“ได้สิ”
เห็นต้วนเฉียวอวี่มองมาด้วยท่าทางน่าสงสาร ก็ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนอ่อนยวบลงทันที ยากจะปฏิเสธคำขอของนางได้ลงคอ กล่าวตอบรับกลับไปเสียงอ่อน
ด้านต้วนเฉียวอวี่ พอได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน นางก็คลี่ยิ้มสดใสออกมาทันที ยังกระเถิบเขช้ามานั่งใกล้ๆต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เอื้อมมือมากอดแขนต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เอียงศีรษะน้อยๆมาพิงไหล่ต้วนหลิงเทียนอย่างออดอ้อน
ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกได้ว่าต้วนเฉียวอวี่ทำตัวสนิทสนมกับเขาเหมือนน้องสาวกับพี่ชายอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงแม้แต่น้อย
ยังให้ความรู้สึกคล้ายหานเฉวี่ยไน่ในอดีตมาก
อวี๋ชิวซวนที่นั่งห่างออกไปไม่ไกล พอเห็นการกระทำของต้วนเฉียวอวี่ก็คิดจะหยุด แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่อาจพูดห้ามออกมา สุดท้ายจึงปล่อยให้ต้วนเฉียวอวี่กอดแขนพิงไหล่ต้วนหลิงเทียนตามใจ
ไม่นานนักสายตานางก็ตกลงบนร่างต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ยังฉายแววซับซ้อนนัก
ในตอนนี้คงมีแต่ตัวนางเองเท่านั้น ที่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ ‘หากข้ามิได้มาเห็นกับตา…ข้าคงมิอาจเชื่อเรื่องนี้ได้จริงๆ’
เดิมทีบรรากาศในห้องส่วนตัวก็เปลี่ยนเป็นเงียบงันอึมครึมไปพักหนึ่ง แต่พอต้วนเฉียวอวี่กระเถิมมานั่งอิงไหล่ต้วนหลิงเทียนแถมยังกอดแขนเขาเอาไว้อย่างสนิทสนม นางก็เริ่มคุยกับต้วนหลิงเทียน…แน่นอนว่าเป็นนางถามนู่นนี่นั่นอยู่ฝ่ายเดียว
“พี่ชายท่านเป็นคนเมืองวายุสวรรค์รึเปล่า”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา เขาไม่ได้โกหกนางทั้งหมด เพียงบอกว่าเขามาจากระนาบเทวโลก และขึ้นมาดินแดนดาราพิศวงมาได้หลายพันปีแล้ว แน่นอนว่าขณะพูดก็ไม่มีพิรุธอะไร เพราะอายุกระดูกเขาตอนนี้ก็มีเกือบ 2,700 ปี
เขาคงไม่อาจบอกนางว่าเขาพึ่งจะขึ้นมาดินแดนดาราพิศวงผ่านระนาบสมรภูมิกระมัง?
หากเขาบอกไปแบบนั้น แล้วเขาจะอธิบายเรื่องที่เข้าฉีกเปิดมิติมายังระนาบสมรภูมิได้อย่างไร?
นอกจากนั้นเขาก็ไม่อาจโกหกเรื่อง บังเอิญมียอดคนประมือกันจนห้วงมิติฉีกเปิดกับต้วนเฉียวอวี่ได้แน่นอน เพราะนางกับอวี๋ชิวซวนที่นั่งข้างๆมีความเป็นมาลึกลับเกินไป อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าพวกนางน่าจะอยู่เหนือขอบเขตราชาเทพ ไม่แน่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับนิกายระดับจักรพรรดิเทพก็เป็นได้
ตอนที่เขายังอยู่ในเมืองหลินซาน เขาอาจจะหลอกคนอื่นได้ว่าเขามาจากนิกายฟ้าจรัสแสง
แต่อยู่ต่อหน้าทั้งคู่ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะถูกเปิดโปง
“ว้าว พี่ชาย ระนาบเทวโลกเป็นเยี่ยงไรบ้าง เห็นว่ากว้างใหญ่กว่าระนาบเทพเสียอีก มีอันใดให้เล่นมากหรือไม่?”
“พี่ชาย แล้วท่านเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์ด้วยหรือไม่?”
…
ต้วนเฉียวอวี่กล่าวถามออกมาไม่หยุด ด้านอวี๋ชิวซวนที่ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน สีหน้าของนางก็สงบไร้คลื่นลมใดๆ ราวกับนางล่วงรู้ทุกอย่างมานานแล้ว
แน่นอนว่ายังดูเหมือนไม่สนใจมากกว่า
ต้วนเฉียวอวี่คล้ายเด็กน้อยอยากรู้อยากเห็น นางถามต้วนหลิงเทียนไม่หยุด จนกระทั่ง เสียงของพิธีกรงานประมูลดังขึ้นจากด้านล่าง ต้วนเฉียวอวี่จึงหยุดถาม
อย่างไรก็ตาม แลดูจากสีหน้าของนางตอนนี้ ช่างเต็มไปด้วยความพึงพอใจนัก ราวกับการได้คุยกับต้วนหลิงเทียนและถามนู่นนี่นั่นทำให้นางมีความสุขมาก
“ไม่มีที่นั่งเหลือเลย…ดูเหมือนเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพ มิใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับคนในละแวกเมืองวายุสวรรค์?”
ต้วนเฉียวอวี่ที่นั่งข้างๆต้วนหลิงเทียน กล่าวออกมาหลังกวาดตามองลงไปนอกหน้าต่าง
“พี่ชาย ท่านว่าอย่างไร?”
ต้วนเฉียวอวี่หันมามองถามต้วนหลิงเทียน
“ก็นะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ขณะเดียวกันเขาก็ให้ความสนใจกับโถงประมูลรวมด้านล่างเช่นกัน
เรียกว่าที่นั่งในโถงรวมนั้นมีผู้คนนั่งกันเต็มทุกที่ และบนเวทีประมูลด้านหน้า ก็ปรากฏร่างสตรีหน้าตางดงามมาในชุดเสื้อผ้าสีสันสดใสยืนอยู่ตรงนั้นอยย่างสง่างาม สองตาใสปานน้ำของนางกำลังกวาดมองไปรอบๆ ใบหน้าแม้อ่อนวัยแต่กลับให้ความรู้สึกผ่านพ้นวันเวลามาเนิ่นนาน
เห็นได้ชัดว่านางเป็นพิธีกรที่จะดำเนินการประมูลวันนี้
“โจวอวิ๋น?”..
และเมื่อพิธีกรเช่นนางประกาศออกมา ผู้คนที่พูดคุยกับสหายทั้งหลายก็หันมามองบนเวทีทันที
ขณะเดียวกันในโถงรวมก็มีหลายคนที่จดจำนางได้ “ไม่คิดเลยว่าตระกูลโจวจะส่งอาวุโสโจวอวิ๋นออกมาเป็นพิธีกรงานประมูลครั้งนี้ได้…อาวุโสโจวอวิ๋นผู้นี้แม้เป็นสตรีแต่พลังฝีมือร้ายกาจนัก เป็นเทพขั้นสูงที่ใกล้จะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพมากที่สุดของตระกูลโจว!”
“เห็นได้ชัดว่าทางตระกูลโจวให้ความสำคัญกับงานประมูลครั้งนี้มาก…งานประมูลครั้งก่อนๆอย่างดีก็เพียงส่งเทพขั้นกลางมาเป็นพิธีกรเท่านั้น หรือที่ร้ายกาจหน่อยก็เป็นเทพขั้นสูง”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว…สุดท้ายงานประมูลครั้งนี้ก็นำ เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพที่หายสาบสูญไปนานอย่าง เคล็ดเทพ 6 เงาออกมาประมูล…”
“ความกล้าของตระกูลโจวช่างสูงเทียมฟ้าจริงๆ…เคล็ดวิชาระดับนี้ ยังกล้านำออกมาประมูลให้ผู้คนล่วงรู้ว่ามีอยู่…”
“เหอะๆ…กล้าเสี่ยงก็ยังดีกว่าลังเลจนตาย หากตระกูลโจวพยายามครอบครองมันไว้ลับๆไม่ให้ผู้ใดรู้ได้ก็ดีไป แต่ถ้าเรื่องมันแดงขึ้นภายหลัง เกรงว่าหายนะได้มาเยือนแน่ เพราะตระกูลระดับราชาเทพที่เหลือคงไม่คิดปล่อยให้ตระกูลโจวมีเวลาฝึกปรือจนด่านพลังก้าวหน้า”
“เรื่องนั้นข้าก็ทราบ แต่อย่างไรเสียตระกูลโจวก็ยังกล้าหาญอยู่ดีมิใช่รึไร? ต้องทราบด้วยว่าขุมกังอื่นต่อให้ได้เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพมา เผลอๆไม่มีความกล้าแม้แต่จะนำมันมาประมูลด้วยซ้ำ…ในประวัติศาสตร์ของเขตตงหลิงเรา มิใช่ไม่มีกรณีที่ขุมกำลังนำเคล็ดวิชามาออกประมูลเพราะกลัวเภทภัย แต่ทันทีที่ข่าวเรื่องครอบครองเคล็ดวิชาเลิศล้ำหลุดออกมา ไม่ทันได้นำขึ้นประมูลก็ถูกผู้อื่นบุกมาเข่นฆ่าชิงของไปเสียก่อน…”
…
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะนั่งอยู่ในห้องส่วนตัว แต่เขาก็ได้ยินบทสนทนาของผู้คนในโถงรวมด้านล่าง
และเรื่องที่ได้ยิน ก็ทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นทันที
ดูเหมือนระนาบเทพจะโหดร้ายกว่าที่เขาคิด…แค่เคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพก็ทำให้ผู้คนจากขุมกำลังระดับราชาเทพเข่นฆ่าช่วงชิงกันอย่างอำมหิตแล้ว
เขานึกภาพออกเลย ว่าหากสมบัติที่เขาครอบครองอยู่ถูกเปิดเผยออกมา ไม่ว่าจะเทพเบญจธาตุก็ดี กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็ดี หรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เขามี…เกรงว่าเขาได้พบเจอหายนะไม่หยุดหย่อนแน่!
เรียกว่าในใจต้วนหลิงเทียนบังเดความระวังขึ้นหลายส่วน
“ครั้งนี้แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายมายังเมืองวายุสวรรค์เราไม่น้อย…ข้า โจวอวิ๋น ในนามของตระกูลโจวและเมืองวายุสวรรค์ยินดีต้อนรับทุกท่าน”
เสียงของโจวอวิ๋นผู้อาวุโสของตระกูลโจว ผู้ที่รับหน้าที่เป็นพิธีกรดำเนินการจัดประมูลดังขึ้นอีกครั้ง หลังกล่าวจบคำ นางที่ยืนอยู่บนเวทีประมูลด้านหน้า ก็กวาดตามองทุกคนรอบหนึ่งก็โค้งคารวะเล็กน้อย
“ข้าหวังว่าท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหาที่ต้องตาพึงใจเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจอมราชันเทพ จักอดใจรอประมูลกันอย่างผู้มีอารยะ ไม่ลงมือก่อการทั้งสร้างความเดือดร้อนอันใดให้แก่โรงประมูลตระกูลโจวของพวกเรา”
พอโจวอวิ๋นกล่าวคำพูดประโยคนี้จบ บรรยากาศในโถงประมูลก็เงียบลงทันที
มีหลายคนที่มาเข้าร่วมเพราะคิดชมดูบรรยากาศงานประมูลอันสนุกสนาน
อย่างไรก็ตามพอได้ยินคำพูดดังกล่าวของโจวอวิ๋น พวกมันก็ตระหนักได้ถึงอันตรายที่แฝงอยู่ในงานประมูลครั้งนี้…นั่นสิ หากผู้คนไม่คิดประมูลอย่างถูกต้องตามกระบวนการ แต่เลือกจะใช้กำลังเข้าปล้นชิงขึ้นมาเล่า?
ถึงตอนนั้นพวกมันที่เสมือนอยู่กลางสนามรบ ไม่ถูกลูกหลงของยอดฝีมือระดับราชาเทพหรือแม้แต่จอมราชันเทพจนดับอนาถหรือไร?
พลังของจอมราชันเทพใช่เรื่องล้อเล่นหรือ?
และต่อให้มีแค่ราชาเทพขั้นสูง ไร้จอมราชันเทพใดๆที่มาครั้งนี้ แต่การลงมือของตัวตนระดับดังกล่าว เอาแค่เศษพลังที่ซัดออกส่งๆก็มากพอจะระเบิดทุกสิ่งในโถงประมูลให้แหลกเป็นผุยผงแล้ว!
“ขอผู้อาวุโสโจวอวิ๋นอย่าได้กังวลไป…”
ทันใดนั้นเอง พันมีสุรเสียงสง่างามหนึ่งดังออกจากห้องส่วนตัวห้องหนึ่งอย่างประจวบเหมาะ “เมืองวายุสวรรค์ไม่ได้มีแต่ตระกูลโจวของท่านเท่านั้น…แต่ยังมีสถานศึกษาหมอกเร้นลับของข้าด้วย หากวันนี้มีผู้ใดกล้าก่การใดๆในโรงประมูล ก็เสมือนดูหมิ่นไม่ไว้หน้าสถานศึกษาหมอกเร้นลับของข้า! ข้า มู่หรงสุยเฟิง ไม่มีวันปล่อยมันไปแน่!”
มู่หรงสุยเฟิง!?
ชื่อนี้ไม่ได้แปลกหูต้วนหลิงเทียนเลย เพราะตั้งแต่ที่เขามาถึงเมืองวายุสวรรค์เขาได้ยินมามากกว่าหนึ่งครั้ง
มู่หรงสุยเฟิง เป็นคณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และเป็น 1 ใน 2 รองประมุขของนิกายหมอกเร้นลับ ว่ากันว่าด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงมาเนิ่นนานแล้ว ในปัจจุบันสมควรบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพเป็นที่เรียบร้อย
แต่เป็นธรรมดาว่าเรื่องที่มันอาจทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ก็เป็นแค่การคาดเดาของคนนอกเท่านั้น
สำหรับความจริง เกรงว่าคงมีแต่ตัวมู่หรงสุยเฟิง กับชนชั้นผู้อาวุโสของนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้นที่ล่วงรู้
สุดท้ายแล้วขอบเขตจอมราชันเทพก็ไม่ใช่ว่าจะบรรลุถึงได้ง่ายๆ
“ท่านคณบดีมู่หรงกล่าวออกมาเช่นนี้ ข้าแม้แต่ตระกูลโจวก็สามารถวางใจได้แล้ว”
หลังได้ยินคำพูดของมู่หรงสุเฟิง โจวอวิ๋นที่ยืนอยู่บนเวทีประมูลก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก รอยยิ้มสดใสยังคลี่กางขึ้นมาบนหน้างาม
เหล่าผู้คนที่มาเข้าร่วมงานประมูลเพราะความสนุกก็เริ่มสงบลง “ไม่คิดเลยว่าแม้แต่คณบดีมู่หรงก็มา…ดูเหมือนพวกเราไม่ต้องลัวว่าจะมีผู้ใดสร้างปัญหาในงานประมูลวันนี้แล้ว”
“ท่านคณบดีมู่หรงถึงกับมาเอง…หรือว่าสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่เว้นนิกายหมอกเร้นลับก็ต้องการเคล็ดวิชาระดับจอมราชันเทพด้วย?”
“เผลอๆ อาจเป็นคณบดีมู่หรงเองด้วยซ้ำที่ต้องการมัน!”
“ก็ไม่แน่นักหรอก อย่างไรเสียเมืองวายุสวรรค์ก็เสมือนอาณาเขตของนิกายหมอกเร้นลับกลายๆ…หากนิกายหมอกเร้นลับต้องการมันจริงๆ ไม่ใช่ว่าตระกูลโจวสมควรไปเสนอขายเป็นการลับเพื่อสร้างความโปรดปรานหรือไร?”
…
ในขณะที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบกันด้วยความอยากรู้ เสียงชราแหบแห้งหนึ่ง พลันดังขึ้นจากห้องส่วนตัวห้องอื่น “มู่หรงสุยเฟิง…นิกายหมอกเร้นลับของเจ้า ก็สนใจเคล็ดวิชาจอมราชันเทพด้วยรึ?”
“เจ้าเป็นผู้ใด?”
มู่หรงสุยเฟิงเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ข้าคืออาวุโส 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ หานลี่กัง”
เสียงชราดังขึ้นสืบต่อ
“ไม่เคยได้ยิน”
หมู่หรงสุยเฟิงเอ่ยออกเสียงเรียบ “นอกจากนั้น เจ้าไม่คู่ควรจะพูดกับข้ามู่หรงสุยเฟิงคนนี้”
“เจ้า…!”
อาวุโสลำดับ 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ หานลี่กัง เป็นชายชราร่างสูงบึกบึนมาในชุดสีดำเส้นผมเป็นสีดอกเลาทั้งหยิกหยอยรุงรัง พอได้ยินวาจาไม่แยแสของมู่หรงสุยเฟิง มันก็ถึงกับลุกขึ้นยืน พลังอันน่าสะพรึงกลัวังแผ่ซ่านออกมาป่นปี้จนเก้าอี้พังพินาศไม่มีชิ้นดี
ข้างกายมัน ชายวัยกลางคน 2 คนเร่งรุดล่าถอยออกไปห่างตัวมันทันที ยังเร่งเร้าพลังเพื่อป้องกันตัวจ้าละหวั่น จากนั้นก็หันไปมองหานลี่กังอย่างจนปัญญา อาวุโสลำดับ 2 ของพวกมันยังอารมณ์ร้ายไม่แปรเปลี่ยน
“อาวุโสรองท่าน…ท่านมิใช่คู่มือมัน”
สุดท้ายชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็กล่าวเตือนออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องให้เจ้ามาบอก!”
หานลี่กังหันไปถลึงตามองชายวัยกลางคนอย่างเย็นชา พาลให้อีกฝ่ายหน้าซีดไปด้วยความตกใจ ส่วนชายวักลางคนอีกคนก็เร่งรุดลี้ภัยออกไปด้านนอกห้องทันที ยังไม่ลืมกล่าวทิ้งท้ายว่า “อาวุโสรอง ข้าจักไปบอกคนของตระกูลโจวให้นำเก้าอี้ชุดใหม่มา…”
นิกายหมื่นปีศาจก็เป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเช่นกัน และชื่อเสียงก็พอๆกับนิกายหมอกเร้นลับ อีกทั้งยังขัดแย้งกับนิกายหมอกเร้นลับมาโดยตลอด
และนี่ยังเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มู่หรงสุยเฟิง รองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ พูดจาไม่ไว้หน้าหานลี่กังที่เป็นถึงอาวุโสลำดับ 2 ของนิกายหมื่นปีศ่าจ…
ในเมื่อเป็นศัตรูกับนิกายต้นสังกัดของมัน แล้วไฉนมันต้องสุภาพกับอีกฝ่ายด้วย?