หลังจากเข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ให้ต้วนซือหลิงลูกสาวเขาย้อนกลับเข้ามาในโลกใบเล็กอีกครั้ง และบอกต้วนซือหลิงและคนอื่นๆที่ตื่นอยู่ว่าอย่าพึ่งปิดด่านบ่มเพาะ
เขาตระเตรียมให้ครอบครัวและสหายเขาได้พบกับอาจารย์เขา ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน
“ท่านอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนติดต่อไปหาฟงชิงหยางทันที จากนั้นฟงชิงหยางก็พาเขาออกจากห้องลับแห่งกฏเวลา “ต่อไปเจ้าก็ไปบ่มเพาะในสถานที่ๆข้าใช้บ่มเพาะจนทะลวงถึงขอบเขตเทพเถอะ ใช้ผลอมตะหยวนปะทุนั่นด้วย จะได้ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้เร็วที่สุด”
“ด้วยสภาพแวดล้อมรวมถึงผลอมตะหยวนปะทุ การที่เจ้าไปบ่มเพาะพลังที่นั่น ก็เสมือนได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าทั้งที่ลงแรงเพียงครึ่งเดียว”
ฟงชิงหยางกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียน และสิ่งนี้มันก็คิดเอาไว้แต่แรก
ในเมื่อห้องลับแห่งกฏเวลาไม่ปฏิเสธศิษย์ของมัน เช่นนั้นสถานที่บ่มเพาะนั่นย่อมไม่ปฏิเสธเช่นกัน “ถึงแม้ก่อนหน้าเมิ่งหลัวจะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นั่นได้ไม่นานนัก แต่ก็นับว่ามีความก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย”
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่คิดไปที่นั่น”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “พวกเรากลับไปที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนกันเลยเถอะ หลังจากที่ข้าแนะนำครอบครัวกับสหาสนิทให้ท่านรู้จักแล้ว ข้าก็จะเก็บตัวฝึกฝนที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน”
หลังจากกล่าวถึงจุดนี้ พอต้วนหลิงเทียนเห็นอาจารย์เขาย่นคิ้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอาจารย์ไม่อยากให้เขาพลาดห้องบ่มเพาะที่มีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันดี
เพราะสุดท้ายแล้ว สภาพแวดล้อมในห้องบ่มเพาะที่อาจารย์เขากล่าวถึง ก็แทบจะเทียบได้กับสภาพแวดล้อมในระนาบเทพ
“ท่านอาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีสร้างสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะให้เหมือนกับระนาบเทพ”
สุดท้ายเพื่อไม่ให้อาจารย์ของเขาต้องคิดมาก ต้วนหลิงเทียนจึงกล่าวเรื่องนี้ออกมา แต่เขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีสร้างสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะให้เหมือนระนาบเทพ
ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ว่าไม่มีทางคิดร้ายกับเขา แต่เรื่องบางเรื่องคนยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
แต่เป็นธรรมดาว่าหากอาจารย์เขาฟงชิงหยางเอ่ยถามออกมาด้วยความอยากรู้ เขาก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร
แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ว่าอาจารย์เขาฟงชิงหยางจะไม่ถามเรื่องนี้แน่นอน
และข้อเท็จจริงก็พิสูจน์ว่าต้วนหลิงเทียนคิดถูก
ด้านฟงชิงหยางพอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้าก็อดฉายถึงความประหลาดใจออกมาไม่ได้ แต่ไม่นานนักก็สงบลง “เอาล่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้ากลับไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เลย”
“ในฐานะจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนรวมถึงอาจารย์เจ้า ก็สมควรแก่เวลาที่ข้าจะได้พบเจอครอบครัวกับสหายสนิทเจ้าเสียที”
ฟงชิงหยางกล่าว
แต่ต้นจนจบฟงชิงหยางไม่ได้ถามสักคำ ว่าต้วนหลิงเทียนจะสร้างสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะของระนาบเทพได้อย่างไร
อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้เอ่ยถามออกมา แต่ฟงชิงหยางก็ไม่กังวลเรื่องนี้อีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าไม่สงสัยในคำพูดของต้วนหลิงเทียน
นี่เป็นความไว้วางใจที่มันมีต่อต้วนหลิงเทียน
…
ต้วนหลิงเทียนถูกฟงชิงหยางหอบหิ้วออกจากนรกอสุรา จนมาถึงสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ตั้งอยู่ในนรกอสุรา จากนั้นก็ใช้มันเคลื่อนย้ายออกไปทันที
หลังกลับออกมาเขาก็ไม่ได้โผล่ที่หยวนสื่อเทียนอีกต่อไป และที่นี่ก็ไม่ใช่จี้เมี่ยเทียนอีกด้วย
อย่างไรเสียในเมื่อมาถึงระนาบเทวโลกแล้ว เพียงมองหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกที่อยู่ใกล้ที่สุด เช่นนั้นก็สามารถกลับสู่จี้เมี่ยเทียน จวบจนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนได้ไม่ยาก
ภายในห้องโถงรับแขกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ตอนนี้ฟงชิงหางก็ได้นั่งอยู่บนโต๊ะสูงสุด ส่วนต้วนหลิงเทียนก็ยืนอยู่กลางห้องโถงโล่งๆ
บริเวณประตูใหญ่หน้าห้องโถง ก็ปรากฏร่างผู้เฒ่าหั่วในชุดคลุมสีแดงสดที่ยามโบกสะบัดเสมือนเปลวเพลิงลุกโชน ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
วูบ! วูบ! วูบ!
…
หลังต้วนหลิงเทียนเปิดโลกใบเล็กภายในกายแล้ว ร่างคนกลุ่มหนึ่งก็ทยอยกันปรากฏตัวออกมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าเขาทันที ไม่ใช่ใครอื่น เป็นบิดาของต้วนหลิงเทียน ต้วนหรูเฟิง มารดาเขา ลี่หลัว และภรรยาอย่างลี่เฟย รวมถึงคนอื่นๆ
“ท่านอาจารย์ ที่คือพ่อของข้า นี่คือท่านแม่ และนี่…ฯลฯ”
หลังต้วนหรูเฟิงกับคนอื่นๆปรากฏตัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแนะนำทุกคนให้ฟงชิงหยางรู้จักทันที
ใบหน้าที่แต่เดิมแลดูนิ่งสงบของฟงชิงหยาง บัดนี้พอเห็นครอบครัวและสหายสนิทของต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวขึ้นก็ฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนทันที ยังพยักหน้าทักทายต้วนหรูเฟิงและคนอื่นๆอย่างเป็นมิตร
รักบ้าน ยังรักลามไปถึงอีกาที่เกาะหลังคาบ้าน ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เฟยเอ๋อ ซือหลิง เนี่ยนเทียน…นี่คืออาจารย์ของข้า จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง”
หลังจากแนะนำครอบครัวให้ฟงชิงหยางรู้จักแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมแนะนำฟงชิงหยางให้ทุกคนรู้จักด้วย ถึงแม้ในอดีตเขาจะเคยพูดถึงฟงชิงหยางให้ทุกคนฟังหลายครั้ง แต่นี่นับเป็นครั้งแรกเลยที่ครอบครัวและสหายของเขาได้พบเจอฟงชิงหยาง
และด้วยความที่ทุกคนอยู่ในระนาบเทพกันมาหลายปี กระทั่งเหล่าเทพที่ทรงพลังเหนือกว่าฟงชิงหยางมากก็ได้พบเจอมาแล้ว เช่นนั้นยามที่พวกต้วนหรูเฟิงและคนอื่นๆพบเจอฟงชิงหยาง จึงไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรแม้แต่นิดเดียว
“ต้วนหรูเฟิง ขอคารวะใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
ต้วนหรูเฟิงเป็นผู้นำในการประสานมือคารวะทักทายฟงชิงหยาง
ทว่าก่อนที่ทุกคนจะทันได้พูดอะไร ฟงชิงหยางพลันมองต้วนหรูเฟิงพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องต้วน ในเมื่อต้วนหลิงเทียนลูกชายท่านเป็นศิษย์ที่แท้จริงของข้า เช่นนั้นก็เรียกข้าพี่ฟงเถอะ”
“อย่าได้เรียกข้าห่างเหินเช่นนั้นเลย”
ฟงชิงหยางหัวเราะ
“ย่อมได้ พี่ฟง”
ต้วนหรูเฟิงก็ไม่ใช่คนมากพิธีอะไร พอฟงชิงหยางเปรยเรื่องนี้ออกมา ก็เปลี่ยนคำเรียกหาทันที
ต่อมาลี่หลัวก็ประสานมือทักทายฟงชขิงหยางเป็นคนที่สอง “ลี่หลัว ขอคารวะพี่ใหญ่ฟง”
“ลี่เฟย ขอคารวะท่านอาจารย์”
ลี่เฟเองก็เร่งประสานมือคารวะฟงชิงหยางอย่างสุภาพมากเคารพ นางเองก็ได้ยินเรื่องราวของฟงชิงหยางมานานแล้ว จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก กระทั่งอาจารย์ปู่ของนางที่เป็นจักรพรรดิสวรรค์เช่นกัน ยังเคารพนับถือไม่น้อย
“ซือหลิง/เนี่ยนเทียน คารวะอาจารย์ปู่”
ต้วนซือหลิงกับต้วนเนี่ยนเทียนก็โค้งคาระวฟงชิงหยางอย่างมีมารยาท
“คารวะใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์”
อย่างไรก็ตามเฟิงหวู่เต้าไม่ได้เรียกหาเฟิงชิงหยางอย่างเป็นกันเองเหมือนคนอื่นๆ ถึงแม้เรื่องราวระหว่างลูกสาวของมันกับต้วนหลิงเทียนจะมั่นคงแล้ว อย่างไรก็ตามคนยังไม่ได้ตบแต่งเข้าบ้านผู้อื่นตามพิธี เช่นนั้นหลังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงไม่กล้าเรียกหา ‘พี่ฟง’ เหมือนต้วนหรูเฟิง
“ฮ่าๆๆ…”
ฟงชิงหยางเห็นท่าทีของเฟิ่งหวู่เต้าก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “น้องเฟิ่ง ท่านก็เรียกข้าเหมือนกับน้องต้วนเถอะ ข้าเองก็รู้เรื่องระหว่างลูกสาวท่านเทียนหวู่กับศิษย์ข้าดี”
“สาวน้อย เจ้าคือเทียนหวู่สินะ?”
จากนั้นฟงชิงหยางก็หันไปมองเฟิ่งเทียนหวู่ด้วสายตาอ่อนโยน และยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็เรียกข้าอาจารย์เถอะ”
“อีกทั้งกล่าวไปแล้ว ตอนที่อยู่ในระนาบเซียน เจ้าก็ถือเป็นศิษย์ของทวาราเที่ยงแท้ที่ข้าเคยอยู่ เช่นนั้นพวกเราก็เหมือนครอบครัวเดียวกัน”
ฟงชิงหยางเองก็ได้รับทราบเรื่องของเฟิ่งเทียนหวู่รวมถึงคนรอบตัวของต้วนหลิงเทียนจากผู้เฒ่าหั่วมานานแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเฟิ่งเทียนหวู่หรือเฟิ่งหวู่เต้า ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับมันเลย
“แล้วพวกเราล่ะคะใต้เท้า ต้องเรียกหาใต้เท้าว่าอย่างไรหรือ?”
เสี่ยวจินที่ปกติแลดูโผงผาง ต่อหน้าฟงชิงหยางก็แลดูเรียบๆร้อยๆขึ้นมาก
“เจ้าคือเสี่ยวจินสินะ”
ฟงชิงหยางเหลือบมองเสี่ยวจิน ก่อนที่จะหันไปมองเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋ข้างๆด้วยรอยยิ้มเอ็นดู “เด็กน้อยทั้ง 3 พวกเจ้าเรียกข้าว่าอาจารย์อาฟงก็ได้”
“อาจารย์อาฟง”
หลังได้ยินคำแนะนำของฟงชิงหยาง เสี่ยวจิน เสี่ยวเฮย และเสี่ยวไป๋ ก็เร่งโค้งคำนับฟงชิงหยางทันที
จากนั้นฟงชิงหยางก็หันไปมองมู่อีอี “นาง…นางคือผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์รุ่นนี้ มู่อีอีกระมัง?”
เมื่อเห็นว่าฟงชิงหยางมองมาด้วยสายตาจริงจัง มู่อีอีก็ดูหวาดกลัวไม่น้อย รีบไปหลบหลังเฟิงเทียนหวู่ทันที “ท่าน…ท่าน”
ต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน “ท่านอาจารย์ นี่คือศิษย์น้องมู่อีอีจริง…วิญญาณของนาง…”
ฟงชิงหยางพอได้ยิน ก็ชักสายตาจริงจัง จากนั้นก็แผ่สำนึกเทพอันทรงพลังชำแรกเข้าสู่ร่างมู่อีอีทันที มุ่งตรงไปสำรวจภายในดวงจิตของนางครู่หนึ่ง ค่อยถอนรั้งสำนึกเทวะคืนกลับ ก่อนจะส่ายหัวไปมา “จิตวิญญาณไม่สมบูรณ์แบบนี้…จัดการได้ยากยิ่ง”
“อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าในระนาบเทพนั้นมีสมบัติที่ช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณที่เสียหายได้อยู่…อย่างไรก็ตามถึงแม้จะฟื้นฟูจิตวิญญาณให้กลับมาสมบูรณ์ได้ ทว่าเรื่องควาททรงจำคงยากจะกู้คืน”
“เพราะสุดท้ายความทรงจำบางอย่างมันก็ได้เสียหายไปพร้อมกับจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหายไปแต่แรก…”
ฟงชิงหยางกล่าว
“มีสมบัติที่สามารถฟื้นฟูจิตวิญญาณให้ศิษย์น้องมู่อีอีได้หรือ?!”
คำพูดของฟงชิงหยางทำให้สองตาต้วนหลิงเทียนเป็นประกายทันที ใบหน้ายังฉายชัดถึงความคาดหวัง ถึงแม้ว่าจะลืมเลือนเรื่องราวในอดีตไป แต่การเติมเต็มจิตวิญญาณให้กลับมาสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
อย่างน้อยๆ หากทำแบบนั้น จิตวิญญาณของมู่อีอีก็จะหวนกลับมาสมบูรณ์ สติปัญญาก็จะกลับมาเป็นปกติ ต่อไปก็สามารถเรียนรู้และเติบโตได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนเด็กน้อยไม่ประสาแบบนี้ไปชั่วชีวิต
“ข้าเพียงได้ยินมาเท่านั้น อาจเป็นจริงหรือเท็จก็ได้…เรื่องนี้จำต้องขึ้นไปหาข้อมูลในระนาบเทพ หรือหาคนจากระนาบเทพที่มีความรู้มาชี้แนะ”
ฟงชิงหยางกล่าว
“ข้าจะถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดู!”
พอเกี่ยวพันถึงเรื่องการฟื้นฟูรักษาจิตวิญญาณของมู่อีอีให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม ต้วนหลิงเทียนก็ร้อนใจไม่น้อย จากนั้นก็กล่าวแจ้งฟงชิงหยางกับทุกคน ก่อนจะเร่งรุดไปยังสถานที่จัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายของพระราชวังจักรพรรดิสววรรค์จี้เมี่ยเทียน และเดินทางไปยังหยวนสื่อเทียนทันที
พอมาถึงหยวนสื่อเทียน ต้วนหลิงเทียนก็เร่งติดต่อไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น และกล่าวถามเรื่องราวอย่างไม่รอช้า ว่าในระนาบเทพมีสมบัติแบบนั้นอยู่หรือไม่
“มีอยู่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตอบกับต้วนหลิงเทียนมาอย่างรวดเร็ว “อย่าบอกนะว่านี่เจ้าถ่อมาถึงหยวนสื่อเทียนเพื่อถามข้าเรื่องนี้? ไฉนเจ้าไม่ถามพี่สาวหวงเอ้อเล่า นางรู้มากกว่าข้าอีก?”
ขณะส่งข้อความกลับมาถาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็งุนงงไม่น้อย
“หวงเอ้อ…”
ต้วนหลิงเทียนก็ผงะไปวูบหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มแห้งๆ และส่งข้อความไปหาหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอีกรอบ “พอดีข้าร้อนใจเกินไป ก็เลยนึกถึงเจ้าก่อนใครไม่ทันนึกถึงนาง”
“ว่าแต่ศึกอัจฉริยะสวรรค์ สมควรจบลงแล้วสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“จบไปนานแล้ว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว “ว่าแต่นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว…เจ้าคิดจะไปใช้ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวเมื่อไหร?”
“คงอีกสักพัก…เจ้าล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“ข้าว่าจะไปใช้มันอีก 2-3 วันหลังจากนี้”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นตอบ
ทั้งคู่สนทนากันต่อไม่กี่ประโยค จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความไปอำลาหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก่อนจะออกจากหยวนสื่อเทียนโดยใช้ค่ายกลเคลื่อนย้าย และไม่นานก็กลับมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
เรียกว่าตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนจากไปจนกลับมา ก็ใช้เวลาแค่ 1 เค่อเท่านั้น และพอกลับมาถึงเขาก็พบว่าลูกชาย ลูกสาวเขา ลี่เฟย เฟิงเทียนหวู่ ไม่เว้นเจ้าตัวเล็กทั้ง 3 ก็ถือกล่องสวยงามเอาไว้คนละใบ
“นี่คือ…”
ต้วนหลิงเทียนสงสัย
“ท่านพ่อ นี่เป็นของขวัญที่อาจารย์ปู่มอบให้พวกเรา”
ต้วนซือหลิงกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
พอได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็อดยิ้มแหยๆออกมาไม่ได้ จากนั้นก็หันไปมองฟงชิงหยาง ทว่าเขายังไม่ทันพูดอะไร ฟงชิงหยางก็ส่ายหน้ากล่าวขึ้นมาเสียก่อน “ก็แค่ของขวัญเล็กๆน้อยๆ”
ของขวัญเล็กๆน้อยๆ?
ต้วนหลิงเทียนไม่เชื่อเด็ดขาด ว่าสิ่งที่อาจารย์เขามอบให้ลูกชายกับลูกสาวเขารวมถึงคนอื่นๆจะเป็นแค่ของเล็กๆน้อยๆไปได้!
สมควรมีค่าไม่ใช่เล่นๆแน่นอน!
“เอาล่ะ หลังจากนี้ข้าจะจัดพื้นที่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ให้ทุกคนเป็นพิเศษ…ต่อไปทุกคนก็บ่มเพาะฝึกปรือทั้งเดินเล่นในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งนี้ได้ตามใจชอบ อยู่ในโลกใบเล็กของเสี่ยวเทียนมาตลอดคงอุดอู้ไม่น้อยกระมัง”
ฟงชิงหยางหันไปมองกล่าวกับต้วนหรูเฟิงและคนอื่นๆด้วยรอยยิ้ม