“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนประสานมือโค้งคารวะเย่เป่ยหยวนด้วยสีหน้าจริงจัง ที่เขาสามารถมาถึงที่นี่ได้โดยสวัสดิภาพ ทั้งหมดต้องขอบคุณชายชราเบื้องหน้าทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายยื่นมือเข้าช่วย ไม่แน่เขาอาจจะมาไม่ถึงที่นี่
น้ำใจครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าสวรรค์ เขาย่อมเก็บไว้ในใจไม่ลืมเลือน
“วันหน้าหวังว่าจะได้เจอกกันใหม่ เจ้าหนู”
เย่เป่ยหยวนยิ้มกล่าว ค่อยหันหลังจากไป มันเองก็ประทับใจชายหนุ่มที่สุภาพผู้นี้อยู่บ้าง อีกทั้งมันยังเห็นว่าชายหนุ่มขอบคุณมันจากใจจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้สนใจคำพูดว่าจะตอบแทนบุญคุณของชายหนุ่มเลย
ถึงแม้ตัวมันกับนิกายที่อยู่เบื้องหลังจะไม่อาจนับเป็นอะไรได้ในดินแดนดาราพิศวง ทว่าชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้ก็เป็นเพียงครึ่งก้าวเทพเท่านั้น พลังยังห่างไกลจากมันลิบลิ่ว แทบเป็นไปไม่ได้เลที่จะช่วยเหลืออะไรมันได้
ด้วยเหตุนี้สำหรับคำมั่นที่ต้วนหลิงเทียนว่าไว้ มันก็แค่ยิ้มรับแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ต้วนหลิงเทียนมองส่งชายชราเงียบๆ จนเมื่อแผ่นหลังของชายชราหายลับตาไปแล้วเขาค่อยละสาตากลับมา จากนั้นก็หันไปมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ และเงี่ยหูฟังบทสนทนาต่างๆ
การปรากฏตัวของเขาก็ได้รับความสนใจจากผู้คนไม่น้อย เพราะหาได้ยากนักที่จะมีครึ่งก้าวเทพมาปรากฏตัวที่นี่
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายคนพบว่ามีจอมราชันเทพมาส่งเขาที่ค่าย ก็คิดไปว่าเขามาชมดูเรื่องราวเพื่อความสนุกสนาน และตลอดทางก็มีจอมราชันเทพคอยปกป้องคุ้มภัย
“ข้าได้ยินมาว่าวันก่อนจักรพรรดิเทพขั้นกลางของดินแดนบัญญัติบรรพกาลถูกฆ่า…ผู้ลงมือยังเป็นจักรพรรดิเทพขั้นสูงของตระกูลโอวหยางแห่งดินแดนดาราพิศวงเรา”
ต้วนหลิงเทียนที่เดินตามหาค่ายกเคลื่อนย้ายก็ได้เงี่หูฟังเรื่องราวมาตลอดทาง และมีเสียงหนึ่งไม่เพียงแต่จะดึงดูดความสนใจเขา ยังดึงดูดความสนใจคนอื่นๆอีกด้ววย
หันไปมองก็พบเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังคุยกับสหาย เรื่องที่จักรพรรดิเทพขั้นสูงของตระกูลโอวหยางแห่งดินแดนดาราพิศวงฆ่าคน ‘จักรพรรดิเทพขั้นกลางถูกฆ่าตาย?’
จักรพรรดิเทพขั้นกลาง นั่นเป็นตัวตนที่ทรงพลังเหนือกว่าเย่เป่หยวนที่พาต้วนหลิงเทียนมาส่ง แต่กลับถูกคนฆ่าตาย?
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็อดใจสั่นไม่ได้ เขารู้สึกว่าการมาถึงค่ายทหารแห่งนี้โดยสวัสดิภาพเป็นอะไรที่โชคดีเหลือเกิน ขณะเดียวกันก็เริ่มขอบคุณเย่เป่ยหยวนมากขึ้น
“ฆ่าจักรพรรดิเทพขั้นกลางรึ? ในระนาบสมรภูมิเรา ตัวตนระดับนั้น เว้นเสียแต่จะมีความแค้นกันมาก่อน หาไม่แล้วคงไม่ลงมือเข่นฆ่ากันส่งเดชกระมัง? เพราะหากเรื่องราวแพร่งพรายออกไป แล้วจักรพรรดิเทพขั้นกลางนั่นมีความเป็นมายิ่งใหญ่ มิใช่ผู้ลงมือจะพบเจอกันแก้แค้นอันรุนแรงหรือไร?”
อีกคนเอ่ยยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“จักรพรรดิเทพขั้นกลางที่ตายนั่น มันเป็นคนของสำนักจ้านหลุนแห่งดินแดนบัญญัติบรรพกาล…”
ชายวัยกลางคนกล่าวสืบต่อ
“สำนักจ้านหลุน?”
พอได้ยินคำตอบของชายวัยกลางคน สหายขอมันก็ดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องราวได้ทันที “ที่แท้ก็เป็นคนของสำนักจ้านหลุน…มิน่าล่ะ เห็นว่าเมื่อ 400 ปีก่อน มีคนของสำนักจ้านหลุนฆ่าคนตระกูลโอวหยาง…เช่นนั้นครั้งนี้ก็เป็นตระกูลโอวหยางล้างแค้นสินะ”
“ดูเหมือนว่าสำนักจ้านหลุนกับตระกูลโอวหยาง ไม่คิดจะอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันแล้ว”
“น่าติดตามไปดูพวกมันเข่นฆ่ากันยิ่ง”
…
ท่ามกลางบทสนทนาของเหล่าเทพในค่ายทหาร ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้ข้อมูลที่เขาอยากรู้ที่สุดหังจากมาถึงค่าย
ระนาบเทพคู่ขนานทั้ง 2 ที่โคจรมาพบกันจนก่อให้เกิดระนาบสมรภูมิที่เขาอยู่แห่งนี้ ก็คือระนาบเทพที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน หนึ่งคือดินแดนดาราพิศวง อีกหนึ่งคือดินแดนบัญญัติบรรพกาล
‘ดูเหมือนเรื่องจะไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ งต้องรออีก 300 ปีอยู่ดี…’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบทอดถอนในใจ
‘ตลอด 300 ปีหลังจากนี้ ข้าจะฝึกฝนบ่มเพาะ 1 ใน 2 ระนาบเทพคู่ขนานที่ว่า เพื่อยกระดับพลังให้สูงพอจะช่วยเค่อเอ๋อในดินแดนการล่มสสลายแห่งทวยเทพให้ได้!’
สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งแสงแห่งความมุ่งมั่นสว่างวาบ
ถึงแม้มันจะยากดั่งให้คนธรรมดาขึ้นสวรรค์ แต่เขาก็ยังคงตั้งเป้าหมายอย่างแน่วแน่
‘300 ปี…เค่อเอ๋อ อีก 300 ปีหลังจากนี้ ข้าจะไปรับเจ้า!’
ต้วนหลิงเทียนลอบให้คำมั่นในใจ
ระหว่างทาง ต้วนหลิงเทียนที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพก็ได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย บ้างก็แทบอดใจไม่ไหวอยากตบต้วนหลิงเทียนให้ตายดั่งบี้มดเพื่อแสดงพลัง…อนิจจาภายในค่ายทหารของระนาบสมรภูมิ ยากจะมีผู้ใดโคจรพลังเทพหรือใช้พลังวิญญาณและพลังแห่งกฏอะไรได้
ต้วนหลิงเทียนก็เช่นกัน
ถึงแม้พลังในร่างเขาจะไม่ใช่พลังเทพ แต่เป็นพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่เริ่มเปลี่ยนไปเป็นพลังเทพแล้วบางส่วน แต่เมื่อเข้ามาในเขตค่ายทหารแห่งนี้ เขาก็พบว่าเขาไม่อาจโคจรเรียยกใช้พลังของตัวเองได้เลย
มีพลังไร้สภาพมองไม่เห็นขุมหนึ่ง แม้จะแค่ปกคลุมผู้คนในค่ายเอาไว้ไม่ได้สร้างแรงกดดันอะไร แต่มันก็มีพลังอาจระงับพลังในร่างงของทุกคนได้ชะงัด ยังปิดกั้นพลังวิญญาณและจิตสัมผัสของผู้คนด้วย
แม้แต่วิถีควบคุมเองก็ใช้ไม่ได้
‘นี่คือ…ฝีมือของผู้แข็งแกร่งที่สุด?’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนรู้สึกตกใจกับเรื่องนี้เงียบๆ เขาก็ถามทางเทพที่แลดูใจดี จนในที่สุดก็พบเจอค่ายยกลเคลื่อนย้ายซึ่งนำไปสู่ดินแดนดาราพิศวงจนได้
ในค่ายทหารทั้งหลายที่อยู่มากมายในระนาบสมรภูมิ ค่ากลเคลื่อนย้ายที่จัดตั้งไว้ สามารถเลือกเป้าหมายปลาทางได้ 2 แห่งเสมอและนั่นก็คือระนาบเทพคู่ขนานที่โคจรมาปะทะกัน ซึ่งที่นี่ก็คือดินแดนดาราพิศวง กับดินแดนบัญญัติบรรพ กาล และด้วยความที่เย่เป่ยหยวนพาเขามาส่งถึงค่าย ต้วนหลิงเทียนจึงเลือกจะไปดินแดนดาราพิศวง
บุญคุณครั้งนี้ของเย่เป่ยหยวน เขาจะสลักไว้ในใจไม่ลืมเลือน หลังบ่มเพาะฝึกฝนในดินแดนดาราพิศวงจนมีพลังมาพอแล้ว เขาจะหาทางตอบแทนเย่เป่ยหยวนให้จงได้
วู้มมม!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จัดตั้งไว้ในค่ายทหารของระนาบสมรภูมิ ก็เป็นฝีมือผู้แข็งแกร่งที่สุด มันไม่ต้องการหินเทพใดๆเพื่อจ่ายพลังขับเคลื่อนค่ายกล เพียงต้วนหลิงเทียนก้าวขึ้นสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายไม่ทันไร ก็มีพลังลี้ลับขุมหนึ่งแผ่ออกมาปกคลุมร่างเขา จากนั้นก็ทำการเคลื่อนย้ายส่งตัวเขาออกไปทันที
ในระนาบสมรภูมิ นอกจากค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ในค่ายทหารขนาดใหญ่ 2 แห่งที่จะกำหนดเป้าหมายเคลื่อนย้ายในยังระนาบเทพทั้ง 2 ได้แล้ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายในค่ายทหารขนาดเล็กอื่นๆอีกหลายร้อแห่ง จะเป็นการเคลื่อนย้ายแบบสุ่ม
ท่านสามารถเลือกไปยังระนาบเทพที่ท่านต้องการไปได้จริง แต่มันจะส่งท่านไปอยู่ส่วนไหนของระนาบเทพนั้น ก็ต้องวัดดวงเอา…
แต่เป็นธรรมดาว่าแม้จะพูดว่าวัดดวง แต่ค่ายกลก็ไม่สุ่มท่านไปยังสถานที่อันตราย หรือสถานที่ๆใกล้กับค่ายกลหรือเขตแดนใดๆทั้งสิ้น เพื่อไม่ให้ถูกส่งไปยังสถานที่หวงห้ามของผู้ใด เป็นเหตุให้ถูกฆ่าตายอะไรทำนองนั้น
ในระนาบเทพ มีขุมกำลังมากมายที่เข่นฆ่าผู้บุกรุกทันทีโดยไม่ถาม
ฟุ่บ!
สองตาต้วนหลิงเทียนเสมือนมืดมิดลงครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเห็นแสงสว่างอีกครั้ง และเขาก็พบว่าบัดนี้ตัวเองอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง เขาค่อยยๆลอร่างขึ้นฟ้าและก้มลงมองสำรววจที่ทางโดยรอบทันที จากนั้นจึงรู้ว่าเขาถูกส่งตัวมาใกล้ๆแนวเทือกเขาแห่งหนึ่ง
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสัมผัสถึงไอพลังวิญญาณฟ้าดินรอบกายดู จึงม่ากที่เขาจะบอกได้ว่าเขาสมควรอยู่ในดินแดนดาราพิศวงแล้วจริงๆ เพราะกลิ่นอายพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มีคุณภาพไม่ต่างอะไรจากพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล้กเขาเลย…
แต่เป็นธรรมดาว่าถึงแม้มันจะเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินระดับเดียวกัน แต่ความหนานแน่นของพลังวิญญาณฟ้าดินในโลกใบเล็กเขาก็เหนือล้ำกว่าหลายๆจุดในระนาบเทพ…มีไม่กี่แห่งเท่านั้นที่อาจจะพอๆกัน
สถานที่เหล่านั้นก็ได้แก่สถานที่บ่มเพาะอันมีค่ายกลรวมพลังวิญญาณฟ้าดินจากสายแร่ผลึกเทพบนระนาบเทพทั้งหลาย
และตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในระนาบเทวโลก ต้วนหลิงเทียนก็รู้อยู่แล้วว่าผลึกเทพที่ว่ารวมถึงหินเทพในระนาบเทพนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรจาสกุลเงินพื้นฐานเลย นอกจากใช้บ่มเพาะพลัง เป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนค่ายกล ยังสามารถใช้ทำธุรกรรมต่างๆได้
ก็เหมือนๆกับหินอมตะและผลึกอมตะของระนาบเทวโลก
และในซากปรักหักพังของระนาบเทพที่ล่มสลายที่เขาพบเจอ ในอดีตมันก็มีสายแร่หินเทพและผลึกเทพมากมาย แต่เมื่อมันกลายเป็นซากปรักหักพัง สายแร่หินเทพกับผลึกเทพทั้งหลายก็กระจัดกระจายปลิวไปทั่ว
แต่เป็นธรรมดาว่าถึงเขาจะพบเจอสายแร่หินเทพหรือผลึกเทพ อาศัยพลังของเขาในตอนนั้น ก็คงยากจะขุดหินเทพหรือผลึกเทพออกมาใช้ได้…
แม้กระทั่งในปัจจุบัน เขาก็ยังไม่มีปัญญาจะขุดมัน…
เพราะหากคิดจะขุดหินเทพ อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังระดับเทพขั้นต่ำเสียก่อน และถ้าคิดจะไปขุดผลึกเทพล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ต้องมีพลังฝึกปรือระดับราชาเทพขั้นต่ำ ไม่งั้นไม่มีวันขุดผลึกเทพออกมาจากสายแร่ได้เลย กล่าวได้ว่าเขาในตอนนี้ไม่มีวันประกอบวิชาชีพ ‘คนงานเหมือง’ ได้…
ครั้งยังอยู่ในระนาบเทวโลก ผลึกเทพ ในจี้ห้อยคอของฮ่วนเอ๋อที่มอบให้ต้วนหลิงเทียน ที่จริงก็คือผลึกเทพที่อยู่เหนือผลึกอมตะ
ในระนาบเทวโลกด้วยสภาพแวดล้อมของมัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดหินเทพ แต่พิกลนักมันกลับก่อเกิดผลึกเทพได้ แม้จะยากมากก็ตามที และต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะก่อเกิดผลึกเทพขึ้นสักชิ้น
‘ในระนาบเทพ ผลึกเทพมีค่ามากกว่าหินเทพ…และผลึกเทพ 1-2 ชิ้น ก็มีค่าเท่ากับหินเทพ 100-200 ชิ้น’
และไม่ต่างอะไรจากระนาบเทวโลกมากนัก ในระนาบเทพนั้น ผลึกเทพกับหินเทพ จะไม่มีความแตกต่างกันด้านคุณภาพ
คุณภาพของพลังวิญญาณฟ้าดินนั้นพอๆกัน
อย่างไรก็ตามหากมีน้ำหนักเท่ากัน ปริมาณพลังวิญญาณฟ้าดินที่บรรจุไว้กลับเหนือกว่ากันถึง 100 เท่า
เช่นนั้นผลึกเทพ 1-2 ผลึก จึงมีค่าเท่ากับหินเทพ 100-200 ก้อน
‘ในระนาบเทพสายแร่หินเทพไม่นับเป็นอะไรได้ เพียงแต่สายแร่ขนาดใหญ่ก็มักมีขุมกำลังที่แข็งแกร่งพอประมาณครอบครอง ส่วนสายแร่ผลึกเทพแม้จะเป็นขนาดเล็ก ก็ถูกขุมกำลังที่ร้ายกาจพอสมควรครอบครอง ส่วนสายยแร่ผลึกเทพขนาดใหญ่ ก็ต้องเป็นขุมกำลังที่มีอำนาจจริงๆ’
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะขึ้นมายังระนาบเทพ เขาก็ได้เข้าใจเรื่องราวพื้นฐานของที่นี่จากววารีเทพชำระโลกามาบ้างแล้ว
‘เมื่อมาถึงระนาบเทพแล้ว ข้อได้เปรียบที่เห็นได้ชัดที่สุดจากยังอยู่ในระนาบเทวโลกก็คือ หินเทพกับผลึกเทพพวกนี้…ก่อนหน้าถึงจะเคยพบเจอซากปรักหักพังของระนาบเทพ แต่ข้าก็ไม่ได้หินเทพหรือผลึกเทพสักชิ้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกผลกระทบจากการล่มสลายของระนาบเทพจนกลายเป็นพลังวิญญาณฟ้าดินไปหมด แม้แต่แหวนพื้นที่เองก็ยังถูกพลังที่ว่าทำลายหมดสิ้น’
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ครั้งที่ต้วนหลิงเทียนเข้าไปในซากปรักหักพัง เขาจึงไม่ได้รับหินเทพหรือผลึกเทพเลย
สำหรับผลึกเทพที่ฮ่วนเอ๋อให้มา เขาก็ใช้ไปหมดแล้ว
‘ตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือหาสถานที่ๆมีผู้คนอยู่ก่อน…จากนั้นก็ต้องหาข้ามูลเพื่อจะได้หลอมรวมเข้ากับดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้ จากนั้นค่อยหาวิธีหาหินเทพหรือผลึกเทพเพื่อช่วยในการบ่มเพาะ’
‘ยิ่งไปกว่านั้นพี่สาวสุ่ยยังบอกไว้แล้ว…ระนาบเทพเองก็มีผลไม้เทพรวมถึงโอสถเทพมากมายที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะ’
‘แม้แต่ครึ่งก้าวขอบเขตเทพเอง…ก็มีโอสถที่ช่วยให้สามารถทะลวงถึงขอบเขตเทพได้ในคราวเดียว!’
พอนึกถึงเรื่องที่วารีเทพชำระโลกาพูด สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมาด้วยความวาดหวัง
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็สุ่มเลือกทิศทางหนึ่งและเหินร่างมุ่งตรงไป และหลังจากเหาะข้ามเทือกเขามาไม่ทันไร เขาก็เห็นเงาร่างผู้คนในที่สุด
‘เจอคนแล้ว!’
พอเห็นคนๆนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เปล่งประกายยวับวาวทันที จากนั้นก็ติดตามพวกมันไป เขาเชื่อว่าสุดท้ายยพวกมันก็ต้องนำเขาไปยังสถานที่ๆมีผู้คนอาศัยอยู่แน่นอน
เมื่อไปถึงสถานที่ดังกล่าว ไม่ว่าจะหมู่บ้านก็ดี เมืองก็ดี เขาก็จะมีหนทางหาข้อมูลรวมถึงสอบถามสถานการณ์โดยรอบอย่างละเอียด จากนั้นจะได้เริ่มต้นหนทางฝึกฝนบ่มเพาะในดินแดนดาราพิศวงต่อไป…