ดรุณีน้อยในชุดสีเขียวอ่อนเส้นผมหยิกเป็นลอนสวย แลแล้วอายุราวๆ 15-16 ปี กำลังใช้สองตากลมใสปานหยดน้ำมองต้วนหลิงเทียนไม่วางตา พวงแก้มอ่อนวัยไม่เดียงสาฉายชัดถึงความตื่นเต้นยินดี
ด้านหลังของดรุณีน้อย มีสตรีหน้าตาดีนางหนึ่งลักษณะท่าทีแลดูเย็นชา และนางเองก็กำลังมองต้วนหลิงเทียนด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
“พี่ชาย!!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสับสน ดรุณีน้อยก็พุ่งร่างเล็กมาราวสายลมกรรโชกหอบหนึ่ง โผกอดต้วนหลิงเทียนเสียแน่น
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะหลบเลี่ยง แต่เขาแลเห็นถึงความตื่นเต้นยินดีในแววตาที่ออกมาจากหัวใจของนางชัดเจน อีกทั้งหยาดน้ำใสๆที่เริ่มเอ่อคลอนั่น ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจใจร้ายหลบนางได้ จึงปล่อยให้ดรุณีน้อยกอดเขาราวลูกหมี 2 มือได้แต่ยกกางขึ้นไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหน จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปอย่างกระอักกระอ่วน “แม่นางน้อย…ท่านจำคนผิดหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนมั่นใจได้เต็ม 10 ส่วน ว่าเขาไม่เคยพบเคยเจอดรุณีน้อยเบื้องหน้ามาก่อนเลย ไม่ทราบทำไมอีกฝ่ายถึงมาเรียกหาเขาว่าพี่ชาย?
ยิ่งงไปกว่านั้นอารมณ์ความรู้สึกที่ดรุณีน้อยนางนี้ส่งออกมา เห็นชัดว่าไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งแสดง
หรือพี่ชายของดรุณีน้อย จะหน้าตาเหมือนเขามาก?
การกระทำของดรุณีน้อยทำให้หลายๆคนที่เดินผ่านไปมาหันมามองดูอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ง่วนกับเรื่องของตัวเอง จึงไม่มีใครหยุดมอง หรือยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3
สตรีใบหน้าเย็นชาก็ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
“พี่ชายหลิงเทียน ท่านจำเสียวอวี่ไม่ได้หรือ?”
ดรุณีน้อยเงยหน้าขึ้นมาพูดกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงน้อยใจ “เสียวอวี่คิดถึงพี่ชายยิ่ง…เสียวอวี่รออยู่ที่เมืองวายุสวรรค์มาหลายปีแล้ว ทั้งหมดก็เพื่อพบพี่ชายวันนี้ และพี่ชายก็ไม่ได้โกหกเสียวอวี่จริงๆ เสียวอวี่ได้พบพี่ชายหน้าโรงประมูลตระกูลโจวที่เมืองวายุสวรรค์วันนี้จริงๆ”
พอดรุณีน้อยปริปากกล่าวคำออกมา ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนเหมือนกลายเป็นหินไปทันที…หรือว่าพี่ชายของดรุณีน้อยที่เรียกหาตัวเองว่าเสียวอวี่ ก็ชื่อหลิงเทียนด้วย?
แล้วที่นางพูดมามันอย่างไรกันแน่?
เพราะฟังจากที่นางพูด…
ไม่ใช่ว่าที่นางมาปรากฏตัววันนี้ เพราะเขาบอกให้นางมาหรือไร?
หรือ ‘พี่ชายหลิงเทียน’ ที่ท่าทางจะละม้ายคล้ายเขา จะบังเอิญบอกให้นางมาที่นี่วันนี้ด้วย?
“คุณหนู นายน้อยต้วน ไปหาสถานที่อื่นคุยกันดีหรือไม่?”
ทันใดนั้นเองสตรีที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้น
นางไม่พูดก็แล้วไป แต่พอนางพูดออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ตกใจอีกรอบ…ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยแซ่ต้วนของเขาออกมา พอรวมกับชื่อพี่ชายที่ดรุณีน้อยเอ่ยถึง ไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่นางคิดว่าเป็นเขาก็ชื่อ ‘ต้วนหลิงเทียน’ เหมือนกันหรือไง?!
ใต้หล้ามีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ด้วย?
ให้ตายต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีวันเชื่อ!
“อืม ไปหาที่อื่นคุยกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนรับคำอย่างเห็นด้วย เพราะที่นี่มันถนนหน้าโรงประมูลตระกูลโจว ผู้คนยังพยายามเข้าไปแลกหินเทพกันอยู่
ด้านดรุณีน้อยพอได้ยินก็ได้แต่คลายกอดต้วนหลิงเทียนแล้วผละออกมาอย่างไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตามมือข้างหนึ่งของนางยังกุมมือต้วนหลิงเทียนเอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่คล้ายเสแสร้งใดๆ
และต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ ว่าดรุณีน้อยนางนี้ยินดีที่ได้เจอเขาจากใจจริงๆ
นั่นทำให้เขางุนงงสับสนไปกันใหญ่
นี่มันอะไรกันแน่?
“ห้องส่วนตัวของโรงประมูลตระกูลโจวเหมือนจะเปิดให้เข้าไปได้แล้ว…คุณหนู ท่านมิใช่สนใจงานประมูลตระกูลโจวหรือ? ท่านมิเชิญนายน้อยต้วนไปกับพวกเราเล่า?”
โฉมงามน้ำแข็งกล่าวถามเชิงชี้แนะดรุณีน้อย
ดรุณีน้อยพอได้ยินก็หันไปมองสบตาอีกฝ่ายครู่หนึ่ง คล้ายจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมา
อย่างไรก็ตามหลังเห็นโฉมงามใบหน้าเย็นชาส่ายหัวไปมาเบาๆ ดรุณีน้อยก็หันไปมองก่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายหลิงเทียน พวกเราเข้าไปคุยกันในโรงประมูลตระกูลโจวเถอะ”
ปกติแล้วหากมีคนแปลกหน้ากล่าวชวนแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนต้องปฏิเสธไปแน่
อย่างไรก็ตามท่าทีกระตือรือร้นอย่างออกหน้าออกตาของดรุณีน้อย กับความจริงที่อีกฝ่ายล่วงรู้ชื่อแซ่เขา ไม่เพียงทำให้เขารู้สึกวางใจอย่างประหลาด ยังอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีกด้วย…
นางเป็นใครกันแน่?
ทำไมถึงได้รู้ชื่อเขา?
อีกทั้งไฉนจึงกล่าวทำนอง เป็นตัวเขาเองที่บอกให้พวกนางมาที่นี่เพื่อจะได้พบเจอเขา?
เรื่องราวทั้งหมดทำให้ต้วนหลิงเทียนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เดิมทีต้วนหลิงเทียนคิดว่า ใช่อีกฝ่ายวางแผนคิดร้ายอะไรกับเขาหรือไม่? แต่เขาก็ปัดความคิดดังกล่าวตกไปทันที…
เพราะตัวเขา ก็ถือได้ว่าเป็นหน้าใหม่ในดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้ ไม่มีใครล่วงรู้ที่มาที่ไปของเขา และผู้ที่รู้ชื่อแซ่ของเขาก็เห็นทีจะมีแต่คนของเมืองหลินซานเท่านั้น
และทุกคนในเมืองหลินซานก็รู้แค่เขาเป็นศิษย์ของนิกายฟ้าจรัสแสงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ดรุณีน้อยเบื้องหน้ากับโฉมสะคราญที่ติดตามอยู่ด้านหลังนั่น ทำให้เขารู้สึกถึงความไม่ธรรมดา…เกรงว่าคนในเมืองหลินซานคงไม่มีใครเข้าถึงพวกนางได้
ซูว! ซูว!..
สุดท้ายด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบพวกนางอย่างอดไม่ได้
แต่เขาพบว่าหลังสำนึกเทวะของเขากวาดผ่านไปยังร่างพวกนาง ก็ให้ความรู้สึกเสมือนก้อนหินร่วงลงทะเล ไม่อาจตรวจพบสิ่งใดได้เลย…
ต้องทราบด้วยว่าเขาเองก็เป็นเทพขั้นต่ำแล้ว กระทั่งเทพขั้นสูงอย่างเฉียนซู่หวนบรรพบุรุษตระกูลเฉียนที่เคยเจอในเมืองหลินซาน ยังไม่ให้ความรู้สึกแบบนี้กับเขา
จึงมีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
ดรุณีน้อยกับโฉมสะคราญเบื้องหน้า สมควรเป็นตัวตนที่มีระดับพลังเหนือกว่าขอบเขตเทพ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบ 2 สาว พวกนางก็หันมามองหน้าสบตากันทันที ด้านโฉมสะคราญคล้ายไม่แปลกใจอะไร แต่สองตาดรุณีน้อยกลับเต็มไปด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันก็เร่งหันไปส่งเสียงผ่านพลังถามโฉมสะคราญด้านหลังว่า “น้าซวน…ไฉนด่านพลังฝึกปรือของพี่ชายหลิงเทียนถึงได้…”
จนเมื่อโฉมสะคราญส่งเสียงผ่านพลังอธิบายให้นางฟัง ความตื่นตระหนกในดวงตาดรุณีน้อยก็ค่อยๆหายไป “ที่แท้เป็นเช่นนี้…ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
ดรุณีน้อยพลันตระหนักได้ทันที
หลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้นางงุนงง บัดนี้กระจ่างแจ้งแล้ว
“พี่ชาย ท่านมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมงานประมูลของตระกูลโจวใช่หรือไม่? น้าซวนได้ซื้อตั๋วห้องส่วนตัวเอาไว้แล้ว เช่นนั้นท่านไม่ต้องซื้อตั๋วอีก…”
ครู่ต่อมา ดรุณีน้อยก็แลดูร่าเริงขึ้นถนัดตา ทว่ายามมองมาที่ต้วนหลิงเทียนแววตาของนางกลับเปลี่ยนไปเป็นสงบราวคนละคน
ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางเป็นธรรมดา แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่าเพราะอะไร
อย่างไรก็ตาม เขามาเพื่อเข้าร่วมงานประมูลตระกูลโจว
ดังนั้นเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญของทั้งคู่ และเลือกจะตามทั้งคู่ไปยังห้องส่วนตัวหมายเลข 9
ห้องส่วนตัวมีขนาดกว้างไม่น้อย เบื้องหน้าเป็นหน้าต่าง แน่นอนว่าสามารถเปิดออกได้
และเบื้องหน้าๆต่างก็เป็นโต๊ะที่นั่งตั้งเรียงกัน
สามารถให้แขกนั่งชมดูสิ่งของบนเวทีประมูลเบื้องล่างได้ถนัดตา
“แม่นาง…พวกท่านเป็นใครกันแน่?”
หลังเข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว ต้วนหลิงเทียนนั่งลงได้ครู่หนึ่ง ก็หันไปมองดรุณีน้อยสลับกับโฉมสะคราญ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาตรงๆ “พวกท่าน…ใช่จำคนผิดหรือไม่?”
“เป็นพวกเราจำคนผิดจริงๆ”
ไม่ทันที่ดรุณีน้อยจะได้ตอบคำ ก็เป็นโฉมงามกล่าวตอบออกมาเสียก่อน “ต้องขออภัยคุณชายด้วย พอดีท่านหน้าตาละม้ายคล้ายคนที่พวกเรารู้จักมาก…อาจกล่าวได้ว่าพวกท่านแลดูเหมือนกันทุกประการ”
“ข้าชื่อ อวี๋ชิวซวน ไม่ทราบคุณชายท่านเรียกว่าอะไร?”
อวี๋ชิวซวนเอ่ยถามต้วนหลิงเทียนออกมาราวกับไม่มีอะไรผิดปกติ ใบหน้าเย็นชาของนางยังคลี่ยิ้มบางๆออกมา
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบคำถามของนาง เพียงมองจ้องนางด้วยความสงสัยครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองดรุณีน้อยข้างอวี๋ชิวซวน “เมื่อครู่ท่านกับแม่นางน้อยท่านนี้…เอ่ยชื่อแซ่ข้าถูกต้องชัดเจน หรือคนที่ท่านรู้จักไม่เพียงหน้าตาละม้ายคล้ายข้า แต่ยังมีนามว่าต้วนหลิงเทียนด้วย?”
การจำคนผิดนั้น บ่งบอกให้รู้ว่าเขากับคนที่นางรู้จักมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันมาก ถึงขั้นกล่าวได้ว่าสมควรเหมือนกันราวกับแกะ
แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่จะมีคนหน้าตาละม้ายคล้ายกัน
อย่างไรก็ตามที่แปลกก็คือทั้งคู่นั้น หนึ่งเรียกหาเขาว่าพี่ชายหลิงเทียน อีกหนึ่งเรียกหาเขาว่านายน้อยต้วน…กล่าวได้ว่าคนที่ทั้งคู่รู้จักก็มีชื่อว่า ต้วนหลิงเทียน!
“คุณชาย ท่านมีนามว่าต้วนหลิงเทียนด้วยหรือ?”
ไม่ทันที่ดรุณีน้อยจะได้พูดอะไร ก็เป็นอวี๋ชิวซวนกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญอะไรเช่นนี้”
บังเอิญ?
ต้วนหลิงเทียนมองสบตาอวี๋ชิวซวนเขม็ง เขาไม่เชื่อว่าใต้หล้าจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ อย่างไรก็ตามหลังมองตานางอยู่นาน เขาก็ไม่เห็นเบาะแสใดๆ เขาจึงรู้ว่าคงยากจะได้คำตอบที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่คิดล้มเลิกง่ายๆ เขาหันไปมองถามดรุณีน้อยทันที “แม่นางน้อย…ท่านจำคนผิดจริงๆหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องมาด้วสายตาปานมีไฟลุกโชน ทำให้ดรุณีน้อยก็ผงะไปเล็กน้อย
และทันใดนั้นเอง หางตาต้วนหลิงเทียนก็เห็นว่าสตรีงามคล้ายมองส่งสัญญาณอะไรบางอย่างกับดรุณีน้อย ทำให้ดรุณีน้อยที่ผงะไป พยักหน้ารับคำเขาทันที “ข้า…ข้าจำคนผิดจริงๆ”
“พี่ชาย ข้าขอโทษ…”
ดรุณีน้อยกล่าวคำขอโทษเสียงอ่อน
ในเมื่อกระทั่งดรุณีน้อยยังพูดออกมาแบบนี้ แม้ต้วนหลิงเทียนจะเห็นพิรุธเต็มไปหมดและเชื่อว่าเรื่องนี้มีความผิดปกติอย่างแรง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคงยากจะเค้นความจริงจากพวกนาง จึงได้แต่ขมวดคิ้วและไม่ถามอะไรอีก เพียงนั่งเงียบๆมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาเฉยเมย
“พี่ชาย เช่นนั้นพวกเรามาทำความรู้จักกันใหม่เถอะ…ข้าเรียกว่า ต้วนเฉียวอวี่”
ดวงตาดรุณีน้อยฉายแววรู้สึกผิดวาบหนึ่ง จากนั้นคล้ายนางจะรวบรวมความกล้าได้แล้ว จึงหันมามองกล่าวแนะนำตัวเองกับต้วนหลิงเทียน
“ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตอบดรุณีน้อย ลึกลงไปในดวงตาฉษยประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง อีกฝ่ายกลับมีแซ่ ‘ต้วน’ เหมือนเขาอีก มันจะเป็นเรื่องบังเอิญไปได้อย่างไร?
เป็นไปได้ไหม เรื่องที่อีกฝ่ายเรียกหาเขาว่าพี่ชาย…เพราะนางเป็นน้องสาวเขาจริงๆ?
‘นาง…คงไม่ใช่ลูกนอกสมรสที่ท่านพ่อแอบไปมีไว้ด้านนอกหรอกนะ?’
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของต้วนหลิงเทียนก็เป็นเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม พอความคดิดังกล่าวปรากฏขึ้นมาเขาก็ปัดทิ้งไปทันที ‘เป็นไปไม่ได้! ที่นี่คือระนาบเทพ…ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านพ่อยากจะมาที่นี่ได้ ท่านจะไปมีลูกสาวนอกสมรสกับใครได้…’
‘อย่างไรเสีย ต้วนเฉียวอวี่ผู้นี้ แม้จะมีรูปลักษณ์คล้ายดรุณีน้อย แต่ด่านพลังฝึกปรือของนางสมควรเหนือกว่าราชาเทพแน่นอน’
‘หากนางเป็นน้องสาวต่างมารดาข้าจริง…สตรีที่ให้กำเนิดนางต้องเป็นตัวตนระดับไหนกัน?’
‘ตัวตนแบบนั้น จะมาสนใจท่านพ่อได้อย่างไร?’
ยังดีที่ต้วนหรูเฟิงไม่ได้ยินความคิดในหัวของต้วนหลิงเทียน ไม่งั้นต้องมีตำหนิเขายกใหญ่
คิดไปคิดมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันเหนือความเข้าใจ และอย่างไรก็คงยากจะได้รับคำตอบ เขาก็ทำได้แค่รับฟังคำตอบของสตรีทั้ง 2 เท่านั้น ว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
เพราะนอกจากนั้นก็ไม่มีคำอธิบายอื่นใด…
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าทั้งคู่กำลังปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูด เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้
“พี่ชายหลิงเทียน…เสียวอวี่ไม่เจอพี่ใหญ่นานมากแล้ว เช่นนั้นวันหน้าขอเสียวอวี่เรียกพี่ชายหลิงเทียนว่าพี่ชายได้หรือไม่?”
ต้วนเฉียวอวี่มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงอ่อน แววตากลมใสของนางบัดนี้ราวมีม่านน้ำปกคลุม ชวนให้น่าเวทนาสงสารนัก…