าได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดบ้าง…ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่สังหารเจ้าของผลึกในมือข้า หากไม่มาหาข้าก็แล้วไป แต่หากมันมาหาเรื่องข้า ตัวข้าจะหาทางแก้แค้นให้ ยุติเวรกรรมนี้เสีย!”
หลังได้ยินคำพูดของวารีเทพชำระโลกาต้วนหลิงเทียนไม่เพียงไม่กลัว แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่เขาจะได้ล้างแค้นให้เจ้าของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในมือเขา
เขาไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณ
ถึงแม้ว่าผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในมือจะเป็นหวงเจียหลงมอบให้เขามา แต่ก็ถือว่าเขาได้ผูกบ่วงกรรมกับมันเอาไว้แล้ว
และบ่วงกรรมนี้หากไม่มีโอกาสก็ช่างมัน
แต่ถ้ามีโอกาสสะบั้น เขาก็เลือกที่จะจบมัน
นี่เป็นหลักการของเขา
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะแจ้งเรื่องราวนี้ให้อาจารย์ของเขารับทราบเช่นกัน
ด้านฟงชิงหยางพอได้รับข้อความของต้วนหลิงเทียน มุมปากก็ยกยิ้มไม่แยแส ก่อนจะตอบกลับไปว่า “หากข้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด ถ้าศัตรูของเจ้าของมรดกไม่มาหาข้าก็แล้วไป แต่ถ้ามันมาหาข้า นั่นก็เท่ากับเปิดเผยตัวให้ข้ารู้ว่ามันเป็นใคร”
“ถึงตอนนั้นเว้นเสียแต่มันจะฆ่าข้าให้ตายได้…หากข้าไม่ตาย ข้าจะส่งมันไปตามทาง!”
วาจาของฟงชิงหยางก็เรียบง่ายนัก ในน้ำเสียงก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวอะไรเลย
ได้ยินข้อความของอาจารย์ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้ม เพราะดูเหมือนอาจารย์เองก็คิดแบบเดียวกับเขา
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าจดจ่อกับดูดซับพลังของกฏเวลาต่อเถอะ…หลังดูดซับพลังของกฏเวลา จนเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว พวกเราจะได้กลับกัน”
ฟงชิงหยางกล่าวส่งข้อความไปอย่างทอดถอนใจ “เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าอาจจะถูกขับไล่ออกมา แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะอาศัยความเข้าใจในจตุรวิถีที่เจ้ามี จนสามารถทำให้เจตจำนงของสถานที่แห่งนี้ยอมรับและไม่ผลักไสเจ้าออกมาได้”
“และที่ทำให้ข้าคิดไม่ถึงก็คือ ในบรรดาคนรอบตัวเจ้า กลับมีคนที่สามารถอยู่ด้านในเพื่อดูดซับพลังของกฏเวลาได้จริงๆ…ลูกสาวของเจ้า ต่อไปภายภาคหน้าย่อมมีอนาคตไร้สิ้นสุดแน่”
ฟงชิงหยางย่อมไม่หวงแหวนคำสรรเสริญเยินยอศิษย์หลานของตัวเองแม้แต่น้อย
เดิมทีมันคิดว่าแค่ต้วนหลิงเทียนสามารถอยู่ด้านในได้ก็โชคดีมากแล้ว ถึงแม้มันจะเคยบอกต้วนหลิงเทียนเอาไว้ว่าให้ลองปล่อยคนใกล้ชิดในโลกใบเล็กให้ลองดูว่าจะอยู่ในห้องลับแห่งกฏเวลาได้ไหม แต่มันคิดว่าคงยากที่ญาติสนิทมิตรสหายต้วนหลิงเทียนจะสามารถดูดซับพลังกฏเวลาได้อย่างราบรื่น
เช่นนั้นพอทราบว่าลูกสาวของต้วนหลิงเทียนไม่ถูกปฏิเสธ มันก็เลยตกใจไม่น้อย
“ท่านอาจารย์หลังกลับออกจากนรกอสุราเมื่อไหร่ ข้าจะให้ลูกสาวและครอบครัวกับสหายของข้าออกมาพบท่าน…ในอดีตทุกคนกำลังบ่มเพาะฝึกฝนอยู่ข้าจึงไม่คิดขัดจังหวะ ตอนนี้เนื่องจากทุกคนตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าก็ได้แจ้งเรื่องท่านเรียบร้อย”
ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความไปแจ้ง
“ได้”
ฟงชิงหยยางขานรับเบาๆ จากนั้นก็ไม่ลืมเตือนต้วนหลิงเทียน “เจ้ากลับไปจดจ่อกับการดูดซับกฏเวลาต่อเถอะ”
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนทนาอะไรกับฟงชิงหยางอีก เขาจมดิ่งในภวังค์ดูดซับแก่นแท้พลังกฏเวลาโดยรอบ และเขาก็มีความสุขกับกระบวนการมาก เพราะการทำความเข้าใจกฏเวลาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ เป็นอะไรที่ทำให้ทุกคนต้องอิจฉาจับใจจริงๆ
ต้องทราบด้วยว่ากฏในอดีตนั้น แม้จะมีตัวช่วยอื่นใด แต่เขาก็ต้องอาศัยตัวเองเพื่อทำความเข้าใจมันทั้งนั้น
ถึงแม้จะมีผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุด เขาก็ยังต้องเข้าใจทั้งหมดด้วยตัวเอง
ต่างจากตอนนี้ บรรยากาศภายในตำหนักล้วนเต็มไปด้วยแก่นแท้พลังของกฏเวลา เพียงดูดซับเข้ามาหลอมรวมกับจิตวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็จะเข้าใจมันไปเอง
…
เวลาค่อยๆไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาไปนานแค่ไหน สำหรับการเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาทั้งหมด
กฏเวลาก็เหมือนกฏอื่น มีความลึกซึ้งทั้งสิ้น 9 ประการ
แน่นอนว่าในบรรดาความลึกซึ้งทั้ง 9 ประการก็มีความหมายแห่งเวลารวมอยู่ด้วย
ทำให้เหลือความลึกซึ้งที่ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจนานจริงๆเพียง 8 ประการ
และตอนนี้ความลึกซึ้งทั้ง 8 ประการของกฏเวลา ต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าใจพวกมันจนบรรลุถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว
จากนั้นเขาก็พบว่าแม้ในตำหนักหลังนี้จะเหลือแก่นแท้พลังของกฏเวลาอีกมากมาย แต่เขาก็ไม่อาจดูดซับพวกมันได้อีก
“หืม?”
พอลืมตาขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าลูกสาวเขา ต้วนซือหลิง ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงข้ามเขานั้น กำลังมองจ้องมาที่เขาตาแป๋ว พอเห็นเขาตื่นนางก็ยิ้มถามออกมาอย่างร่าเริงว่า “ท่านพ่อ ท่านเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาทั้งหมดแล้วเหรอ?”
“หืม? ซือหลิงนี่เจ้าเข้าใจมันหมดแล้วเหมือนกันรึ?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถามด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ลูกสาวเขาสามารถเข้าใจกฏเวลาทั้งหมดได้เร็วกว่าเขางั้นหรือ?
“ใช่”
ต้วนซือหลิงหัวเราะเสียงใส “ท่านพ่อ เดิมทีข้าก็ใช้กฏเวลาอยู่แล้ว…เรียกว่าในอดีตข้าทุ่มความสนใจแต่กับกฏเวลา เป็นเรื่องปกติที่ข้าจะเข้าใจพวกมันทั้งหมดเร็วกว่าท่าน”
“จะอย่างไรก็แล้วแต่ ข้าไม่คิดเลยว่าในโลกกลับมีสถานที่วิเศษแบบนี้อยู่ด้วย”
“เมื่อก่อนข้าคิดจะทำความเข้าใจกฏเวลาแต่ละทีก็มีความคืบหน้าช้ามาก…แต่ตอนนี้แทบไม่ต้องทำอะไรเลย แค่จับพลังแก่นแท้กฏเวลามาดูดซับก็เท่านั้น แถมยังทำให้ข้าบรรลุความเข้าใจความลึกซึ้งทั้งหมดถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดแล้วด้วย!”