ชายชราในชุดคลุมสีฟ้าสะท้อนแสง อันมีใบหน้าปานอ่อนวัยราวทารก เพียงลอยร่างกลางหาวเฉยๆก็ให้ความรู้สึกเสมือนมันเป็นเมฆก้อนหนึ่ง เปี่ยมล้นไปด้วยอิสระเสรี และความนิ่งสงบ
ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีขาวสะอาดปานหิมะแรกฤดูหนาว ใบหน้ามันหล่อเหลาหากทว่าด้วยแววตาล้ำลึกที่คล้ายผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน ทำให้มันแลดูมีเสน่ห์พิกล
ชายวัยกลางคนที่ลอยร่างอยู่ตรงกลางนั้น อกผ่ายไหล่พึ่งลอยตระหง่านกลางหาวปานหอกแกร่งค้ำฟ้า ให้ความรู้สึกเข้มแข็งดุดันกว่าผู้ใด
ทั้ง 3 ที่พึ่งมาถึงนั้นเป็นเทพขั้นกลางที่แข็งแกร่งที่สุด 3 ใน 4 คนของเมืองหลินซานแห่งนี้…
ตระกูลเมิ่ง เมิ่งจินหัว
นิกายเมฆอรุณ โหยวเซี่ยวหาน
นิกาฟ้ายุทธ์ โอวหยางหวู่ตี้
ทั้ง 3 คน รวมถึงเทพขั้นกลางคนสุดท้ายของตระกูลเฉียน ถึงแม้ผู้คนในเมืองหลินซานจะรู้ว่าพวกมันมีตัวตนอยู่ แต่พวกมันก็ไม่ได้ปรากฏตัวในที่สาธารณะมาเนิ่นนานแล้ว
ไม่มีใครคิดฝัน ว่าอยู่ๆทั้ง 3 จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆกัน
ยังมาเป็นกลุ่ม
“นายน้อยต้วน นี่คือบรรพบุรุษของตระกูลเมิ่งเรา และยังเป็นเทพขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในตระกูลเมิ่งของพวกเรา”
ทันใดนั้นเอง เมิ่งเหนียนอี้ก็หันไปมองหนึ่งในเทพขั้นกลางทั้ง 3 ที่พึ่งมาถึงและกล่าวแนะนำอีกฝ่ายให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก ด้านประมุขนิกายเมฆอรุณรวมถึงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์เอง ก็พากันกล่าวแนะนำเทพขั้นกลางของพวกมันเช่นกัน
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนเพียงเหลือบมองเทพขั้นกลางทั้ง 3 ที่พึ่งมาถึงผ่านๆเท่านั้น ส่วนกลุ่มคนที่ติดตามเทพขั้นกลางทั้ง 3 มาถึงในภายหลัง เขาไม่เหลียวแลแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เขาเพียงหันไปมองเฉียนเฟยที่แลดูคล้ายตัวโง่งมนั่น ไม่ทราบมันตกตะลึงหรือยังตามเรื่องราวไม่ทันกันแน่
ในปัจจุบันสองตาเฉียนเฟยมันเลื่อนลอยคล้ายคนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ลอยร่างกลางฟ้าอย่างเหม่อลอยไม่ทำอะไร
ราวกับมันหวาดกลัวจนสติเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว…
“เฉียนอู๋เลี่ยง จนป่านนี้แล้วเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาคารวะนายน้อยต้วนอีก หรือเจ้าคิดว่านายน้อยต้วนไม่คู่ควรให้เจ้าออกมาคารวะ?”
โอวหยางหวู่ตี้ เทพขั้นกลางของนิกายฟ้ายุทธ์ อยู่ๆก็โพล่งคำออกมา เสียงของมันยังดังก้องไปทั่วตระกูลเฉียนในพริบตา
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงของมันดังจบคำ ก็มีเสียงเปี่ยมโทสะหนึ่งระเบิดดังขึ้นจากตระกูลเฉียนด้านล่าง “โอวหยางหวู่ตี้! หุบปากสุนัขของเจ้าเสีย!!”
สิ้นเสียงเปี่ยมโทสะนั่น ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีน้ำเงินคนหนึ่งก็พลันปรากฏตัวขึ้นในสาตาของทุกคนอย่างประจวบเหมาะ
“เฉียนอู๋เลี่ยงแห่งตระกูลเฉียน ขอคารวะนายน้อยต้วน”
ชายวัยกลางคนผู้นี้รูปร่างไม่สูงไม่เตี้ยไม่อ้วนไม่ผอมไม่หล่อเหลาไม่อัปลักษณ์ เรียกว่าหาความพิเศษในตัวของมันไม่เจอสักอย่าง พอมันปรากฏตัวออกมา ก็เร่งประสานมือก้มหัวโค้งคารวะต้วนหลิงเทียนอย่างสุภาพนอบน้อม
และเฉียนอู๋เลี่ยงผู้นี้ ก็คือเทพขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในตระกูลเฉียน
“ท่านบรรพบุรุษ!”
หลังเฉียนอู๋เลี่ยงคารวะทักทายต้วนหลิงเทียนแล้วเสร็จ อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลเฉียนที่ร้อนใจจนทนไม่ไหว ก็ก้าวออกมาทั้งโพล่งฟ้องด้วยความโกรธ “เฉียนเฟย เข่นฆ่าผู้บริสุทธ์ไม่เลือกหน้าสมควรถูกลงโทษ ขอท่านบรรพบุรุษสำเร็จโทษสารเลวน้อยนั่นด้วย!!”
“ท่านบรรพบุรุษ เฉียนเฟยอยู่มิได้!”
“ขอท่านบรรพบุรุษโปรดเห็นแก่ภาพรวม!!”
…
พอมีคนเปิด หลายๆคนในตระกูลเฉียนก็เร่งกล่าวคำกันยกใหญ่ ด้วยกลัวว่าเฉียนเยว่จิ้นผู้นำตระกูลเฉียน จะลอบขอให้เฉียนอู๋เลี่ยงช่วยชีวิตเฉียนเฟย และชักนำหายนะมาสู่ตระกูลเฉียน
ถึงแม้เฉียนอู๋เลี่ยงจะไม่ใช่ผู้นำตระกูล แต่เนื่องจากมันเป็นเทพขั้นกลางเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเฉียนที่รั้งอยู่ในเมืองหลินซาน ทำให้ศักดิ์ศรีและบารมีของมันในตระกูลเฉียนยังเหนือกว่าเฉียนเยว่จิ้นเสียอีก และทำหน้าที่เป็น ‘ราชาไร้มงกุฏ’ ของตระกูลเฉียน
ในตระกูลเฉียน คำพูดของผู้นำตระกูลสามารถถูกเหล่าอาวุโสกังขาและเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตามคำพูดของเฉียนอู๋เลี่ยงเป็นที่สุด ไม่มีใครกล้ากังขา
“นายน้อยต้วน”
พอเห็นเฉียนอู๋เลี่ยงขมวดคิ้วและมองจ้องมา เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนก็ตระหนักได้ทันทีว่ากระทั่งบรรพบุรุษยังเข้าใจมันผิด ดังนั้นมันจึงเร่งหันไปมองต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวด้วยความนอบน้อม “ถึงแม้เฉียนเฟยจะเป็นลูกชายของข้า แต่เพราะมันก่อกรรมทำชั่วอย่างมิอาจให้อภัย เช่นนั้นข้าย่อมไม่คิดปล่อยมันไป!”
“นอกจากนั้นที่ลูกชายข้าไม่รักดีเช่นนี้ ข้าเฉียนเยว่จิ้น ผู้เป็นบิดาถือว่าบกพร่องในการทำหน้าที่ มิอาจอบรมสั่งสอนมันให้ได้ดี ข้ายยินดีตัดแขนข้างหนึ่งของข้า เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของผู้คนในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้!”
แทบจะพร้อมๆกันกับที่เฉียนเยว่จิ้นกล่าวจบคำ มันก็ยกมือขวาขึ้นมาและสับแขนซ้ายจนขาดเสมอไหล่ทันที
ฉูด!!
โลหิตซ่านกระเซ็นพุ่งออกมาปานน้ำพุ ราดรดไปทั่วร่างของเฉียนเฟย
ทันใดนั้นเอง เฉียนเฟยที่ดูคล้ายคนสติหลุดลอย นิ่งเหม่อมานาน ก็ได้สติกลับคืน มันมองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็เร่งคุกเข่าลงอีกครั้ง “นายน้อยต้วน ไว้ชีวิตข้าด้วย! ได้โปรด ขอท่านเมตตาไว้ชีวิตข้าด้วย!!”
“ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ถูกข้าฆ่าสักคน ทั้งหมดเป็นปู่ชิวกับคนของสกุลเถี่ยลงมือทั้งสิ้น!!”
พอได้ยินวาจาร่ำร้องของเฉียนเฟย ผู้คนของตระกูลเฉียน ก็มองมันด้วยสายตาขยะแขยงรังเกียจ “อาวุโสเฉียนชิวนับว่าดวงตามืดมัวอย่างแท้จริง ถึงได้คอยเอาใจให้ท้ายสารเลวน้อยผู้นี้…แต่มิคิดเลยว่ากระทั่งอาวุโสชิวดีกับมันถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายมันกลับกล้าโบ้ยความผิดให้อาวุโสชิวได้ลงคอ…”
“หมาป่าตาขาว! หมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่องนัก!!”
…
ในขณะที่คนของตระกูลเฉียนกำลังก่นด่าเฉียนเฟยเพื่อเฉียนชิว ด้านเฉียนชิวก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อนคำหนึ่ง
จากนั้นมันก็ย่ำฟ้าก้าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน และท่ามกางสาตาของทุกคนในตระกูลเฉียนและคนอื่นๆรวมถึงต้วนหลิงเทียน มันก็สะบัดมือตบฟาดไปยังร่างเฉียนเฟยจนคนระเบิดเป็นหมอกโลหิต จากนั้นมันก็เร่งเร้าพลังจนทั่วร่างเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ก่อนคนทั้งคนจะกลับกลายเป็นเถ้าธุลี ปลิวหายไปในอากาศ…
หลังจากเฉียนชิวฆ่าเฉียนเฟยแล้ว มันก็ฆ่าตัวตายทันที
ตั้งแต่ต้นจนจบถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้พูดสักคำว่าจะเอาชีวิตมัน แต่มันก็ยังเลือกจะฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด
เป็นธรรมดาว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากเฉียนเฟยตายแล้ว เขาก็คิดจะฆ่ามันอยู่ดี
หากบอกว่าเฉียนเฟยเป็นผู้กระทำความผิด เช่นนั้นเฉียนชิวก็คือผู้สมรู้ร่วมคิด
ต้วนหลิงเทียนมาวันนี้ เขาไม่คิดปล่อยมันทั้งคู่!
“นายน้อยต้วน”
ทันใดนั้นเอง เฉียนเยว่จิ้น ผู้นำตระกูลเฉียนที่ลอบส่งเสียงผ่านพลังหารือกับเฉียนอู๋เลี่ยงอยู่ครู่หนึ่ง มันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียน ด้วยใบหน้าเคารพท่าทีนอบน้อม ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความไม่พอใจอะไรเพียงเพราะลูกชายที่มันรักที่สุดตกตายเพราะชายหนุ่มเบื้องหน้า “ขอท่านโปรดรอสักครู่”
พอกล่าวจบคำ ท่ามกลางสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ เฉียนเยว่จิ้น ก็วูบร่างลงจากฟ้าหายไปจากสาตาของทุกคน
หลังผ่านไปราวๆ 10 กว่าลมหายใจ เฉียนเยว่จิ้น ก็เหินร่างกลับขึ้นมาบนฟ้าอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นส่งแหวนพื้นที่วงหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทีสุภาพมากเคารพ “นายน้อยต้วน ภายในแหวนพื้นที่วงนี้มีหินเทพอยู่ 30,000 ตำลึง เป็นค่าชดใช้เล็กน้อยจากตระกูลเฉียนของเรา”
ก่อนหน้านี้เฉียนเยว่จิ้นได้หารือกับเฉียนอู๋เลี่ยงว่าจะใช้เงินเพื่อขจัดภัยพิบัติดีหรือไม่ เพื่อให้ดาวร้ายดวงนี้ลืมเลือความขัดแย้งและสลายความแค้นที่มีต่อตระกูลเฉียนไปเสีย…
ถึงแม้วันนี้อีกฝ่ายจะไม่ได้ลงมือทำอะไรตระกูลเฉียน แต่ผู้ใดจะไปรู้เกิดอยู่ๆวันหนึ่งอีกฝ่ายนึกถึงหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ที่ถูกทำลาย และบังเกิดความขุ่นใจอะไรขึ้นมา คิดว่ายังล้างแค้นไม่พอ ถึงตอนนั้นไม่บุกมาถล่มตระกูลเฉียนของพวกมันจนย่อยยับหรือไร?
แทนที่จะเฝ้ารอและเสี่ยงชีวิตไปตามยถากรรม ไม่สู้เสียทรัพย์ตอนนี้ดีกว่าเสียเลือดภายหลัง ใช้ความมั่งคั่งขจัดเภทภัยไปเสีย…
“เช่นนั้น ก็ขอบคุณเจ้า”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปฏิเสธหินเทพที่ตระกูลเฉียนมอบให้แต่อย่างไร หินเทพจำนวน 30,000 ตำลึงนี้ เห็นชัดว่าเป็นความจริงใจของตระกูลเฉียนเพื่อให้เรื่องราวทั้งหมดจบลง และนับเป็นเงินก้อนแรกที่เขาทำได้ในดินแดนดาราพิศวง “นับจากนี้ต่อไป ข้าเจ้ารวมถึงตระกูลเฉียนไม่มีเรื่องราวบาดหมางอะไรอีกต่อไป”
“ขอบคุณนายน้อยต้วนที่เมตตา”..
เฉียนเยว่จิ้นเร่งโค้งคารวะเร็วไว มันทำทั้งหมดก็เพื่อฟังคำพูดประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน! และไม่ใช่มันคนเดียวทั้งตระกูลเฉียนกำลังรอฟังคำพูดประโยคดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนอยู่!!
ก่อนหน้าเฉียนอู๋เลี่ยงรวมถึงคนของตระกูลเฉียนทั้งหมดในที่เกิดเหตุ ล้วนบังเกิดความเสียดายจับใจที่ต้องจับจ่ายหินเทพ 30,000 ตำลึงออกไป แต่พอพวกมันได้ยินคำพูดเลิกแล้วต่อกันของต้วนหลิงเทียน พวกมันก็รู้สึกกว่าหินเทพ 30,000 ตำลึงช่างคุ้มค่าเหลือเกิน อย่างน้อยๆพวกมันก็ยินดีเสียทรัพย์เพื่อขจัดภัยพิบัติ ต่อไปจะได้ไม่ต้องหวาดระแวงกลัวผู้อื่นย้อนกลับมาเข่นฆ่าภายหลัง! ราคาของความปลอดภัย ไม่ว่าเท่าไหร่พวกมันก็ยินดีจ่าย!!
ส่วนทางด้านผู้นำตระกูลเมิ่ง ประมุขนิกายเมฆอรุณ และประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ ถึงกับหันหน้ามองสบตากันทันใด จากนั้นก็แลเห็นถึงความตกใจและความสยดสยองในแววตาของกันและกัน
กระทั่งเทพขั้นกลางของทั้ง 3 ขุมกำลังเอง ก็แลดูตกอกตกใจไม่น้อย
พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าตระกูลเฉียนจะกล้าควักหินเทพ 30,000 ตำลึงออกมา เพื่อใช้ทรัพย์ขจัดภัยภิบัติ!
ในฐานะที่เป็นขุมกำลังในระดับเดียวกันและขับเคี่ยวกันมาหลายปีดีดัก พวกมันย่อมรู้ดีว่าตระกูลเฉียนมีทรัพย์สิ้นมูลค่าเท่าไหร่ และแทบเท่าที่พวกมันรู้ตระกูลเฉียนนั้นยังมีทรัพย์สินตีเป็นหินเทพไม่ถึง 50,000 ตำลึงดวยซ้ำ
แต่ตอนนี้กลับหยิบควักออกมา 30,000 ตำลึงในคราเดียว!
“นายน้อยต้วน”
ในขณะที่ระดับสูงทั้ง 6 ของ ตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ และนิกายฟ้ายุทธ์กำลังตกตะลึง เมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่ง ก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความเคารพว่า “มิทราบท่านพอจะมีเวลาว่างไปเป็นแขกของตระกูลเมิ่งเราหรือไม่?”
ในอดีตนั้นเมิ่งฉีโหย่วเรียกหาต้วนหลิงเทียนว่า ‘สหายน้อยหลิงเทียน’
อย่างไรก็ตามหลังได้เห็นพลังความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนแล้ว ให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ 10 เท่า มันก็ไม่กล้าเรียกต้วนหลิงเทียนว่า ‘สหายน้อยหลิงเทียน’ อีก!
“ได้”
ในขณะที่คนของนิกายเมฆอรุณกับนิกายฟ้ายุทธ์คิดว่าเมิ่งฉีโหย่วคงเปิดประตูรอเก้อ พวกมันก็ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะพยักหน้าตอบตกลงเสียอย่างนั้น
สองตาของประมุขนิกายทั้ง 2 เปลี่ยนเป็นแดงก่ำทันที
ไฉนพวกมันถึงไม่กล่าวคำเชิญนายน้อยต้วนก่อนเล่า?
พวกมันออกหน้ามายืนหยัดอู่ด้านหลังนายน้อยต้วนเป็นการกดดันตระกูลเฉียน ทั้งเรียกหาเทพขั้นกลางให้ออกมาคารวะนายน้อยต้วนเพื่ออะไร? ไม่ใช่เพื่อประจบสอพลอนายน้อยต้วนหรอกหรือ?
แต่ตอนนี้นายน้อยต้วนกลับตอบรับคำเชิญของตระกูลเมิ่งไปเสียฉิบ!
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกมันทั้งคู่เลย
“นายน้อยต้วน”
หลังจากหารือกับบรรพบุรุษของเขตเทพขั้นกลางแล้ว ซือหม่าคงหมิงประมุขนิกาเมฆอรุณก็เร่งกล่าวออกมาทันที “ข้าในนามของนิกายเมฆอรุณ ขอเชิญนายน้อยต้วนไปเป็นแขกที่นิกายเมฆอรุณของพวกเราเช่นกัน…นอกจากนั้นนิกายเมฆอรุณของพวกเรายังได้ตระเตรียมหินเทพ 5,000 ก้อนเป็นของขวัญต้อนรับท่าน”
ทันทีที่ซือหม่าคงหมิงเอ่ยประโยคนี้จบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด
สำหรับเขานั้น การไปตระกูลเมิ่ง นิกายเมฆอรุณ หรือนิกายฟ้ายุทธ์ก็เหมือนๆกัน นั่นเพราะเขาคิดจะไปสอบถามสถานการณ์เพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจของเขาหลังจากนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อ
แต่ตอนนี้ การไปนิกายเมฆอรุณกลับทำให้เขาได้หินเทพอีก 5,000 ตำลึงหรือ?
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะกล่าวตอบรับคำเชิญของ ซือหม่าคงหมิง ประมุขนิกายเมฆอรุณ ด้านจ้าวอี้เฟิงประมุขนิกายฟ้ายุทธ์ที่ได้รับความเห็นชอบจากบรรพบุรุษแล้ว ก็เร่งกล่าวขึ้นมาอีกคน “ซือหม่าคงหมิง เจ้าจักดูถูกนายน้อยต้วนมากเกินไปหรือไม่? เพียงควักหินเทพ 5,000 ตำลึงออกมาเป็นของขวัญต้อนรับนายน้อยต้วนหรือ? นิกายฟ้ายุทธ์ของพวกเรา ยินดีมอบหินเทพ 10,000 ตำลึงให้นายน้อยต้วนเป็นของขวัญเพื่อเรียนเชิญนายน้อยต้วนมาเป็นแขกที่นิกายฟ้ายุทธ์เรา!”
ด้านเมิ่งฉีโหย่วที่ให้ความสนใจกับท่าทีของต้วนหลิงเทียนมาโดยตลอด พอเห็นต้วนหลิงเทียนเริ่มลังเลและพิจารณาคำเชิญของอีก 2 นิกาย มันก็เร่งหารือกับผู้นำตระกูลเมิ่งรวมถึงบรรพบุรุษตระกูลเมิ่งเร็วไว
หลังจากได้รับความเห็นชอบจากทั้งคู่แล้ว มันก็รีบกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “นายน้อยต้วน เมื่อครู่ข้ากล่าวบอกท่านผิดพลาดเล็กน้อย…ทางตระกูลเมิ่งของเรายยินดีให้ของขวัญต้อนรับท่านในฐานะแขกเป็นหินเทพ 20,000 ตำลึง”
หินเทพ 20,000 ตำลึง!!
พอเมิ่งฉีโหย่วที่เป็นดั่งตัวแทนของตระกูลเมิ่งกล่าวจบคำ สีหน้าประมุขนิกายเมฆอรุณกับนิกายฟ้ายุทธ์ก็เปลี่ยนไปทันที พวกมันไม่คิดไม่ฝันจริงๆว่าตระกูลเมิ่งจะทุ่มทุนสร้างครั้งยิ่งใหญ่ ยอมจ่ายหินเทพมหาศาลขนาดนั้นเพื่อชวนนายน้อยต้วนไปเป็นแขกที่ตระกูล
ดังคำกล่าว ‘จิตใจสูงส่งเทียมฟ้า’ นายน้อยต้วนเบื้องหน้าของพวกมัน ถึงกับออกหน้าเพื่อหมู่บ้านเล็กๆไร้สำคัญ อย่างหมู่บ้านสกุลต้วนทิศใต้ในภูเขาไร้สิ้นสุด เช่นนั้นก็บอกได้เลยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนจิตใจคับแคบและเห็นแก่ไมตรีไม่น้อย หากตระกูลเมิ่งเชิญชวนอีกฝ่ายไปแล้วผูกไมตรีได้สำเร็จ ก็ไม่ต่างอะไรกับหายนะของนิกายพวกมันทั้งคู่!
“นายน้อยต้วน นิกายเมฆอรุณของพวกเรายินดีเพิ่มของขวัญให้ท่านเป็นหินเทพ 25,000 ตำลึง…”
ประมุขนิกายเมฆอรุณเร่งกล่าวออกมาอีกครั้งทันที
“นายน้อยต้วน นิกายฟ้ายุทธ์ของพวกเรา…”
และในขณะที่ประมุขนิกายฟ้ายุทธ์พูดขึ้นมาอีกคน ต้วนหลิงเทียนก็ยกมือขึ้นตัดบทมันทันที “เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องสู้กัน…เอาแบบนี้เป็นไง พวกเจ้า 3 ขุมกำลัง ตระเตรียมหินเทพกันไว้คนละ 20,000 ตำลึงเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับข้าในฐานะแขก หลังจากนั้นข้าจะผลัดไปเป็นแขกของพวกเจ้าทั้ง 3 ขุมกำลังเอง…”
พอเสียงต้วนหลิงเทียนพูดจบ ทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบกริบ…