ทุกครั้งที่เยว่เชาฉวินนึกถึงเรื่องที่หวู่หงชิงสหายสนิทมันผู้เป็นถึงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักกำชับเอาไว้ มันก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมี่ซวน ยังต้องระวังท่าทีเป็นที่สุด!
ล้อกันเล่นหรือไร!?
หมี่ซวนนั่นมันเป็นถึงราชาเทพ ทั้งยังเป็นราชาเทพขั้นกลาง!
ต่อให้ตอนนี้เพราะอีกฝ่ายจะครอบครองร่างถังซานเป่าอยู่ ทำให้พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดแปรเปลี่ยนเป็นพลังเทพแค่ส่วนหนึ่ง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นพลังเทพแล้วทั้งหมด จนการจู่โจมทางกายภาพยังคงถูกจำกัดไว้ที่ระดับพลังเทพสงคราม 9 ดารา…แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลก ขอเพียงอีกฝ่ายใช้การโจมตีทางวิญญาณ…นั่นก็เป็นพลังอำนาจของราชาเทพขั้นกลางที่ไม่ได้ถดถอยลงแม้แต่นิดเดียว!!
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการโจมตีทางวิญญาณของราชาเทพขั้นกลางที่เชี่ยวชาญการใช้พลังวิญญาณมาทั้งชีวิต! ต่อให้เป็นยอดฝีมือราชาเทพขั้นต่ำหากไร้อุปกรณ์เทพป้องกันวิญญาณยังต้านรับไม่ได้ด้วยซ้ำ!!
อาศัยจี้โยวที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงราชาเทพ ยังจะมีปัญญาทำอะไรหมี่ซวนได้?
กล้าไปหาความจากหมี่ซวน?
น่าขัน!
ด้วยเหตุนี้ ในสายตาของเยว่เชาฉวิน คำขู่ของจี้หยิ่งก็เสมือนเรื่องตลก
“เจ้า…”
ด้านจี้หยิ่ง ก็เข้าใจว่าเยว่เชาฉวินจงใจท้าทายมัน ทำให้มันโมโหจนหน้าเปลี่ยนสี “ได้! ข้าจะส่งคนออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลกไปรายงานต่อท่านอาจารย์เดี๋ยวนี้!”
“เชิญ”
เยว่เชาฉวินยักไหล่อย่างไม่แยแส ยังกลอกตามองบนอย่างระอา ค่อยเหินร่างจากไป
จี้หยิ่งผู้นี้มันคิดว่าอาจารย์ของมันสามารถปิดแผ่นฟ้าได้จริงๆหรือ?
ต่อหน้าหมี่ซวน…เกรงว่าอาจารย์ของมันอย่าง จี้โยว นั่นก็ยังต้องก้มหัวคารวะอย่างเรียบๆร้อยๆ!
‘หวังว่าการไปเขต 2 ภาคเหนือครั้งนี้ หมี่ซวนจะได้เรื่องอะไรกลับมาบ้าง…และถ้าผู้คุมกฏอาวุโสของพันธมิตรอุดรลี้ลับที่ว่าเป็นต้วนหลิงเทียนจริงๆ เช่นนั้นข้าก็จะได้ออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลกไปจัดการเรื่องราวของข้าเสียที…’
ถึงแม้สมรภูมิ 9 ยมโลกจะเป็นสถานที่ฝึกฝนบ่มเพาะที่ดีสำหรับเทพสงคราม 9 ดารา และมีเทพสงคราม 9 ดาราที่มาแสวงหาความก้าวหน้าในนี้ไม่น้อย จนหลายๆคนก็เห็นประตูของขอบเขตเทพได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ใช้ได้กับเทพสงคราม 9 ดาราทั่วไปเท่านั้น
แต่ตัวมัน เยว่เชาฉวิน ไม่ใช่เทพสงคราม 9 ดาราธรรมดาๆ…
สมรภูมิ 9 ยมโลกแห่งนี้ มันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยอยู่มานานแค่ไหนแล้ว ถึงขั้นที่มันรู้สึกเบื่อหน่ายและรังเกียจ อยากจะไปให้พ้นจากที่นี่โดยเร็วที่สุด…
สำหรับเยว่เชาฉวิน สมรภูมิ 9 ยมโลกไม่มีหนทางสู่ขอบเขตเทพ แต่เป็นอุปสรรคในการบรรลุถึงขอบเขตเทพ
คราวนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สหายเก่าอย่างหวู่หงชิงที่เป็นถึงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักมาหามันและร้องขอด้วยตัวเอง มันไม่มีทางก้าวเข้ามาเหยียบสมรภูมิ 9 ยมโลกอีกแน่…
หลังจากที่เยว่เชาฉวินจากไป สีหน้าจี้หยิ่งก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก
“เจ้าออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลก และไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านอาจารย์ข้าทราบเสีย…ให้ท่านอาจารย์ไปหาความจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก!”
อันที่จริงตอนแรกจี้หยิ่งก็แค่พูดขู่เยว่เชาฉวินไปอย่างนั้น แต่ท่าทีไม่แยแสทั้งท้าทายของเยว่เชาฉวิน ทำให้มันหัวร้อนปุดๆ จึงสั่งให้คนออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลก และนำเรื่องราวไปแจ้งอาจารย์จริงๆ
ถึงแม้จี้หยิ่งกับจี้โยวจะถูกตัดขาดการติดต่อเพราะหนึ่งอยู่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกและอีกหนึ่งอยู่ระนาบเทวโลก แต่ทั้งคู่ก็มีคนส่งสารเพื่อไว้ติดต่อกันโดยเฉพาะ
ด้วยเหตุนี้ทำให้มันรู้เรื่องที่หวู่หลงตกตาย หลังจากที่หวู่หลงถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าได้ในเวลาอันสั้น
ถึงแม้ว่าในแหวนพื้นที่ของมันจะมีลูกแก้ววิญญาณของหวู่หลง แต่หากมันบ่มเพาะพลังอยู่ กว่าจะรู้เรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลา
“หมี่ซวน?”
จี้โยว จักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน ไม่นานก็ได้รับข้อความจากผู้ส่งสาร เดิมทีมันคิดว่าลูกบุญธรรมมันจะให้คนมาบอกข่าวดีเรื่องพบตัวต้วนหลิงเทียน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะให้คนมาแจ้งเรื่องดังกล่าว
นิสัยของจี้หยิ่งเป็นอย่างไร จี้โยวย่อมรู้ดี
หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ อีกฝ่ายไม่มีทางขอความช่วยเหลือจากมัน และต้องพยายามจัดการด้วยตัวเองจนได้
แต่ในเมื่อเอาเรื่องนี้มาบอกมัน เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้จัดการไม่ไหวและสำคัญมากในใจจี้หยิ่ง จำเป็นต้องแก้ไขโดยด่วน
‘ตอนนี้หยิ่งเอ๋ออยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุเทพ…หากเรื่องนี้ไม่อาจจัดการให้หยิ่งเอ๋อสบายใจได้ เกรงว่าจะกลายเป็นปมในใจ จนขัดขวางหนทางบรรลุเทพ’
สองตาจี้โยวทอประกายเย็นชาเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นมันก็เร่งรุดออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยของจี้ฟ่านเทียน จากนั้นก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเฉพาะไปยังระนาบอิสระที่ตั้งวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักทันที
ด้วยฐานะของจี้โยว มันสามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเฉพาะของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อย เพื่อไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักได้ตลอดเวลา ไม่นานก็ได้พบเจอหวู่หงชิง
“จ้าววิหารหวู่ เรื่องนี้ท่านต้องให้คำอธิบายต่อข้า”
ต่อหน้าหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก จี้โยวก็จำต้องระงับโทสะอารมณ์เอาไว้ และบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไปตามความเป็นจริง “หมี่ซวน คนที่วิหารเฟิงฮ่าวท่านส่งมาช่วยผู้นั้น มันจะไม่โอหังเกินไปหน่อยหรือ? ศิษย์ของข้าจี้โยวใช่ใครที่มันอยากจะทุบตีรังแกก็ทุบตีรังแกได้ตามอำเภอใจหรือไร มันไม่เห็นข้าจี้โยวอยู่ในสายตาแล้วกระมัง?”
เหตุผลที่ไฉนจี้โยวจำต้องระงับอารมณ์ต่อหน้าหวู่หงชิง เนื่องเพราะถึงตัวมันจะบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว แต่ก็เป็นแค่เทพขั้นสูงเท่านั้น ยังไม่ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ!
ทว่าหวู่หงชิงเป็นราชาเทพขั้นต่ำแล้ว!
หากต้องสู้กันจริงๆ มันจี้โยวไม่มีทางชนะหวู่หงชิงเลย
แน่นอนว่าหวู่หงชิงเองก็ไม่กล้าลงมือกับจี้โยวง่ายๆ เพราะจี้โยวเองก็มีภูมิหลังบางอย่างอยู่บนระนาบเทพ ซึ่งต่อให้หวู่หงชิงที่เป็นถึงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักก็ยังอดอิจฉาไม่ได้
“จี้โยว ข้ากับท่านเราก็ถือว่าเป็นสหายเก่ากัน…”
ได้ยินคำถามของจี้โยว หวู่หงชิงก็คลี่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นในฐานะที่พวกเราเป็นสหายเก่ากันข้าจะไม่ขอพูดอะไรมาก…หากหมี่ซวนออกมาจากสมรภูมิ 9 ยมโลกเมื่อใด ข้าจะให้มันไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนของท่าน และท่านก็ไม่ต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์อะไรของพวกเรา จะทำอะไรกับมันก็สุดแล้วแต่ท่าน เช่นนี้ท่านพอใจหรือไม่?”
ระหว่างเดินทางมาที่นี่จี้โยวก็ครุ่นคิดเรื่องราวไว้มาก..
มันรู้สึกว่าเทพสงคราม 9 ดาราอย่างหมี่ซวนจะอย่างไรก็ต้องมีความสำคัญกับวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักไม่น้อย และหวู่หงชิงก็สมควรให้ความสำคัญกับอีกฝ่ายจริงๆ ถึงส่งไปจัดการเรื่องต้วนหลิงเทียนแบบนี้
ทำให้มันคิดว่าการมาหาความครั้งนี้ 9 ใน 10 ล้วนถูกลิขิตให้ไร้ประโยชน์
มันแค่เดินทางมา เพื่อจะได้ไปชี้แจงให้ศิษย์มันจี้หยิ่งสบายใจ
อย่างไรก็ตามมันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหวู่หงชิงไม่เพียงแต่จะไม่มีเจตนาปกป้องหมี่ซวน แต่ยังจะส่งหมี่ซวนไปพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนของมัน และให้มันจัดการได้ตามใจชอบ!
“จ้าววิหารหวู่ ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
จี้โยวขมวดคิ้ว มันเองก็อยู่มานานปีดีดัก เช่นนั้นเพียงฟังก็รู้ว่ามีอะไรผิดท่า แต่ไม่ว่ามันจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าไฉนหวู่หงชิงถึงพูดแบบนี้
“ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร”
หวู่หงชิงส่ายหัวไปมา “ไม่ใช่จี้โยวท่านคิดสั่งสอนหมี่ซวนหรือไร? เช่นนั้นหลังหมี่ซวนออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลกเมื่อใด ข้าก็จะให้มันไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนของท่าน เพื่อให้ท่านจัดการมันเองอย่างไรเล่า”
“อะไร? หรือเรื่องที่ต้องสั่งสอนหมี่ซวนอย่างไร ต้องให้ข้าสอนท่านอีกหรือ?”
หวู่หงชิงกล่าวถึงจุดนี้ ก็ส่ายหน้าไปมาพลางคลี่ยิ้มอ่อนๆ
“ฮึ่ม!”
จี้โยวพ่นลมขึ้นจมูกเสียงเย็น “จ้าววิหารหวู่ ถึงแม้ข้าจะไม่ทราบว่าในน้ำเต้าท่านขายยาอันใด…แต่หากท่านคิดจะถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้า คิดใช้วิธีนี้ขู่ขวัญข้า ข้าขอกบอกท่านไว้ตรงนี้เลยว่ามันถูกลิขิตให้เปล่าประโยชน์!”
“เจ้าหมี่ซวนผู้นั้น หากท่านกล้าส่งมันมาเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนของข้าจริง ข้าจะสั่งสอนมันแทนวิหารเฟิงฮ่าวท่านอย่างดี! ข้าแค่หวังว่าถึงตอนนั้นทางวิหารเฟิงฮ่าวท่านจะไม่กลับคำพูดเสียเล่า หาไม่แล้วข้าจะมาพาคนไปด้วยตัวเอง!”
พอกล่าวจบคำ จี้โยวก็หันหลังจากไปทันที ไม่รอให้หวู่หงชิงได้พูดอะไรสักคำ
ด้านหวู่หงชิงก็ถึงกับอึ้ง
มันน่ะหรือ ถอยหลังเพื่อก้าวไปข้างหน้า?
หวู่หงชิงรู้สึกเหมือนโดนใส่ร้ายอย่างไรไม่ทราบ…
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงวาจาทิ้งท้ายของจี้โยวก่อนจากไป ลูกตาหวู่หงชิงก็หรี่ลงโดยไม่รู้ตัว มุมปากยังยกยิ้มขึ้นบางๆ “จี้โยวเอ๋ยจี้โยว…เจ้าที่ฉลาดมาทั้งชีวิต ไฉนครั้งนี้กลับโง่งมเสียได้เล่า…”
“กับเจ้าหมี่ซวนนั่น ข้าเองยังไม่กล้าหาเรื่องมันด้วยซ้ำ…”
“อาศัยเจ้าที่เป็นแค่เทพขั้นสูงคิดสั่งสอนมัน ความกล้านี้ของเจ้านับว่าน่าชื่นชมแล้ว!”
…
หลังจี้โยวเดินทางกลับถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน มันก็ได้ส่งคนนำข้อความไปแจ้งต่อจี้หยิ่งลูกศิษย์และลูกบุญธรรมของมันในสมรภูมิ 9 ยมโลกทันที “หยิ่งเอ๋อ เรื่องที่เจ้าอยากให้ข้าไปหาความที่วิหารเฟิงฮ่าว ข้าจัดการให้เจ้าแล้ว…”
“ข้าไปวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักมา และหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักก็รับปากข้าด้วยตัวเอง ว่าหลังจากหมี่ซวนมันออกมาจากสมรภูมิ 9 ยมโลกเมื่อใด หวู่หงชิงจะส่งตัวมันมายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนเราทันที…พอถึงตอนนั้น เจ้าก็ออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลกมาชมดูให้บันเทิงใจเถิด ว่าผู้ที่กล้าวางท่าต่อหน้าเจ้า พอมาอยู่ต่อหน้าอาจารย์คนนี้มันเป็นเช่นไร…”
นี่เป็นข้อความที่จี้โยวฝากให้คนไปส่งถึงจี้หยิ่ง
ด้านจี้หยิ่งพอได้รับทราบข้อความของอาจารย์ สองตามันก็เป็นประกายสว่างจ้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็อดแสยะยิ้มกล่าวออกมาอย่างได้ใจไม่ได้ “หมี่ซวน…รอให้เจ้ามารับโทษถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนของข้าก่อนเถอะ! ถึงตอนนั้นข้าอยากจะเห็นนัก…ว่าเจ้ายังจะทำตัวหยิ่งผยองลำพองได้อยู่หรือไม่!”
“ขอให้เจ้าวางท่าโอหังได้เท่าตอนที่ลงมือทำร้ายข้าเถอะ!!”
หลังจากบ่นพึมพำอย่างเอาเรื่องพักหนึ่ง สองตาจี้หยิ่งก็เริ่มทอประกายดุร้ายปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คน
ด้านหมี่ซวนย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา ว่าจี้หยิ่งได้ส่งคนออกไปฟ้องจี้โยว และให้จี้โยวไปหาความเรื่องมันถึงวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก แถมยังคิดสั่งสอนมันอีก…
แต่เป็นธรรมดาว่าถึงมันจะรู้มันก็ไม่สนใจ
จักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน?
นั่นมันตัวอะไร?
ในปัจจุบัน หมี่ซวนกำลังมุ่งหน้าออกจากภาคกลางไปยังภาคเหนือด้วยความเร็วสูง และไม่นานนักมันก็มาถึงเขต 2 ของภาคเหนือ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า พันธมิตรอุดรลี้ลับอยู่ที่ใด? หากไม่รู้เจ้าก็ไปตายเสีย!”
พอเห็นร่างหนึ่งเหินอยู่ไกลๆ หมี่ซวนก็พุ่งไปบีบคออีกฝ่าย ค่อยกล่าวถามออกมาด้วยสีหน้าไร้แยแส
ด้านคนที่ถูกหมี่ซวนบีบคอเอาไว้ ก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันมหาศาลสุดที่มันจะต้านทาน จากมือที่ไม่ต่างอะไรจากคีมเหล็ก กอปรกับคำขู่ของอีกฝ่าย สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย “ตะ…ใต้เท้า ข้ารู้! ข้ารู้ทาง! ข้ายังสามารถพาใต้เท้าไปที่นั่นได้!!”
พันธมิตรอุดรลี้ลับกลายเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงหนึ่งเดียวในเขต 2 ภาคเหนือแล้ว
ค่ายของกองกำลังเช่นนี้ ขอเพียงเป็นคนที่อยู่ในเขต 2 ของภาคเหนือมาสักพัก ย่อมรู้ดีเป็นธรรมดา
ถึงแม้จะไม่เคยไปที่นั่นด้วยตัวเอง อย่างน้อยก็ต้องเคยได้ยินมา
“นำไป!”
หมี่ซวนปล่อยมือที่บีบคออีกฝ่าย ด้านคนที่ได้รับอิสระอีกครั้งก็ไม่กล้ารอช้า เร่งรุดนำทางไปยังสถานที่ตั้งค่ายพันธมิตรอุดรลี้ลับทันที ไม่นานก็มาถึงธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และมาหยุดลงบริเวณเบื้องหน้าภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง “ใต้เท้า…ค่ายพันธมิตรอุดรลี้ลับอยู่ใต้ธารน้ำแข็งแห่งนี้ขอรับ ใต้เท้าเห็นโพรงถ้ำใต้ภูเขาน้ำแข็งลูกนั้นหรือไม่ ข้าได้ยินมาว่านั่นเป็นทางเข้าไปยังค่ายพันธมิตรอุดรลี้ลับ…ตอนนี้ข้าน้อยไปได้แล้วหรือไม่?”
กล่าวถึงท้ายประโยค คนที่นำทางหมี่ซวนมา ก็มองถามหมี่ซวนอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ไปเสีย”
หมี่ซวนโบกมืออย่างรำคาญ ก่อนจะวูบร่างดิ่งลงจากฟ้ามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าค่ายพันธมิตรอุดรลี้ลับ
ด้านคนที่นำทางหมี่ซวนมา ก็ปะทุพลังชั่วชีวิตถึงขั้นรีดเค้นเรี่ยวแรงดูดนมมารดาเหินร่างหนีไปไม่เหลียวหลังทันที
ส่วนหมี่ซวนที่ลงมาถึงหน้าถ้ำ ก็ถูกคนของพันธมิตรอุดรลี้ลับที่เฝ้าระวังมาขวางไว้เป็นธรรมดา
“ไม่ทราบท่านเป็นผู้ใด? ไฉนถึงมายังพันธมิตรอุดรลี้ลับของพวกเรา?”
สมาชิกพันธมิตรอุดรลี้ลับที่ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าค่าย มองหมี่ซวนที่ก้าวอาดๆเข้ามาด้วยสายตาระวัง เอ่ยถามออกไปเสียงเข้ม