ขุมกำลังใหญ่ทั้ง 4 ในเมืองหลินซานนั้น หากเทียบกับทั้งแดนดาราพิศวงแล้ว ให้พูดว่าขุมกำลังชั้นปลายแถวก็ไม่เกินเลย
และเพราะพวกมันเป็นแค่ขุมกำลังชั้นปลายแถว จึงไม่มีกำลังพอจะครอบครองสายแร่หินเทพ พวกมันจึงทำได้แค่พยายามนำผลึกอมตะขั้นสูงที่หามา ไปแลกกับหินเทพกับที่อื่น จะได้มีทรัพย์สินในรูปแบบหินเทพเก็บสะสมอะเอาไว้
ขุมกำลังชั้นปลายแถวพวกมัน มักมีค่าใช้จ่ายปริ่มเปร่กับรายรับ
ทำให้นับตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ขุมกำลังทั้ง 4 แทบสะสมหินเทพได้ไม่ถึง 50,000 ตำลึงด้วยซ้ำ
ทำให้ไม่ว่าจะหยิบควักหินเทพออกมา 30,000 ตำลึงก็ดี 20,000 ตำลึงก็ดี ล้วนแล้วแต่หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
ที่ตระกูลเฉียนต้องจ่ายหินเทพออกไปถึง 30,000 ตำลึงนั้น เพราะพวกมันกลัวว่าศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงจะย้อนกลับมาระบายแค้นกับพวกมันในภายหลัง จึงเลือกใช้ทรัพย์ขจัดภัยพิบัติ ถือซะว่าฟาดเคราะห์กันไป…
สำหรับขุมกำลังใหญ่ที่เหลือทั้ง 3 อย่างตระกูเมิง กายเมฆอรุณ และนิกายฟ้ายุทธ์ พวกมันไม่ได้ล่วงเกินหรือทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง เป็นธรรมดาว่าพวกมันไม่ต้องจ่ายทรัพย์เพื่อขจัดภัยพิบัติอะไรเหมือนตระกูลเฉียน
เพียงแค่ว่าพวกมันต้องการประจบประแจง ศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสง! เพราะนี่คือตัวตนระดับเทพขั้นต่ำที่เข่นฆ่าได้กระทั่งเทพขั้นสูงของตระกูลเฉียน ที่ออกจากเมืองไปเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน! มีความเป็นไปไดสูงลิบที่วันหน้าอักฝ่าจะเติบโตเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ในคฤหาสน์ตงหลิง
พวกมันไม่ว่าใคร ก็อยากครอบครองเมืองหลินซานแต่เพียงผู้เดียว จึงหวังจะผูกมิตรกับอีกฝ่าย
แต่สิ่งที่พวกมันไม่คาดคิดก็คือ…
ขณะที่พวกมันกำลังแข่งกันเพิ่มของขวัญ เพื่อให้ได้รับเลือกมาเยือนเป็นแขก อีกฝ่ายก็กล่าวประโยคหนึ่งออกมาหน้าตาเฉย…
“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องสู้กัน…เอาแบบนี้เป็นไง พวกเจ้า 3 ขุมกำลัง ตระเตรียมหินเทพกันไว้คนละ 20,000 ตำลึงเพื่อเป็นของขวัญต้อนรับข้าในฐานะแขก หลังจากนั้นข้าจะผลัดไปเป็นแขกของพวกเจ้าทั้ง 3 ขุมกำลังเอง…”
จังหวะนี้พวกมันอยากกระอักเลือดนัก!
ศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสง ท่านจะไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้วนหลิงเทียนได้พูดออกมาแล้ว พวกมันย่อมไม่อาจปฏิเสธ ยิ่งไม่มีความกล้าจะลดจำนวนหินเทพที่จะส่งมอบให้เป็นของขวัญ เพราะการทำอะไรแบบนั้นไม่พ้นต้องสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่ายแน่นอน และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกมันอยากจะเห็น
“ตระกูลเมิ่งของพวกเราจักตั้งหน้าตั้งตารอต้อนรับนาน้อยต้วน มิว่าท่านสะดวกเมื่อใดก็เชิญมาได้ทุกเวลา”
ท่ามกลางสายตาอิหลักอิเหลื่อของผู้นำตระกูลเมิ่ง บรรพบุรุษตระกูลเมิ่ง รวมถึงคนอื่นๆ เมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถระดับเทพของตระกูลเมิ่ง ก็ยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน ด้วยท่าทีสุภาพมากเคารพ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันกับคนของตระกูลเมิ่งหันหลังจากไป สีหน้าก็แลดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก…หินนเทพ 20,000 ตำลึง กล่าวไปนั่นแทบจะเป็นครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งตระกูลเมิ่งที่สั่งสมมาเลย แต่บัดนี้กลับต้องควักออกมาจับจ่าย อย่างที่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้ตระกูลเมิ่งมากนัก
ไม่ใช่แค่คนของตระกูลเมิ่งเท่านั้น จะคนของนิกายเมฆอรุณหรือฟ้ายุทธ์ก็ล้วนหน้าเบี้ยวไปตามๆกัน
ในขณะที่พวกมันกล่าวคำลาต้วนหลิงเทียน ก็ล้วนปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส…แต่ในใจลอบหลั่งน้ำตา ไม่สิหลั่งเลือดเลยต่างหาก!
“ถึงแม้ครั้งนี้พวกเราอาจไม่ได้ผลประโยชน์อะไรจากนายน้อยต้วนมากนันก และคงยากจะก้าวขึ้นมาครอบครองเมืองหลินซานแต่ผู้เดียว…แต่การจับจ่ายหินเทพ 20,000 ตำลึง เพื่อทำความรู้จักกับอัจฉริยะมากพรสวรรค์เช่นนี้ก็ไม่เสียหาย…”
ระหว่างเดินทางกลับ เมิ่งฉีโหย่วที่เห็นว่าคนของตระกูลเมิ่งนั้นชักสีหน้าสลดหดหู่ มันก็เลือกจะกล่าวปลอบออกมา “พวกท่านคิดว่าอัจฉริยะมากพรสวรรค์เช่นนายน้อยต้วนเมื่อเติบโตขึ้นไป จักเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับใดกันเล่า?”
“ถึงตอนนั้น หากพวกเราอาศัยความสัมพันธ์ที่ถึงแม้จะตื้นเขินครั้งนี้ขอความช่วยเหลือไป อาศัยตัวตนระดับนายน้อยต้วน หากเพียงแค่กล่าวคำเดียวก็ช่วยเหลือพวกเราได้ ไฉนอีกฝ่ายจะไม่ช่วย?”
“ที่สำคัญ ภายภาคหน้าตัวตนเช่นนี้ หากพวกเราคิดจะสานไมตรีด้วยก็แทบไม่มีโอกาสแล้ว…พอเติบโตขึ้นไม่พ้นต้องมีผู้ยิ่งใหญ่มากมายคิดผูกมิตร อาศัยตระกูลเมิ่งของพวกเรายังนับเป็นอะไรได้ แค่จะพบหน้ายังไม่มีปัญญาด้วยซ้ำ…”
พอได้ยินคำพูดของเมิ่งฉีโหย่ว สีหน้าของผู้คนในตระกูลเมิ่งก็แลดูดีขึ้นทันตา
เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
ตัวตนอย่างนายน้อยต้วนถูกกำหนดไว้แล้วว่า…วันนี้มิอาจดูเบา วันหน้ามิอาจเข้าหา!
ด้านกลุ่มคนของนิกายเมฆอรุณก็พากันเหินร่างกลับนิกายเมฆอรุณอย่างเงียบงัน ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรกัน
สำหรับนิกายฟ้ายุทธ์ ที่นำโดยโอวหยางหวู่ตี้บรรพบุรุษนิกายฟ้ายุทธ์ ก็กล่าวปลอบทุกคนอย่างโลกสวย “บางทีนายน้อยต้วนก็แค่พูดเล่นเท่านั้น…ยังไม่แน่ด้วยซ้ำว่าผู้คนจะมาจริงหรือไม่ หากไม่นิกายฟ้ายุทธ์ของพวกเราก็ไม่ต้องมอบของขวัญอันใด”
และคำพูดโลกสวยของโอวหยางหวู่ตี้ ก็ทำให้คนของนิกายฟ้ายุทธ์ฟื้นคืนกำลังใจทันที
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่กี่วัน พอถึงตอนที่ต้วนหลิงเทียนมาเยือนนิกายฟ้ายุทธ์เข้าจริงๆ ใจพวกมันก็เสมือนแก้วกระจกตกพื้น แหลกลงเป็นเสี่ยง…
หินเทพ 20,000 ตำลึงกลับสูญเปล่าไปเช่นนี้…
“ต่อไป…ก็นิกายเมฆอรุณสินะ”
ก่อนที่จะมาเยือนนิกายฟ้ายุทธ์ ต้วนหลิงเทียนก็ไปเป็นแขกตระกูลเมิ่งอยู่ 2-3 วัน
และตลอด 2-3 วันที่ว่าเขาก็พักอยู่ในตระกูลเมิ่งตลอด.
ขณะที่พักอยู่ในตระกูลเมิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากตระกูลเมิ่งมากมาย ทำให้เขารู้อะไรอีกหลายๆอย่าง ขณะเดียวกันเขาก็รู้ชัดเจนว่าตอนนี้เขาอยู่ส่วนไหนของดินแดนดาราพิศวง
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังได้สนทนากับเมิ่งฉีโหย่ว ผู้หลอมโอสถเทพของตระกูลเมิ่ง ว่าด้วยเรื่องของโอสถเทพ
วิธีการหลอมโอสถในระนาบเทพนั้น ล้ำลึกกว่าวิธีหลอมปรุงโอสถในระนาบเทวโลกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย กล่าวได้ว่ามันเป็นคนละระดับกัน หากเขาใช้วิธีที่เขาล่วงรู้ในอดีต ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะหลอมโอสถระดับเทพออกมาได้
“ไม่รู้จริงๆว่าใครเป็นผู้ริเริ่มและคิดค้นวิธีหลอมโอสถอันล้ำลึกทั้งหลายแล้วถ่ายทอดออกมา…”
หลังได้ทราบกลวิธีการหลอมปรุงโอสถเทพ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
สำหรับการซักถามความเป็นมาของวิธีหลอมโอสถระดับเทพ ถึงแม้เมิ่งฉีโหย่วจะไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนถามไปทำไม แต่มันก็ยังคอยอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังไม่หน่าย “ดูเหมือนนายน้อยต้วนจักมิค่อยได้พบปะกับผู้หลอมโอสถเทพในนิกายของท่านมากนักกระมัง…วิธีการหลอมโอสถเทพในระนาบเทพนั้น ยอดฝีมือระดับสูงๆรวมถึงผู้แข็งแกร่งที่สุดที่แตกฉานฟ้าดินแล้ว ก็ได้ถ่ายทอดความรู้รวมถึงแก่นแท้แห่งการหลอมสร้างเม็ดยาออกมา”
“แน่นอนว่าความรู้ที่ถ่ายทอดลงมา ก็สามารถแบ่งแยกย่อยได้หลายแขนง มีผู้คนที่พยายามคิดค้นวิธีทำให้สามารถหลอมปรุงโอสถเทพได้สำเร็จขึ้นมากมาย ลองผิดลองถูกพัฒนากันมาเรื่อยๆ…ตัวข้าเองก็ได้เลือกร่ำเรียนในแขนงสามัญ ใช้เพลิงเทพเพื่อหลอมสกัดแก่นแท้ออกจากวัตถุดิบสมุนไพร จากนั้นก็ก็พยายามหลอมผสานแก่นแท้สมุนไพรชนิดต่างๆเข้าด้วยกันตามสัดส่วนที่เหมาะสม และควบแน่นเม็ดยา…หากสำเร็จก็ได้ยา หากล้มเหลวทั้งหมดก็สลายเป็นขี้เถ้า”
“แน่นอนว่านายน้อยต้วนเพียงฟังมันอาจดูง่ายดาย แต่สิ่งนี้ก็ต้องใช้ประสบการณ์และทักษะเฉพาะตัวอย่างยิ่ง”
…
ตลอดไม่กี่วันที่อยู่ในตระกูลเมิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบวิธีหลอมโอสถระดับเทพที่เมิ่งฉีโหย่วศึกษา ทำให้เขามีความเข้าใจในกลวิธีการหลอมโอสถเทพในระนาบเทพมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีขั้นตอนที่แตกต่างจากระนาบเทวโลกไม่น้อย แต่แก่นแท้ของมัน…กล่าวไปแล้วก็ดุจเดียวกัน!
ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้ลองหลอมโอสถเทพตามคำชี้แนะของเมิ่งฉีโหย่วเช่นกัน ถึงแม้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาไม่ได้เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟมากนักแถมยังใหม่กับวิธีการหลอม แต่นั่นก็ยังทำให้เมิ่งฉีโหย่วอดประหลาดใจไม่ได้
เป็นธรรมดาว่าสิ่งที่เมิ่งฉีโหย่วประหลาดใจ ไม่ใช่แค่พรสวรรค์และรากฐานในการหลอมปรุงโอสถของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น แต่เป็นเพราะมันตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนก็บรรลุความเข้าใจในกฏแห่งไฟไม่ใช่ชั่วเลย เรียกว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ามันสักเท่าไหร่…
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ ความเข้าใจในกฏแห่งไฟของเขา ส่วนใหญ่แล้วก็เกิดจากห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวในระนาบเทวโลกเท่านั้น…
เรียกว่าตลอดไม่กี่วันในตระกูลเมิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็อยู่กับเมิ่งฉีโหย่วเสียเป็นส่วนใหญ่
ต่อมาหลังเดินทางออกจากตระกูลเมิ่งแล้ว เขาก็เลือกไปเป็นแขกที่นิกายฟ้ายุทธ์ต่อ และได้กล่าวถามศิษย์นิกายฟ้ายุทธ์ถึงขุมกำลังต่างๆในละแวกเมืองหลินซาน รวมถึงคฤหาสน์ตงหลิงอย่างละเอียด
…
ด้านคนของนิกายเมฆอรุณนั้น เดิมทีก็เตรียมแบกรับความสูญเสียไว้แล้ว
แต่หลายวันผ่านไป ต้วนหลิงเทียนยังไม่มาเยือนเสียที พวกมันก็บังเกิดความคิดเข้าข้างตัวเองประการหนึ่ง…
วันนั้นที่แท้นายน้อยต้วนกล่าวล้อเล่นกระมัง?
คนมิได้คิดจะมารับของขวัญที่นิกายเมฆอรุณของพวกมันจริงๆ!
“ฮัยยาท่านประมุข…ดูเหมือนจะเป็นพวกเราที่จริงจังเกินไป…นายน้อยต้วนก็แค่กล่าวล้อเล่นไปเท่านั้นเอง”
ภายในห้องโถงหลังนิกายเมฆอรุณ เทพขั้นต่ำคนหนึ่งที่นั่งอยู่เก้าอี้ด้านล่างในห้องโถงมองกล่าวกับ ซือหม่าคงหมิง ประมุขนิกายเมฆอรุณที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุดตรงกลางด้วยรอยยิ้ม
“ใช่!”
เทพขั้นต่ำอีกคนก็พยักหน้ากล่าวคำเห็นด้วย “ข้าว่าแล้วว่าด้วยฐานะของนายน้อยต้วน มีหรือจักเห็นหินเทพ 20,000 ตำลึงอยู่ในสายตา?”
ซือหม่าคงหมิงพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ฐานะศิษย์นิกายฟ้าจรัสแสงยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น ผู้คนย่อมมีคุณธรรมสูงส่งไหนเลยจักมารีดเลือดกับปูเช่นพวกเรา…!”
หากทว่า ซือหม่าคงหมิง พึ่งจะกล่าวจบคำไม่ทันไร…
พลันมีเสียงรายงานจากด้านนอกดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
“ท่านประมุข นายน้อยต้วนที่ท่านกำชับพวกเราไว้ว่ามิให้ละเลยเด็ดขาด บัดนี้มาถึงแล้วขอรับ! พวกเรายังพานายน้อยต้วนไปยังเรือนรับรองลำดับ 1 ทางปีกตะวันออกเรียบร้อย!!”
ในนิกายเมฆอรุณ สถานที่รับรองแขกของนิกายส่วนในนั้นได้แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง หนึ่งคือปีกตะวันออก และอีกหนึ่งคือปีกตะวันตก
ปีกตะวันตกมักใช้ต้อนรับแขกทั่วไป
ปีกตะวันออกนั้นจะใช้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติโดยเฉพาะ
หากเป็นขุมกำลังใหญ่อีก 3 ขุมกำลังของเมืองหลินซาน ต่อให้จะเป็นประมุขหรือผู้นำของอีกฝ่ายมาด้วยตัวเอง แม้นิกายเมฆอรุณจะให้การต้อนรับอีกฝ่ายที่ปีกตะวันออกเช่นกัน แต่จะเลือกต้อนรับในเรือนรับรองลำดับ 2 ของปีกตะวันออกเท่านั้น
กล่าวได้ว่า ต้วนหลิงเทียนเป็นแขกคนแรกที่ทางนิกายเมฆอรุณให้การต้อนรับในเรือนลำดับ 1 ของปีกตะวันออก…
เหตุผลที่ไฉนประมุขนิกายเมฆอรุณเลือกจะกำชับเรื่องราวให้ศิษย์และอาวุโสเฝ้าประตูว่าต้องพาต้วนหลิงเทียนไปรับรองที่ไหน ทั้งหมดเพราะฐานะและพลังฝีมือส่วนตัวของต้วนหลิงเทียน!
ไม่ว่าจะสถานะหรือความแข็งแกร่ง หากต้วนหลิงเทียนยังไม่มีคุณสมบัติถูกต้อนรับในเรือนรับรองลำดับที่ 1 ของปีกตะวันออก แล้วยังจะมีใครมีคุณสมบัติ?
“อะไร!? มาแล้ว!?”
ภายในห้องโถงหลักของนิกายเมฆอรุณ จะเหล่าอาวุโสก็ดีประมุขนิกายเมฆอรุณก็ดี ถึงกับต้องลุกขึ้นยืนดังพรวด สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไปทันที แต่ละคนยังบูดเบี้ยวนัก
ซือหม่าคงหมิงได้แต่คลี่ยิ้มกล่าวคำอย่างขมขื่น “ดูเหมือนพวกเราจักต้องเสียหินเทพ 20,000 ตำลึงไปจริงๆ”
ด้านอาวุโสของนิกายเมฆอรุณ บัดนี้แต่ละคนชักสีหน้าดูไม่ได้ ราวบิดาถูกเข่นฆ่าภรรยาถูกฉุด
พวกมันไม่คิดไม่ฝันเลย ว่าคำพูดของพวกมันจะย้อนกลับมาตบหน้าตัวเองรวดเร็วถึงเพียงนี้
การสนทนาของประมุขและชนชั้นอาวุโสของนิกายเมฆอรุณในห้องโถงหลัก ต้วนหลิงเทียนที่ถูกพามายังเรือนรับรองลำดับที่ 1 ของปีกตะวันออกย่อมไม่รู้เป็นธรรมดา
ในปัจจุบันต้วนหลิงเทียนกำลังเอนหลังบนเก้าอี้โยกอย่างสบายอารมณ์ นอนอาบแดดอุ่นๆ โดยมีสตรีงดงาม 2 คนที่แต่งตัวราวสาวรับใช้กำลังปรนนิบัติ คอยปอกองุ่นและป้อนเข้าปากเขาทีละลูก ส่วนสตรีรับใช้อีกคนก็คอยบีบเฟ้นนวดไหล่ให้เขา
สตรีรับใช้ทั้ง 2 เป็นนิกายเมฆอรุณจัดมาเป็นพิเศษ
และมีแต่เรือนรับรองลำดับที่ 1 ของปีกตะวันออกเท่านั้น ที่มีบริการแบบนี้
แถมสตรีรับใช้ทั้ง 2 ก็ไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม พวกนางล้วนเป็นทายาทสายเลือดหลักของอาวุโสนิกายเมฆอรุณ! และที่ไฉนพวกนางถูกส่งมาที่นี่ ก็เพื่อมีไว้สานไมตรีกับแขกของนิกายเมฆอรุณโดยเฉพาะ! พวกนางยังต้องเตรียมตัวเสียสละความสุขชั่วชีวิตเพื่อผลประโยชน์ของนิกายเมฆอรุณ!!
ยกตัวอย่างเช่น หากต้วนหลิงเทียนต้องตาพึงใจสตรีทั้ง 2 และอยากพาพวกนางไปด้วย แม้พวกนางจะไม่เต็มใจแค่ไหนแต่ก็ต้องไป เพื่อให้นิกายเมฆอรุณมีสายสัมพันธ์กับต้วนหลิงเทียน