นอกจากนั้นค่ายที่ว่า ก็กระจายตัวไปทั่วระนาบสมรภูมิ ไม่ต่างอะไรจากค่ายพักของทหาร และจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทพเสมอ
‘ค่ายทหารที่ว่า ก็มีทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่…อย่างไรก็ตาม แต่ละค่ายจะเป็นค่าสำหรับคนในระนาบเทพใดระนาบหนึ่งเท่านั้น และมีเพียงผู้ที่อยู่ในระนาบเทพนั้นๆถึงจะเข้าไปได้ และค่ายทหารขนาดเล็กก็สามารถรองรับเทพที่เข้าพักได้แค่ 100 คนเท่านั้น หากครบแล้ว ต่อให้เป็นเทพที่มาจากระนาบเทพเดียวกันคิดจะเข้าไปก็ไม่อาจเข้าไปได้…และในค่ายก็ไม่อนุญาตให้ใครสู้กัน’
‘และต่อให้เป็นค่ายทหารขนาดเล็ก ก็สามารถเลือกจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังระนาบเทพใดก็ได้ใน 2 ระนาบเทพคู่ขนานที่ปะทะกัน’
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่วารีเทพชำระโลกาได้กล่าวบอกต้วนหลิงเทียนเอาไว้ก่อนหน้า
นอกจากนั้นวารีเทพชำระโลกายังกำชับเขาอีกด้วย
เมื่อมาถึงระนาบสมรภูมิแล้ว เขาทำได้แค่พึ่งตัวเองเท่านั้น ไม่อาจเปิดโลกใบเล็กภายในกายได้ส่งเดช เพราะการทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับเสี่ยงให้เทพเบญจธาตุและพฤกษาเทพกำเนิดชีพถูกเปิดเผย ที่สำคัญตอนนี้เหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของเขาก็อยู่ในช่วงย่อยพลังที่ดูดซับมาเพื่อเพิ่มพัฒนาร่าง
เพลิงเทพโกลาหลกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่ 9
สำหรับเทพเบญจธาตุที่เหลืออีก 4 ธาตุรวมถึงวารีเทพชำระโลกา ก็กำลังพัฒนาไปสู่ขั้นที่ 8
และหากไม่มีอะไรผิดพลาด ทุกคนย่อมพัฒนาได้สำเร็จแน่นอน
แต่ถ้าถูกขัดจังหวะขณะพัฒนาร่างล่ะก็ เช่นนั้นการพัฒนาร่างก็จะล้มเหลวทันที
เช่นนั้นแล้ว เว้นเสียแต่จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นตาย ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะรบกวนเหล่าเทพเบญจธาตุเด็ดขาด
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายจริงๆ เขาก็ต้องพิจารณาด้วยว่าหากให้เหล่าเทพเบญจธาตุลงมือช่วยเหลือแล้วจะสามารถผ่านพ้นความตายได้หรือไม่…ถ้าไม่ได้ เขาก็ไม่คิดจะรบกวน
เพราะถึงเขาจะถูกฆ่าตาย และโลกใบเล็กภายในกายของเขาจะยุบตัวลงและกลายเป็นแดนลับอิสระ หายไปในห้ววงมิติผันผวน แต่เหล่าเทพเบญจธาตุก็จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดสามารถอาศัอยู่ในห้วงมิติแปรปรวนดังกล่าวได้
กล่าวได้ว่าถึงเขาตาและทั้งหมดตกเข้าไปในห้วงมิติแปรปรวนจริง การพัฒนาร่างของเหล่าเทพเบญจธาตุก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไร และดำเนินการต่อไปอย่างราบรื่น…
เช่นนั้นแล้วเว้นเสียแต่เขาจะพบพานวิกฤตที่ สามารถรอดพ้นได้ด้วยความช่วยเหลือของเหล่าเทพเบญจธาตุจริงๆ ต่อให้ต้องตาย ต้วนหลิงเทียนก็จะไม่รบกวนเหล่าเทพเบญจธาตุ เพราะถึงจะรบกวนขัดจังหวะการพัฒนาของทุกคนไป ก็ไร้ซึ่งความหมายใดๆ มิสู้ไม่รบกวนแต่แรก
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ถึงแม้เหล่าเทพเบญจธาตุจำต้องพึ่งพาอาศัยร่างเขาเพื่อดำรงชีวิตอยู่ และอาศัยเขาในการปล้นชิงเทพเบญจธาตุอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เหล่าเทพเบญจธาตุได้ให้ความช่วยเหลือเขามามากแล้ว
ต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนเนรคุณ เขาไม่คิดจะลากคนอื่นให้พบพานเคราะห์ร้ายไปพร้อมกับเขาได้
ฟุ่บ!
ในทะเลทรายอันรกร้างกว้างใหญ่ต้วนหลิงเทียนอาศัยการเดินบนพื้น เมื่อพบเจอสิ่งกีดขวางก็กระโดดข้ามหรือปีนเอา และเมื่อพ้นจากพื้นีท่ทะเลทราย ไม่ว่าจะพื้นที่ป่ารกชัดหรือที่ราบภูเขา ต้วนหลิงเทียนก็อาศัย 2 ขาในการเดินทางทั้งสิ้น
แน่นอนว่าการเดินเท้าเช่นนี้ ย่อมไม่มีประสิทธิภาพและเคลื่อนตัวได้ช้ามาก
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะเขาก็ไม่อาจเหินบินทำตัวเด่นไม่ใช่รึไง?
นอกจากนั้นระหว่างเดินทาง เขาก็เลือกจะอาศัยภูมิประเทศเพื่อซ่อนตัวเท่าที่จะทำได้ หากเหล่าเทพที่เหินร่างผ่านมาไม่ได้ใช้จิตสัมผัสในการตรวจสอบที่ทาง อาศัยแค่มองด้วยตาเปล่าก็ไม่มีทางงจะพบเจอตัวเขาได้
แต่ถ้าหากมีเหล่าเทพที่ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบที่ทางล่ะก็ แน่นอนว่าต้องพบเขา
สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นแค่ครึ่งก้าวเทพเท่านั้น ไม่ได้บรรลุถึงขอบเขตเทพจริงๆ จิตวิญญาณเซียนอมตะของเขาก็ยังไม่แปรเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณเทพ
เรียกว่าตลอดการเดินทาง ใจต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ยังเต้นระส่ำระสายตลอดเวลา
เขาไม่อาจไม่กังวลว
เพราะถ้าหากจะกล่าวถึงห่วงโซ่อาหารในระนาบสมรภูมิแล้วล่ะก็…ตัวเขาสมควรเป็นสิ่งมีชีววิตที่อยู่ล่างสุดของห่วงโซ่อาหารแน่นอน!
‘หวังว่ามุ่งหน้าไปทางนี้เรื่อยๆ ข้าจะเจอค่ายทหารในเร็ววัน…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ ‘ขอเพียงพบเจอค่ายทหารและเข้าไปได้ ข้าก็จะปลอดภัย…ในค่ายทหารมีค่ายกลที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดจัดตั้งไว้ ไม่มีใครกล้าลงมือทำร้ายข้าในค่ายแน่’
วันแรกของการเดินทาง ต้วนหลิงเทียนไม่พบเจอใครเลย เขาสามารถเดินทางผ่านภูมิประเทศต่างๆได้อย่างราบรื่น
วันต่อมาก็ไม่พบเจอใคร
พอมาวันที่ 3 เขาก็พบเจอคนๆหนึ่งเหินร่างผ่านน่านฟ้าเหนือศีรษะเขาไปด้วยความเร็วสูง กระทั่งมองแทบไม่เห็นเงาด้วยซ้ำ ‘ความเร็วระดับนั้น…สมควรเป็นจอมราชันเทพขึ้นไปกระมัง?’
‘ต่อให้ไม่ใช่ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นราชาเทพขั้นสูงที่ร้ายกาจมาก’
ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอตัวตนระดับราชาเทพขั้นต่ำมาแล้ว ไม่ใชใครที่ไหนแต่เป็นหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาจาหลัก และความเร็วของมันก็ไม่อาจเทียบคนที่เหินร่างผ่านไปเมื่อครู่ได้เลย
วันที่ 4 เขาก็ไม่พบเจอผู้ใด และไม่มีแม้แต่วี่แววค่ายทหาร…
วันที่ 5…
วันที่ 6…
…
หลังจากผ่านไป 1 เดือน ต้วนหลิงเทียนที่มุ่งหน้าเป็นเส้นตรงมาตลอดก็ไม่พบเจอค่ายทหารใดๆ แต่มีคนที่เหินร่างผ่านน่านฟ้าเหนือศีรษะเขาไปไม่น้อยกว่า 10 คน ในบรรดาคนเหล่านั้นคนทีอ่อนแอที่สุด ต้วนหลิงเทียนสามารถมองเห็นรูปร่างอีกฝ่ายได้คร่าวๆ
สำหรับที่แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อย เขาเห็นได้แต่เงาเลือนลางเท่านั้น
ส่วนที่แข็งแกร่งมาก เขาไม่เห็นอะไรเลย ได้ยินแต่เสียงแหวกอากาศดังขึ้นตามหลังเท่านั้น…
ตลอดเดือนที่ผ่าน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงงความกระจ้อยร่อยไร้สำคัญของตัวเอง เขาเชื่อว่าในบรรดาคนที่เหินร่างผ่านไป สมควรมีใครบางคนตรวจพบการคงอยู่ของเขาแน่นอน แต่แค่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขา
เพราะในสายตาอีกฝ่าย เขาคงไม่ต่างอะไรจากมดตัวกระจ้อย
‘ให้ตายเถอะ ทรมาณจิตจริงๆ…นี่มันก็เดือนกว่าแล้ว จะไม่มีค่ายให้เห็นจริงๆหรือ?’
หลังผ่านไปหนึ่งเดือน แม้ร่างกายต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้เหนื่อยล้าอะไร แต่ในแงง่ของจิตใจแล้วเขารู้สึกอ่อนล้านัก หากพบเจอสถานที่ปลอดภัยให้พักผ่อนล่ะก็ เขารู้สึกว่าตอนนี้เขาสามารถนอนแอ้งแม้งไม่ทำอะไรเพื่อพักผ่อนได้ถึง 2 ปี…
จิตใจอ่อนล้าต้องการพักอย่างแรง!
‘ขอให้เจอสักค่ายเถอะ…เจอเร็วหน่อยยิ่งดี’
ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงใช้สองเท้าเดินทางงในระนาบสมรภูมิอ่างระแวดระวัง จิตใจเต็มไปด้วความตึงเครียดกังวลไปเสียทุกอย่าง ไม่กล้าผ่อนคลายความระวังแม้แต่นิดเดียว
พริบตาเดียว วันเวลาก็ล่วงเลยไปอีกครึ่งเดือน
และในวันนี้ ต้วนหลิงเทียนที่กำลังเดินทางอยู่ก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวของอากาศและสายลมหอบหนึ่งที่พัดเข้ามาทางเขาด้วยความเร็วสูง ‘แย่แล้ว!’
แทบจะทันทีที่เขาร่ำร้องผิดท่าในใจ ร่างชราหนึ่งก็มาปรากฏตัวกลางอากาศเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน เป็นชายชราในชุดคลุมสีเขียว ผมยาวสีขาวอมเทา ใบหน้าแลดูอ่อนโยนมีเมตตา ดวงตาสีโคลนขุ่นมัวของอีกฝ่ายมองจ้องเขาด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง..
แม้ชายชราลอยร่างกลางหาวอยู่ตรงนั้น แต่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนเบื้องหน้าไม่มีผู้ใดอยู่ หากไม่ใช่เพราะเขามองเห็นอีกฝ่ายด้วยสองตา เขาคงไม่อาจรับรู้การคงอยู่ของชายชราได้เลย
สิ่งนี้ทำให้เขาตระหนักได้ถึงความลึกล้ำยากหยั่งถึงของชายชราได้ชัดเจน…
“ผู้น้อยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
ไม่ทันที่ชายชราจะได้พูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็เร่งประสานมือโค้งคารวักทักทายอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“เจ้าหนู เจ้ายังเป็นแค่ครึ่งก้าวเทพไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพด้วยซ้ำ แต่เจ้าถึงกับกล้าเข้ามาในระนาบสมรภูมิเชียวหรือ?”
ชายชรามองถามต้วนหลิงเทียน แววตาฉายชัดถึงความประหลาดใจสงสัย
ได้ยินคำถามของชายชรา ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มแห้งๆ พลางกล่าวอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นขมทันที “เรียนท่านผู้อาวุโส ข้าไม่ได้มีเจตนาเข้ามาในระนาบสมรภูมิแต่อย่างใด…ข้าบังเอิญพบเจอตัวตนอันทรงพลัง 2 คนประมือกัน พลังของทั้งคู่ทำให้ห้วงมิติฉีกเปิดวุ่นวายไปทั่ว ข้าที่โชคร้ายจึงชพลัดหลงเข้าไปในห้วงมิติ จนมาโผล่ในระนาบสมรภูมิอย่างไม่คิดฝัน…”
คำพูดเหล่านี้ เป็นวารีเทพชำระโลกาตระเตรียมให้ต้วนหลิงเทียนใช้อธิบายต่อคนอื่นแต่แรก
“หืม? ประมือกันจนห้วงมิติฉีกเปิดไปทั่ว?”
พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน ลูกตาชายชราก็หดเล็กลงเร็วไว “เจ้า…เจ้าถึงกับพบเห็นตัวตนระดับอริยะเทพขึ้นไปประมือกัน?”
“สมควรเป็นอริยะเทพจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เพราะข้าน้อยเคยได้ยินมาว่า ในระนาบเทพเรามีแต่ตัวตนระดับอริยะเทพขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีพลังอำนาจมากพอฉีกเปิดและทลายห้วงมิติได้”
“มิน่าแปลกใจเลย ว่าไฉนเจ้าถึงไม่มีกลิ่นอายของป้ายสะสมแต้มรบ…ที่แท้เจ้าเข้าสู่ระนาบสมรภูมิในลักษณะนี้นี่เอง”
ชายชราส่ายหัวไปมา
โดยปกติแล้ว ผู้ที่เข้าสู่ระนาบสมรภูมิ ย่อมมาปรากฏตัวในค่ายทหารขนาดใหญ่ และจำต้องลงทะเบียยนเพื่อรับป้ายสะสมแต้มรบ…และป้ายสะสมแต้มรบนั่นไม่อาจเก็บเข้าแหวนพื้นที่ได้ แถมยังงแผ่กลิ่นอาบอกชัดว่ามาจากระนาบเทพแห่งใด ทั้งหมดเพื่อใช้ในการระบุตัวตนว่าเป็นของระนาบเทพไหน เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถเข่นฆ่าเก็บแต้มได้ถูก…
ชายชราเอง ก่อนหน้านี้ตอนที่ค้นพบต้วนหลิงเทียน มันก็รู้สึกแปลกใจแต่แรกว่าไฉนไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเฉพาะของป้ายแต้มรบระบุระนาบเทพ แถมอีกฝ่ายยังเป็นแค่ครึ่งก้าวเทพอีก ทำให้มันรู้สึกประหลาดใจพอสมควร
ครึ่งก้าวเทพ ไฉนมาโผล่ที่นี่ได้?
ที่แท้อีกฝ่ายเคราะห์ร้ายจับพลัดจับผลู ตกลงไปในห้วงมิติที่เปิดออกจากการปะทะกันของอริยะเทพ ทำให้ผ่านห้วงมิติผันผวนมาโผล่ในระนาบสมรภูมิอย่างช่วยไม่ได้
“ท่านผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนมองงไปยังชายชรา ก่อนจะประสานมือโค้งกล่าวอย่างนอบน้อม “ตลอดเดือนกว่าที่ผ่านมา ผู้น้อยโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ขณะพยายามตามหาค่ายทหาร…ไม่ทราบผู้อาวุโสจะกรุณาเมตตาข้าน้อยสักครั้ง พาข้าน้อยไปส่งที่ค่ายทหารได้หรือไม่?”
ไม่รอให้ชายชราตอบคำใด ต้วนหลิงเทียนก็เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หากท่านผู้อาวุโสเมตตาช่วยเหลือข้าสักครั้ง ข้าต้วนหลิงเทียนจะจดจำความกรุณาของผู้อาวุโสไว้ในใจไม่ลืมเลือน วันหน้าข้าจักตอบแทนท่านให้จงได้”
“ต้วนหลิงเทียน?”
ชายชราคลี่ยิ้มบางๆ “ชื่อเจ้าอหังการดีนี่…”
“อย่างไรก็ตาม อาศัยเจ้าที่เป็นเพียงครึ่งก้าวเทพ จะตอบแทนข้าที่เป็นจอมราชันเทพขั้นกลางอย่างไรเล่า?”
ชายชราส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม พลางกล่าว “ช่างเถอะ ได้พบพานถือเป็นพรหมลิขิต ในเมื่อข้าพบเจอเจ้าแล้ว และมาหาเจ้าด้วยความอยากรู้ เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปส่งเอง”
“ด้วยความเร็วของข้า ราวๆ 2 วันก็สมควรพาเจ้าไปส่งยังค่ายทหารที่ใกล้ที่สุด”
ชายชรากล่าว
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสยิ่ง!”
คำพูดของชาชราทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกยินดีถึงขีดสุด เสมือนเขาได้ไขว่คว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย ขณะก้าวข้ามหุบเหวแห่งความตาย…
ในขณะที่ชายยชราหอบหิ้วเขาเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “ท่านผู้อาวุโส มิทราบท่านมีนามเลิศล้ำว่าอะไร แล้วมาจากระนาบเทพแห่งไหน รวมถึงขุมกำลังอันใดหรือ?”
“เจ้าหนู เจ้าถามเสียละเอียดยิบเช่นนี้ หรือเจ้าคิดจะตอบแทนข้าจริงๆ?”
ชายชราคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอท่านผู้อาวุโสโปรดบอกข้าน้อยด้วยเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง
“ช่างเถอะ บอกเจ้าไปก็ไม่เสียหายอะไร…ข้าผู้เฒ่าเรียกว่า ‘เย่เป่ยหยวน’ มาจากดินแดนดาราพิศวง เป็นผู้อาวุโสของนิกายฟ้าจรัสแสงในดินแดนดาราพิศวง…”
ชายชราส่ายหัวพลางกล่าว
พอมันพูดจบ ก็ย้อนถามต้วนหลิวเทียนว่า “เจ้าเล่า เจ้าหนู…มาจากดินแดนดาราพิศวงเหมือนข้าหรือไม่?”
“ใช่แล้วผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ “เพียงแต่ข้ามาจากสถานที่เล็กๆในดินแดนดาราพิศวง จึงงมิเคยได้ยินชื่อเสียงเรียยงนามของผู้อาวุโสรวมถึงนิกายฟ้าจรัสแสงมาก่อน…เกรงว่าสำหรับผู้อาวุโสแล้ว ข้าน้อยเป็นเพียงแค่กบในบ่อเท่านั้น”
“เหอะๆ นิกายฟ้าจรัสแสงของเราผู้มิได้ยิ่งใหญ่อันใด เจ้าจะไม่เคยได้ยินมาก่อนก็เป็นเรื่องปกติ”
เย่เป่ยหยวนกล่าวสืบต่อด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตามเจ้านับว่าโชคดียิ่ง ที่ได้มาเจอข้าที่มาจากดินแดนดาราพิศวงเช่นเดียวกัน…”
“นับว่าพวกเรามีวาสนากันไม่น้อย”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ขณะเดียวกันก็สลักชื่ออีกฝ่าย และขุมกำลังต้นสังกัดของอีกฝ่ายเอาไว้ในใจอย่างไม่ลืมเลือน
เย่เป่ยหยวน
นิกายฟ้าจรัสแสง!
ตราบใดที่เขาสามารถออกจากระนาบสมรภูมิได้สำเร็จเพราะความช่วยเหลือของอีกฝ่าย วันหน้าเมื่อบรรลุถึงขอบเขตเทพและพลังฝีมือก้าวหน้าสูงพอแล้ว เขาจะย้อนกลับไปตอบแทนบุญคุณอันใหญ่หลวงครั้งนี้แน่นอน
เพราะความช่วยเหลือของอีกฝ่าย สำหรับเขาไม่ต่างอะไรจากบุญคุณช่วยชีวิตเลย
…
2 วันต่อมา
“ถึงแล้ว”
พอเสียงของเย่เป่ยหยวนดังขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเบื้องหน้าไกลๆของพื้นที่ราบอันแห้งแล้งแห่งนี้ ปรากฏพื้นที่ส่วนหนึ่งปกคลุมไปด้วยม่านพลังสีทองโปร่งแสง และมีอาคารแลดูเก่าแก่โบราณ พร้อมเงาร่างงผู้คนมากมายอยู่ที่นั่น
“สหายน้อยหลิงเทียน…เมื่อถึงค่ายทหารแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
หลังจากส่งต้วนหลิงเทียนเข้าไปในค่ายทหารอันปกคลุมไปด้วยม่านพลังสีทองโปร่งแสงแล้ว เย่เป่ยหยวนก็กล่าวคำอำลาเตรียมพร้อมจากไป…