“ขอบคุณพี่ฟงมาก”
ต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัว กล่าวขอบคุณฟงชิงหยาง
หลังพยักหน้ารับเบาๆแล้ว ฟงชิงหยางก็หันไปมองถามต้วนหลิงเทียนว่า “เสี่ยวเทียน ในโลกใบเล็กภายในร่างเจ้าเหมือนจะยังมีทายาท 7 ทวาราเที่ยงแท้ของพวกเราอยู่อีกใช่ไหม?”
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนตอบ “เป็นหานเฉวี่ยไน่ ผู้สืบทอดธุลีแดงที่ข้าเคยเล่าให้ท่านอาจารย์ฟัง แต่นางปิดด่านบ่มเพาะอยู่ กระทั่งข้าเรียกหานางตอนอยู่ในห้องลับแห่งกฏเวลาแล้วนางก็ยังไม่ตื่น”
“รอให้นางตื่นเมื่อไหร่ข้าจะให้นางออกมาพบท่านทันที”
ตอนที่อยู่ในห้องลับแห่งกฏเวลา หานเฉวี่ยไน่นั้นจมจ่อมในภวังค์บ่มเพาะถึงขั้นตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ แม้ต้วนหลิงเทียนจะพยายามปลุกนางแล้ว แต่ก็ไม่อาจปลุกนางให้ตื่นจากภวังค์ได้…ถึงขั้นใช้การส่งเสียยงผ่านสำนึกเทวะแล้วก็ไม่เป็นผล
จริงอยู่ที่หากใช้กำลังก็อาจปลุกหานเฉวี่ยไน่ได้ แต่ต้วนหลิงเทียนไม่คิดทำอะไรแบบนั้น
เพราะดูจากสภาพการณ์ของหานเฉวี่ยไน่แล้ว หากเขาใช้กำลังปลุกนางขึ้นมา มีแนวโน้มว่านางจะโดนธาตุไฟเข้าแทรก และเกิดผลร้ายอันใหญ่หลวง…ทำให้ต่อให้มีโอกาสเลิศล้ำอย่างห้องลับแห่งกฏเวลาอยู่เบื้องหน้า เขาก็ไม่คิดจะปลุกนาง
นอกจากนั้นเขายังคิดเผื่อไว้แล้ว
ถึงรอบนี้หานเฉวี่ยไน่จะไม่ได้ลองใช้ห้องลับแห่งกฏเวลา ก็เพียงหาโอกาสให้นางใช้ครั้งหน้าก็พอ
หากเป็นคนอื่นต้วนหลิงเทียนอาจจะเกรงใจอาจารย์และไม่กล้าออกปาก แต่หานเฉวี่ยไน่นั้นเป็นคนของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ กล่าวได้ว่าหานเฉวี่ยไน่ก็เสมือนศิษย์หลานคนหนึ่งของฟงชิงหยาง
ในแง่อาวุโสแล้ว หานเฉวี่ยไน่สามารถเรียกหาฟงชิงหยางว่าบรรพจารย์ก็ได้ แต่ฟงชิงหยางชอบให้เรียกว่าอาจารย์อามากกว่า
“ไม่รีบ ไว้มีโอกาสเหมาะๆค่อยพบกันก็ได้”
ฟงชิงหยางคลี่ยิ้มบางๆ มันย่อมดีใจไม่น้อยที่ได้พบพานทายาทของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ ตลอดช่วงชีวิตหมื่นกว่าปีที่ผ่าน ช่วงชีวิตที่ประทับอยู่ในความทรงจำของฟงชิงหยางลึกล้ำที่สุดก็คือ ช่วงที่อยู่ในระนาบเซียน
7 ทวาราเที่ยงแท้
เซียนกระบี่ไร้เทียมทาน…หมอกพิรุณ!
เป็นเกียรติยศอันสูงสุดครั้งหนึ่งในชีวิต!
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะขึ้นมายังระนาบเทวโลกแล้ว พอบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะหรือจักรพรรดิอมตะ ก็เลือกใช้สมญานามว่าหมอกพิรุณรำลึกมาโดยตลอด สิ่งนี้บ่งบอกให้รู้ว่าใจมันมีความผูกพันกับ 7 ทวาราเที่ยงแท้ขนาดไหน
ต้วนหลิงเทียนก็ทราบเรื่องนี้ดี เช่นนั้นเขาจึงมั่นใจว่าอาจารย์ต้องพยายามช่วยส่งเสริมหานเฉวี่ยไน่แน่
“ว่าแต่ศิษย์สะใภ้คนอื่นๆของข้าเล่า?”
ฟงชิงหยางมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “ของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ไม่ได้เหลือแค่ของหานเฉวี่ยไน่เท่านั้น แต่ยังมีของขวัญให้ศิษย์สะใภ้อีกด้วย เจ้าไม่พานางออกมาแนะนำให้ข้ารู้จักหน่อยหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าอาจารย์กำลังพูดถึงฮ่วนเอ๋อ จึงได้แต่คลี่ยยิ้มโง่งม “พอดีนางก็กำลังปิดด่านบ่มเพาะถึงช่วงสำคัญเช่นกัน หากนางตื่นเมื่อไหร่ข้าจะพานางมาแนะนำให้ท่านอาจารย์รู้จัก”
“เอาล่ะ”
ฟงชิงหางพยักหน้ารับ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้จึงถามว่า “แล้วเจ้าคิดจะไปใช้ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวเมื่อใด?”
อัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ชนะเลิศการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์นั้น ของรางวัลไม่ได้มีแต่ผลอมตะหยวนปะทุอย่างเดียว แต่ยังได้รับโอกาสเข้าสู่ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเพื่อเลือกทำความเข้าใจกฏที่ต้องการได้อีกด้วย และเวลาที่สามารถใช้อยู่ในห้องลับได้ก็มากกว่าคนอื่นๆ
ยิ่งอันดับต่ำลง เวลาที่ได้อยู่ในห้องลับแห่งกฏก็ลดน้อยลง
“ข้าคิดว่าจะทะลวงให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ และใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสักระยะก่อนค่อยไป”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยเรื่องที่ตัดสินใจไว้แล้วออกมา ถึงแม้เพราะประสบการณ์ในการเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏเวลา จะทำให้เขาคาดหวังกับห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวไม่น้อย แต่เขาก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ได้กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวอีกครั้งในรอบหลายปี ก่อนหน้าเพราะศึกอัจฉริยะสวรรค์เขาจึงแทบไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว วันๆมีแต่ฝึกกับฝึก เช่นนั้นเขาก็ต้องแบ่งเวลาให้ครอบครัวด้วย ยิ่งเส้นทางหลังจากนี้ไม่ทราบจะได้มีเวลาอยู่กับครอบครัวอีกนานหรือไม่ พอมีโอกาสแล้วก็จำต้องถนอมให้มาก
“แล้วแต่เจ้า”
ฟงชิงหยางพยักหน้ารับ “หากเจ้าคิดไปเมื่อไหร่ก็เรียกหาข้าได้ตลอดเวลา ข้าจะไปกับเจ้าเอง”
ไม่อาจไม่ไปด้วยได้!
ในสายตาฟงชิงหยาง วิหารเฟิงฮ่าวตอนนี้ไม่พ้นต้องอยากกักตัวต้วนหลิงเทียนและรีดเค้นมรรคากระบี่มิติ กับวิธีเริ่มทำความเข้าใจวิถีควบคุมจนใจจะขาดแล้ว! ถึงแม้ผลประโยชน์จากการเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏจะมหาศาล แต่ความมั่งคั่งครั้งนี้ก็มาพร้อมอันตรายเช่นกัน มีเพียงมันไปด้วยถึงจะรับประกันความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียนได้
เพราะอย่างน้อยๆหากมีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น มันก็จะสามารถลงมือช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนได้ทันเวลา
“ขอบคุณท่านอาจารย์”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง และเรื่องนี้เขาไม่คิดปฏิเสธอาจารย์เลย เพราะเขารู้ดีว่าวิหารเฟิงฮ่าวในปัจจุบันก็ไม่ต่างอะไรจากถ้ำเสือสำหรับเขา หากไม่มีอาจารย์ไปด้วย ไม่ทราบวิหารเฟิ่งฮ่าวจะเล่นลูกไม้อะไรอีก
วิหารเฟิงฮ่าวแม้จะไม่ลงมือต่อหน้าเพื่อให้ชื่อเสียงเสื่อมเสีย แต่ลับสายตาผู้คนไม่ทราบมันจะเล่นตุกติกอันใด
และในวิหารเฟิงฮ่าวก็มีตัวตนระดับครึ่งก้าวเทพรวมถึงเทพมากมาย หากอีกฝ่ายคิดเล่นไม่ซื่อกับเขาจริงๆ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เขายังไม่บรรลุถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศจึงไม่ทันได้ครอบครองพลังระดับเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ ต่อให้ครอบครองพลังระดับนั้นแล้วก็ยากจะต่อต้านพวกมัน.
…
สถานที่ๆฟงชิงหยางจัดให้ครอบครัวกับสหายของต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นเทือกเขาลูกหนึ่งในเขตพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ที่นี่มีหุบเขาใหญ่น้อยมากมาย และเปี่ยมล้นไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเล็กๆอยู่กันอย่างสงบสุข
จากนั้นคนรอบตัวต้วนหลิงเทียนก็จับจองหุบเขาส่วนตัวกันตามใจชอบ เรียกว่ามีหุบเขาส่วนตัวกันทุกคน
อย่างเช่นต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัว บิดามารดาเขา ก็ได้เลือกหุบเขาเล็กๆแห่งหนึ่งก่อนใคร ในหุบเขาดังกล่าวมีบ้านลานหลังน้อย แลดูสะอาดสะอ้านและสภาพแวดล้อมที่สงบร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนทั้งฝึกฝนเป็นที่สุด
หุบเขาอื่นๆก็เช่นกัน
และหุบเขาทั้งหลายเห็นได้ชัดว่าเป็นการตั้งใจจัดสร้างไว้อย่างดี ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
“เทียนเอ๋ออาจารย์ของเจ้าดูเหมือนจะเตรียมเทือกเขาแห่งนี้ไว้ให้เจ้าแต่แรก…”
ต้วนหรูเฟิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ใหญ่ฟงดีกับเจ้าถึงขนาดนี้ เจ้าอย่าได้ทำให้พี่ใหญ่ฟงต้องผิดหวังเด็ดขาด!”
“เรื่องนี้ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”
ต้วนหลิงเทียนรับคำด้วยรอยยิ้ม
“พี่เฟิงท่านจะพูดซ้ำซ้อนเกินจำเป็นทำอะไร”
ลี่หลัวที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็โพล่งกล่าวกับต้วนหรูเฟิงเสียงดุ “หรือพี่ไม่รู้ว่าลูกชายของพวกเราเป็นคนอย่างไร? เมื่อพี่ใหญ่ฟงทำดีกับเทียนเอ๋อแบบนี้ เทียนเอ๋อต่อให้ตายก็ต้องดีกับพี่ใหญ่ฟงแน่!”
“เป็นท่านแม่ที่เข้าใจข้าดีที่สุด!”
พอเสียงลี่หลัวดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มสดใสกล่าวเห็นด้วยกับลี่หลัว เรื่องนี้ทำให้ต้วนหรูเฟิงอดส่ายหัวไม่ได้ “แม่ลูกเข้าข้างกันดีจริงๆ…”
“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าไม่กวนแล้ว ข้าไปหาพวกเฟยเอ๋อก่อน”
หลังกล่าวลาต้วนหรูเฟิงกับลี่หลัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างไปยังหุบเขาเล็กๆไม่ไกลแห่งหนึ่ง เป็นหุบเขาที่ภรรยาเขาลี่เฟย ลูกสาวเขาต้วนซือหลิง และเฟิ่งเทียนหวู่อาศัยอยู่
หุบเขาแห่งนี้แม้จะไม่ใหญ่โต แต่บ้านลานที่พักนั้นสร้างมาในลักษณะคล้ายเรือนสี่ประสาน มีห้องหับที่พักยิบย่อยมากมาย กระทั่งให้ 3 คนอาศัยอยู่ด้วยกันยังดูวังเวงไม่ใช่เล่นๆ
สำหรับต้วนเนี่ยนเทียนลูกชายของต้วนหลิงเทียนนั้น อีกฝ่ายตั้งใจจะพักอยู่กับต้วนหลิงเทียน “ท่านพ่อ ท่านพักที่ไหนหรือข้าจะไปอยู่ฝึกฝนกับท่าน”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มมองลูกชายด้วยความชื่นชม “เจ้าตามพ่อไปหาปู่เฟิ่งของเจ้าก่อน…แล้วจากนั้นค่อยกลับไปที่พักกับพ่อ”
ปู่เฟิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูดถึงก็คือ เฟิ่งหวู่เต้า บิดาของเฟิ่งเทียนหวู่
หลังพาต้วนเนี่ยนเทียนไปหาเฟิ่งหวู่เต้าและเลือกที่พักของตัวเองเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ไปรับพ่อแม่ของฮ่วนเอ๋อมาเลือกหุบเขาที่พักตามอัธยาศัย
เหลียนชิวกับตู้เสวียนนั้น พักอาศัยอยู่ในสถานที่รับรองแขกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์มาสักพักแล้ว เรียกว่าตั้งแต่กลับมาจากระนาบเซียนก็ไม่ได้ไปไหนเลย พอได้มาเห็นสถานที่พักใหม่และเลือกได้ตามใจ ก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก
“ฮ่วนเอ๋ออยู่ที่ไหนหรือ?”
แม้ที่พักจะน่าสนใจ แต่ทั้งคู่ก็สนใจลูกสาวคนเดียวมากกว่า
“ตอนนี้ฮ่วนกำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ รอให้นางออกจากการกักตัวเมื่อไหร่ ข้าจะพามาหาพวกท่าน”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆกล่าวตอบตู้เสวียนกับเหลียนชิว
หลังจากจัดแจงที่พักให้ตู้เสวียนกับเหลียนชิวแล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ตระเวนไปจัดตั้งมหาค่ายกลปกคลุมสถานที่อยู่อาศัยของครอบครัวและสหายเขาทั้งหมด จากนั้นก็ถ่ายพลังวิญญาณฟ้าดินออกมาอยู่ในขอบเขตดังกล่าว
กล่าวง่ายๆคือนำพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กของเขามาเติมเต็มในพื้นที่ปิดกั้นของมหาค่ายกล
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว คนรอบตัวเขาก็จะมีพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพบ่มเพาะฝึกปรือกันตลอดเวลาโดไม่ต้องอยู่ใกล้เขา การบ่มเพาะฝึกฝนของทุกคนก็จะมีประสิทธิภาพสูงสุด
แน่นอนว่าหลังจากจัดการเรื่องราวทุกอย่างแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะพัก เขาเริ่มบ่มเพาะพลังโดยใช้ผลอมตะหยวนปะทุทันที
ระดับพลังในร่างเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วทุกๆวัน
ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งเข้าใกล้ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศมากขึ้นเรื่อยๆ
‘ทะลวงให้ถึงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศก่อนอายุ 700…หลังจากนั้นอาศัยเวลา 300 ปีที่เหลือ ก็ต้องรีบทะลวงให้ถึงขอบเขตเทพโดยเร็วที่สุด’
‘หลังจากทะลวงถึงขอบเขตเทพแล้ว ก็ต้องหาทางยกระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…หากผ่านไป 300 ปีแล้ว แต่ข้ายังเป็นแค่เทพธรรมดา ถึงจะไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพได้ ก็คงยากจะช่วยเหลืออะไรเค่อเอ๋อจากโชคชะตาในตระกูล…’
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้เรื่องนี้ดี
ในอดีตเขาไม่ค่อยเข้าใจขอบเขตเทพมากนัก คิดว่าเมื่อมีเวลาเป็นพันปี เรื่องจะไปช่วยเค่อเอ๋อในระนาบเทพก็น่าจะไม่มีปัญหา
แต่ตอนนี้ยิ่งเข้าใจระดับพลังของขอบเขตเทพและระนาบเทพมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตระหนักถึงความเล็กกระจ้อยของตัวเองมากขึ้นเท่านั้น
ในระนาบเทพ อาศัยแค่เทพธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ต่างอะไรกับสุนัขข้างถนน
‘ระนาบเทพ ตัวตนขอบเขตเทพมีให้เห็นเกลื่อนกลาด จำนวนเทพธรรมดาๆเกรงว่ายังจะมากกว่าสุนัขข้างถนนเสียอีก…’
ประโยคข้างต้นก็เป็นอาจารย์เขาฟงชิงหยางกล่าวให้ฟัง
ถึงแม้ในระนาบเทพก็ยังมีเหล่าเซียนอมตะอยู่ไม่น้อย แต่เซียนอมตะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ตราบใดที่พรสวรรค์ไม่เลวร้ายจนเกินไป ก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนจะทะลวงถึงขอบเขตเทพ
…
การบ่มเพาะพลังนั้น วันเวลาเสมือนไม่มีอยู่จริง…
หลังจากต้วนหลิงเทียนใช้ผลอมตะหยวนปะทุแล้ว เขาก็ทะลวงจุดรอคอยสุดท้ายของด่านพลังจักรพรรดิอมตะ 9 ตำหนัก และบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ในที่สุด และเวลาที่ใช้บ่มเพาะครั้งนี้ก็เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ
สำหรับต้วนหลิงเทียนในตอนนี้ เวลาหนึ่งปีแทบไม่นับเป็นอะไร
แน่นอนว่าตลอดปีที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอย่างเดียว เขาหมั่นไปใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ และลี่เฟยภรรยาเขา ไม่เว้นชี้แนะต้วนเนี่ยนเทียนกับซือหลิงเรื่องการฝึกปรือ นอกจากนั้นก็มีไปคุยเล่นกับเฟิ่งหวู่เต้าและพวกตัวเล็กทั้ง 3 อย่างสม่ำเสมอ เรียกว่าการบ่มเพาะในอาทิตย์หนึ่งไม่ต่าง 3 วันจับปลา 4 วันตากแห
ส่วนเจ้าพวกตัวเล็กทั้ง 3 ก็เลือกหุบเขาที่อยู่ติดกับหุบเขาของต้วนหลิงเทียน
“จักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ…”
หลังจากทะลวงขั้นพลังสำเร็จ แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้โคจรใช้พลังอะไร หากแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างกายอย่างเป็นธรรมชาติก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปครั้งใหญ่ เป็นความน่าเกรงขามตามธรรมชาติของด่านพลัง
“ท่านอาจารย์”
หลังปรับขั้นพลังให้เสถียรสมบูรณ์ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความถึงอาจารย์เขา จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง เพื่อกล่าวถามทันที “ช่วงนี้ท่านพอมีเวลาว่างบ้างหรือไม่ ข้าคิดจะไปรับรางวัลอันดับ 1 ของศึกอัจฉริยะที่เหลือจากวิหารเฟิงฮ่าว…ห้องลับแห่งกฏนั่น”
“เจ้าคิดไปเมื่อใดเล่า?”
คำตอบของฟงชิงหยางก็ตรงไปตรงมา บ่งบอกโดยอ้อมว่าช่วงนี้ว่างอยู่