สัตว์อสูรบนระนาบเทพนั้น เป็นสัตว์อสูรจริงๆ
ปกติแล้วสัตว์อสูรนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสายเลือดด้อยกว่าสัตว์อมตะหรือสัตว์เทพ…และในระนาบเทพ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อมตะหรือสัตว์เทพก็ล้วนมีสติปัญญา สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้
ในระนาบเทพนั้น สัตว์ที่ไร้สติปัญญาจะถูกเรียกรวมว่าเป็นสัตว์อสูรหมด
แต่คำ ‘สัตว์อสูร’ ในระนาบเทวโลก จะใช้เรียกสัตว์ร้ายที่ไม่มีสติปัญญา ไม่ใช่แม้แต่สัตว์อมตะหรือสัตว์เทพ และระดับพลังจะไม่ถึงขอบเขตเซียนอมตะ
ทว่าในระนาบเทพนั้น สัตว์อสูรที่ไม่มีสติปัญญาดังกล่าวไม่เพียงแต่จะมีระดับพลังถึงขอบเขตเซียนอมตะ แต่กระทั่งระดับเทพก็ยังมี และมีแม้แต่ระดับเทพขั้นสูงๆ!
‘ในระนาบเทพโดยพื้นฐานแล้ว สิ่งมีชีวิตที่ไร้สติปัญญาจะถูกเหมารวมว่าเป็นสัตว์อสูรทั้งหมด…มีเพียงสัตว์อสูรที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น ถึงจะถูกเรียกหาว่าเป็นสัตว์อมตะหรือสัตว์เทพ’
เรื่องพวกนี้วารีเทพชำระโลกาได้กล่าวบอกต่อต้วนหลิงเทียนมานานแล้ว เขาจึงรู้แต่แรก
และฟังจากที่วารีเทพชำระโลกาว่าไว้ นางสันนิษฐานว่าสัตว์อสูรที่ไร้สติปัญญาทั้งหลายในระนาบเทพ อาจเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดจงใจจับมันมาปล่อยไว้ในระนาบเทพ เพื่อให้มันดำรงชีวิตตามสัญชาตญาณ คอยรักษาสมดุลของระบบนิเวศในระนาบเทพ
ว่ากันว่าสัตว์อสูรในระนาบเทพนั้น ตัวที่มีพลังร้ายกาจเข้าหน่อยอาจมีด่านพลังถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพ หรือแม่แต่อริยะเทพ
เป็นธรรมดาว่าหากพลังของพวกมันกล้าแข็งถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพหรืออริยะเทพ ต่อให้มันจะเคยไร้สติปัญญามาก่อน แต่ในที่สุดมันก็จะก่อเกิดสติปัญญาขึ้นมาจนได้ เนื่องเพราะระดับจักรพรรดิเทพรวมถึงอริยะเทพนั้น…ไม่อาจบรรลุถึงได้โดยสัญชาตญาณ!
หลังจากที่กำเนิดสติปัญญาแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะจำแลงกายเป็นมนุษย์
“ระนาบเทพนั้นอาจวิวัฒนาการมาจากโลกใบเล็กของผู้แข็งแกร่งที่สุด…และสัตว์อมตะไร้สติปัญญาที่อยู่ในขอบเขตเทพ ก็อาจเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดเองที่จับพวกมันโยนเข้ามา เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ”
ตอนแรกที่ดิ้นวารีเทพชำระโลกาเอ่ยถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็บังเกิดความยำเกรงต่อผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่น้อย
ในบรรดาระนาบเทพทั้งหลาย ยอดฝีมือนั้นมีมากมายดั่งหมู่เมฆ ผู้ที่ทรงพลังที่สุดก็เป็นชนชั้นอริยะเทพ และผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็เป็นถึงเซียนอมตะแล้ว…แต่ทั้งหมดมาอาศัยและดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ๆคาดว่าน่าจะเป็นโลกใบเล็กภายในกายของผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง?
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงโลกใบเล็กภายในกายของตัวเอง
ถึงแม้โลกใบเล็กภายในกายเขาจะเต็มไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินเหมือนระนาบเทพ แถมยังมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่เป็นดั่งแกนกลางของระนาบเทพ สามารถให้คนเข้าไปอยู่อาศัยได้เช่นกัน แต่พอเทียบกับระนาบเทพแล้ว มันไม่อาจนับเป็นอะไรได้เลย!
หากจะเปรียบระนาบเทพเป็นดั่งมหาสมุทรแล้วล่ะก็ โลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับ น้ำแก้วหนึ่งเท่านั้น!!
…
“ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา…”
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นต้วนฉิงฉายแววตาซับซ้อนราวกับไม่อยากให้เขาจากไป ก็ยิ้มกล่าวออกมา “หัวหน้าหมู่บ้านฉิง…หากข้าไม่อาจหาที่อยู่ในเมืองได้จริงๆ เช่นนั้นข้าจะย้อนกลับมาอยู่ในหมู่บ้านสกุลต้วนแห่งนี้”
พอได้ยินคำพูดต้วนหลิงเทียน ต้วนฉิงก็กล่าวออกด้วยน้ำเสียงท่าทีจริงจัง “หากคุณชายหลิงเทียนย้อนกลับมา หมู่บ้านทิศใต้ของสกุลต้วนเราจักต้อนรับท่านอย่างดี! อย่างไรก็ตามข้าเกรงว่าหลังจากคุณชายหลิงเทียนจากไปแล้ว วันหน้าท่านคงมิมีโอกาสได้ย้อนกลับมาหมู่บ้านสกุลต้วนเราอีก…”
ถึงแม้มันจะไม่ได้สนิทสนมอะไรกับต้วนหลิงเทียนมากนัก
อย่างไรก็ตามหลังพิจารณาเรื่องราวที่ได้ฟังจากคนของสกุลต้วนที่ออกไปล่าสัดว์อสูรเมื่อสิบวันก่อน และเห็นต้วนหลิงเทียนลงมือสังหารสัตว์อสูรตัวนั้นอย่างไร ต้วนฉิงก็บอกได้ทันทีว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ด้อยไปกว่ามันเลย
ตัวตนเช่นนี้ ต่อให้เข้าไปในเมืองก็สามารถเข้าร่วมกับกองกำลังต่างๆได้ง่ายดาย
การมาหมกตัวอยู่ในหมู่บ้านสกุลต้วน ถือว่าทำให้พรสวรรค์เสียเปล่าแล้ว
ทันใดนั้นเอง พลันมีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอกหมู่บ้าน “ขบวนคนสกุลเถี่ยมากันแล้ว!”
ทันใดนั้นสายตาขงหลายๆคนก็หันไปมองประตูทางเข้าหมู่บ้านทิศใต้ทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนกับต้วนฉิงก็หยุดคุยกัน และต้วนหลิงเทียนก็อาศัยช่วงที่ต้วนล่างกำลังมองเหม่อไปยังประตูหมู่บ้านด้วยความคาดหวัง จับแหวนพื้นที่ยัดเข้ามือต้วนล่างทันที “ต้วนล่าง หากท่านยังกล้าไม่รับ…เช่นนั้นหมายความว่าท่านไม่เห็นข้าต้วนหลิงเทียนคนนี้เป็นเพื่อน!”
“น้องหลิงเทียน…”
ต้วนล่างที่โดนมัดมือชก ได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆ จากนั้นก็ได้แต่ยอมรับแหวนพื้นที่ไปเท่านั้น “หลังเสร็จพิธีวิวาห์แล้วพวกเราไปนั่งดื่มกันเป็นการส่วนตัวเถอะ ถือว่าให้ข้าเลี้ยงส่งท่าน…”
“หากท่านว่างข้าก็ไม่มีปัญหา”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มมีเลศนัยพลางยักไหล่กล่าว “แต่ข้าเกรงว่าพอถึงตอนนั้น ท่านจะหลงใหลไปกับความอ่อนโยนของเจ้าสาวจนไม่อาจถอนตัว…”
“น้องหลิงเทียน ท่านยิ่งมายิ่งเหลวไหลใหญ่แล้ว ข้าต้วนล่างใช่คนเห็นสตรีดีกว่าเพื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่!”
ต้วนล่างลั่นวาจาออกมาเป็นมั่นเหมาะ
“อ้อ? ไปเถอะเจ้าสาวของท่านมานู่นแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม คำพูดทำนองนี้เขาได้ยินมาเยอะแล้ว ที่ว่าไม่มีทางเห็นสตรีดีกว่าเพื่อนนี่…พอเข้าห้องหอไปแล้ว ยังมีกะใจคิดถึงเพื่อนอีกหรือ?
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มองไปยังประตูทางเข้าหมู่บ้านทิศใต้ จึงเห็นขบวนผู้คนในชุดแดงสดแห่เกี้ยวหรูหราเข้ามายังหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้กันอย่างคึกคัก
“หืม?”
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักต้วนหลิงเทียนก็พบว่าคนสกุลต้วนหลายๆคนกำลังขมวดคิ้วยู่ย่น รวมถึงต้วนฉิงกับต้วนล่างด้วย
“นี่มันอย่างไรกันแน่?”..
“นั่นมิใช่ เถี่ยเหิง หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ยหรือไร?”
“ไฉนเถี่ยเหิงถึงมาได้เล่า หรือว่ามันมาที่นี่แทนหัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย?”
“ไม่สมเหตุสมผลเลย…ต่อให้หัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ยจะติดธุระสำคัญจริง แต่ก็สมควรส่งตัวแทนของงหมู่บ้าน 2 มา มิใช่หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ยอย่างเถี่ยเหิงผู้นั้น…สุดท้ายก็คนละหมู่บ้านย่อยกัน ไม่ว่วาด้วยเหตุผลอันใดก็ไม่ควรมา…”
…
พอเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนหมู่บ้านสกุลต้วนดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าไฉนแต่ละคนถึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกันแบบนั้น ปรากฏว่าผู้ที่นำขบวนมาไม่ใช่หัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย แถมไม่ใช่แม้แต่คนของหัวหน้า 2 หมู่บ้านสกุลเถี่ยด้วยซ้ำ…
ผู้มากลับเป็น เถี่ยเหิง หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย เรียกว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอีกสาขาของสกุลเถี่ยไปเลย
ดุจเดียวกับต้วนฉิงหัวหน้าหมู่บ้านทิศใต้ของหมู่บ้านสกุลต้วน หัวหน้า 2 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย ก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสาขาย่อยไปเลย และหัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย เถี่ยเหิง นั่น ก็ถือว่าไม่เกี่ยวอะไรกับหมู่บ้านที่ 2 แม้จะถือว่ามีสัมพันธ์กัน แต่สายเลือดก็ห่างมากแล้ว
และต้วนหลิงเทียนเอง ตั้งแต่ที่ได้มาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ เขาก็พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านสาขาย่อยในเขาไร้สิ้นสุดนั้น มักไม่ค่อยแน่นแฟ้นเท่าไหร่ หากมีปัญหาในสาขาย่อย ทั้งหมดจะไม่ยุ่งเกี่ยว เว้นแต่จะมีปัญหาใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงทุกสาขา ทั้งหมดถึงจะออกมาร่วมกันต่อต้านคนนอก
โดยปกติแล้วหมู่บ้านสาขาย่อยมักจะแยกตัวกันเป็นอิสระ มีการติดต่อกันบ้างประปรายเท่านั้น
‘ภายใต้ระบบสังคมเช่นนี้…แต่หัวหน้า 2 ของสกุลเถี่ยที่ควรมากลับไม่มา แต่หัวหน้า 4 ของสกุลเถี่ยดันมาแทน…หากบอกว่าไม่มีอะไรผิดท่าก็ประหลาดแล้ว’
จังหวะนี้กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันผิดท่า
“เถี่ยเหิง ไฉนเป็นเจ้าได้?”
เมื่อเถี่ยเหิง หัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ยนำขบวนเจ้าสาวเข้ามาในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ ต้วนฉิง ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ ก็อดขมวดคิ้วกล่าวถามออกไปไม่ได้
เถี่ยเหิงเป็นชายวัยกลางคนไว้เครายาวเฟื้อย รูปร่างสูงใหญ่แลดูตัวหนา มาในชุดคลุมสีแดงหรูหราประดับประดาไปด้วยมณีล้ำค่า สองมือคลึงลูกแก้วหยก 2 ใบไปมาดังกอกแกก ดูคล้ายเศรษฐีหน้าใหม่อย่างไรอย่างนั้น
ได้ยินคำถามของต้วนฉิง เถี่ยเหิงก็ยิ้มยิงฟันขาว กล่าวว่า “หัวหน้าหมู่บ้านต้วนฉิง จากนี้ไป สาขา 4 ของสกุลเถี่ยข้ากับหมู่บ้านสกุลต้วนใต้ของท่านจักเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว…ยาโถวน้อยของข้าจักตบแต่งเป็นภรรยาของ เจ้าหนูต้วนล่าง อัจฉริยะที่หมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ภาคภูมิใจผู้นั้น ข้าหวังว่าเจ้าหนูต้วนล่างจักดูแลบุตรสาวข้าอย่างดี อย่าได้รังแกนางเสียเล่า…”
ต้วนล่างนั้น ถือเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ อายุไม่ถึง 3,000 ปี กลับบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว
ในระนาบเทพนั้น อายุต่ำกว่า 1,000 ปี ถือว่าเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น
สุดท้ายแล้วผู้คนในระนาบเทพ พอกำเนิดเกิดมาก็มีอายุขัยไร้สิ้นสุด จึงใช้เวลาในการเติบโตไปตามสภาพแวดล้อม การปิดด่านบ่มเพาะบางครั้งก็กินเวลาเป็นทศวรรษ หรือไม่แน่ก็อาจหลายทศวรรษ
เช่นนั้นผู้ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปี แต่ไม่เกิน 3,000 ปี ถึงจะเรียกว่ารุ่นเยาว์ หรือคนหนุ่มสาว…
“สาวน้อยของพ่อ ไฉนยังไม่ออกมาพบหัวหน้าต้วนฉิงอีกล่ะลูก”
พอเสียงของเถี่ยเหิงดังจบคำ สีหน้าต้วนฉิงก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ไม่ใช่ว่าผู้ที่ต้องแต่งกับต้วนล่างเป็นคุณหนูของหัวหน้า 2 สกุลเถี่ยหรือไร ไฉนกลายเป็นลูกสาวของเถี่ยเหิง หัวหน้า 4 สกุลเถี่ยไปได้?
นอกจากนั้นหากจำไม่ผิด ดูเหมือนหัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย เถี่ยเหิงคนนี้ จะมีลูกสาวแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไร?
พอนึกถึงชื่อเสียงอันเสื่อมเสียของลูกสาวหัวหน้า 4 ของหมู่บ้านสกุลเถี่ย ต้วนฉิงก็หนังศีรษะชาหนึบ ขณะเดียวกันสีหน้ายังมืดดำไปด้วยโทสะ…หรือสกุลเถี่ยคิดว่าสกุลต้วนรังแกกันได้ง่ายๆ? พวกมันเห็นสกุลต้วนเป็นลิงจริงๆ?
“เจ้าค่ะท่านพ่อ…”
เสียงสตรีทีฟังแล้วหยาบกระด้างดังขึ้น จากนั้นเกี้ยวเจ้าสาวพลันสั่นไหวหนักหน่วง ก่อนอสูรกายร้ายนางหนึ่งจะปรากฏตัวออกมา เป็นสตรีอ้วนฉุสูงราว หนึ่งหมี่แปด หากสูงอย่างเดียวคงไม่นับเป็นอะไร เพียงแค่รอบเอวขางนางดูอย่างไรก็ไม่ต่ำกว่า 2 หมี่…
นางค่อยๆลงจากเกี้ยวเจ้าสาวอย่างทุลักทุเล จากนั้นก็เดินอุ้ยอ้ายมาหยุดลงข้างๆเถี่ยเหิง ก่อนจะประสานมือคารวะทักทายต้วนฉิงด้วยรอยยิ้ม “เถี่ยหลานอวี้ ขอคารวะหัวหน้าหมู่บ้านต้วนฉิงเจ้าค่ะ”
เถี่ยหลันหยู ลูกสาวคนเดียวของเถี่ยเหิงหัวหน้าหมู่บ้าน 4 แห่งหมู่บ้านสกุลเถี่ย ขณะกล่าวไขมันบนหน้านางก็กระเพื่อมสั่นไหว ร่างอ้วนฉุเต็มไปด้วยไขมันเลวของนางทรมาณชุดเจ้าสาวจนแทบปริฉีก
“ไม่! ที่ข้าอยากตบแต่งด้วยมิใช่เจ้า! ข้าต้องการแต่งกับบุตรของหัวหน้า 2 แห่งหมู่บ้านสกุลเถี่ย เถี่ยหยู!”
ในขณะที่คนของสกุลต้วนกำลังตื่นตระหนกกับการปรากฏตัวของสตรีที่หาความงามไม่เจอ ต้วนล่างที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ก็มองเถี่ยหลนอวี้ด้วยใบหน้าแดงก่ำ โพล่งคำออกมาอย่างไม่ยอมรับ “วันนี้ข้าจักไม่แต่งกับผู้ใดนอกจาก เถี่ยหยู!!”
“เจ้าหนู เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด!?”
สีหน้าเถี่ยเหิงเปลี่ยนไปทันที สองตามันมองจ้องต้วนล่างปานสายฟ้า เอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
โดนเถี่ยเหิงมองจ้องมาเขม็ง ต้วนล่างก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่มันยังกัดฟันกล่าวออกเสียงหนัก “หัวหน้าหมู่บ้านเถี่ยเหิง คำพูดที่ข้ากล่าวไม่ชัดเจนตรงที่ใด…วันนี้สตรีคนเดียวที่ข้าจักตบแต่งด้วยคือเถี่ยหยู มิใช่สตรีคนอื่น!”
“ฮึ!”
ตอนนี้เอง เถี่ยหลานอวี้ก็ไม่เหลือคราบคววามนอบน้อมอย่างตอนคารวะต้วนฉิงอีกต่อไป นางหยีตาเล็กๆที่โดนไขมันบนหน้าบดบังมองจ้องต้วนล่างพลางกล่าวด้วน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าหนู หรือเจ้าคิดว่าท่านย่าผู้นี้เต็มใจแต่งงานกับตัวไม่เอาไหนเช่นเจ้า?”
“ทำไม? เจ้าดูถูกท่านย่าผู้นี้มากนักหรือ?”
“น่าเสียดาย แต่งานแต่งครั้งนี้ ข้าเกรงว่าเจ้ามิอาจอาศัยแค่คำพูดไม่กี่คำมาเปลี่ยนแปลงได้!”
หลังจากเถี่ยหลานอวี้กล่าวจบคำ นางก็เชิดใบหน้าอ้วนๆของนางขึ้น ทำราวกับตัวนางคือนางพญาแสนสง่างาม เหลือบมองลงมาที่ต้วนล่างด้วยความรังเกียจ
ตอนนี้เองเถี่ยเหิงก็ก้าวออกมาไม่กี่ก้าว ก่อนจะหุดลงงข้างต้วนฉิงและเอ่ยยคำพูดไม่กี่คำเบาๆจนยากที่ผู้ใดจะได้ยิน…ทำให้สีหน้าต้วนฉิงเปลี่ยนไปในฉับพลัน กลายเป็นซีดลงราวกระดาษ
นอกจากนั้นหากสังเกตให้ดี จะพบว่าร่างต้วนฉิงกำลังสั่น
“ต้วนล่าง”
ขณะเดียวกันต้วนฉิงก็หันไปมองต้วนล่าง กล่าวคำออกมาเสียงเข้ม “เจ้าอย่าพึ่งกล่าวเหลวไหลอันใด…รอให้ข้าไปหารือกับบิดาเจ้าก่อน แล้วดูว่ามันจะตัดสินใจอย่างไร”
พอกล่าวจบคำ ต้วนฉิงก็ไม่รอให้ต้วนล่างพูดอะไร มันก้าวอาดๆเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ของต้วนล่างทันที
กับเรื่องที่เกิดขึ้น ต้วนล่าง ก็อื้ออึงไม่น้อย ขณะเดียวกันมันก็รู้สึกว่าต้วนฉิงทำเรื่องไร้จำเป็นอยู่บ้าง เพราะวันนี้ตัวเองก็คือมัน! คนที่จะแต่งงานก็คือมันไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้ามันไม่อยากแต่งยังจะมีใครบังคับมันได้?!
‘ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ง่ายแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนที่เห็นฉากเถี่ยเหิงเดินไปกระซิบกล่าวกับต้วนฉิง และเห็นถึงงความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าท่าทีต้วนฉิงชัดเจน เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เขายังอดไม่ได้ที่จะสงสัย
เถี่ยเหิง หัวหน้า 4 แห่งหมู่บ้านสกุลเถี่ยพูดอะไรกับ ต้วนฉิง หัวหน้า 3 แห่งหมู่บ้านสกุลต้วนกันแน่…
ถึงทำให้สีหน้าท่าทีต้วนฉิงเปลี่ยนไปเช่นนั้น