พอนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้ามันอยากจะแก้แค้นคนในห้องส่วนตัวหมายเลข 9 แผ่นหลังจ้งซื่อก็เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นชุ่มโชก หน้าผากยังปรากฏเม็ดเงื่อร่วงตกไม่หยุดปานสายฝน
“นายท่าน 4 โชคดียิ่งนักที่พวกเรายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร…หาไม่แล้วข้าเกรงว่าจักมิใช่แค่พวกเรา แต่ตระกูลของพวกเรามิพ้นต้องประสบเคราะห์เป็นแน่!”
ชายชราที่ยืนอยู่ด้านหลังจ้งซื่อเอง ก็เป็นคนในตระกูลจ้งด้วย
“นั่นสิ…ข้าไม่คิดเลยว่าพวกมันจะน่ากลัวขนาดนี้”
จ้งซื่อยกมือขึ้นปาดเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดซึมเต็มหน้าผาก กล่าวคำเสียงสั่น เพราะใจยังหวาดกลัวไม่หาย
“นายท่าน 4…แต่ดูเหมือนคนที่จากไปจักมีแค่สตรีทั้ง 2 นั่น ส่วนชายหนุ่มที่แลดูสนิทสนมกับ ‘คุณหนู’ ที่สตรีนางนั้นเรียกยังอยู่ และคุณหนูที่ว่ายังจับมือถือแขนมันด้วย…”
ชายชราฉุกคิดถึงเรื่องนี้
“ไปกันเถอะ! พวกเรารีบไปคารวะนายน้อยผู้นั้น แล้วขอขมาเรื่องก่อนหน้าเถอะ!!”
พอได้ยินคำพูดของชายชรา สองตาจ้งซื่อก็ลุกวาวขึ้นมาทันที จากนั้นก็คิดจะไปหาชายหนุ่มที่ประมูลโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งแข่งกับมันในห้องส่วนตัวหมายเลข 9 เพื่อปรับความเข้าใจทันที
ทว่าก่อนที่มันจะฉุกคิดถึงเรื่องนี้ ด้านคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้ง 4 ก็เริ่มมุ่งหน้าปังห้องส่วนตัวหมายเลข 9 แล้ว
เพราะหลังจากที่สตรีทั้ง 2 จากไป พวกมันที่นั่งลงอีกครั้ง หลังจากอื้ออึงอยู่พักหนึ่งพอหายตะลึงก็ฉุกคิดขึ้นได้เช่นกัน ว่าภายในห้องส่วนตัวหมายเลข 9 ยังสมควรมีชายหนุ่มอยู่อีกคน
อนิจจากว่าที่พวกมันจะรู้ตัวและไปยยังห้องส่วนตัวหมายเลข 9 คนก็ไม่อยู่แล้ว ในห้องว่างเปล่าไม่มีใคร…
“หรือเสียงชายหนุ่มก่อนหน้านี้…จะเป็นเด็กหญิงตัวน้อยนั่นนึกสนุกเลียนเสียงเล่น?”
ถึงแม้จะมีบางคนคาดเดาไปทำนองดังกล่าว แต่หลายคนก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้มันน้อยมาก เพราะสตรีทั้ง 2 ไม่น่าจะอุตริทำอะไรแบบนี้ ถึงเด็กหญิงนางนั้นจะแลดูซุกซนก็ตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกมันที่ลองถามคนตระกูลโจวดู ก็พบได้ในเวลาอันสั้น ว่าในห้องส่วนตัวหมายเลข 9 มีชายหนุ่มผู้หนึ่งอยู่จริงๆ
อนิจจาชายหนุ่มคนดังกล่าวได้จากไปแล้ว
“หากพวกเรารู้ตัวกันเร็วกว่านี้ ก็อาจได้พบนายน้อยผู้นั้น”
รองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ หรือก็คือคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิงได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
คนของอีก 3 ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเอง ก็พากันถอนหายใจออกมาไม่ต่าง
ถึงแม้พวกมันจะไม่ทราบอัตลักษณ์และความเป็นมาของชายหนุ่มคนนั้น แต่ฟังจากคนในโรงประมูลของตระกูลโจวแล้ว เห็นได้ชัดว่าสาวน้อยที่ถูกสตรีนางนั้นเรียกหาว่า ‘คุณหนู’ แลดูใกล้ชิดสนิทสนมกับชายหนุ่มมาก ยังเรียกหาว่าพี่ชายไม่หยุด
บ่งชี้ว่าความเป็นมาของชายหนุ่มก็มิใช่ชั่วเช่นกัน!
เผลอๆอาจเป็นคุณชายนายน้อยของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอันแข็งแกร่ง!
…
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้รู้เลยว่าหลังจากที่เขาออกมาจากโรงประมูลตระกูลโจว ห้องส่วนตัวหมายเลข 9 ที่เขาอยู่ก่อนหน้า ก็มีแขกมากมายแวะไปเยี่ยมเยียน
และหลังออกจากโรงประมูลตระกูลโจว ต้วนหลิงเทียนก็บึ่งตรงกับโรงเตี๊ยมที่พักทันที
เนื่องจากโรงเตี๊ยมที่พักที่เขาเลือกจะพักอาศัยอยู่ มันเป็นแค่โรงเตี๊ยมเล็กๆไม่โดดเด่นในเมืองวายุสวรรค์ และเจ้าของกิจการก็เป็นแค่ตระกูลเล็กๆที่เกี่ยวดองกับตระกูลราชาเทพแห่งหนึ่งในเมืองวายุสวรรค์เท่านั้น เขาก็เลยไม่ถูกผู้ใดพบเจอ…
เพราะหลังงานประมูลตระกูลโจวจบลง เหล่าคนของตระกูลโจวและตระกูลจ้งก็ได้ไปตระเวนถามข่าวของต้วนหลิงเทียนในโรงเตียมที่พักในเครือของพวกมันหรือของตระกูลราชาเทพกันใหญ่ ว่ามีชายหนุ่มท่าทางสูงศักดิ์แลดูไม่ธรรมดามาเข้าพักบ้างหรือไม่…
อนิจจาเพราะต้วนหลิงเทียนไม่ได้พักอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมที่เป็นกิจการของขุมกำลังระดับราชาเทพเหล่านั้น แม้พวกมันจะพยายามหาตัวต้วนหลิงเทียนแค่ไหน แต่ก็หาไม่พบ
สุดท้ายพวกมันก็ได้แต่ยอมแพ้
พวกมันเองก็คงนึกไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่สมควรเป็นตัวตนอันสูงศักดิ์ที่พวกมันกำลังตามหาอยู่นั้น ที่แท้กับอาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆไร้สำคัญแห่งหนึ่งในเมืองวายุสวรรค์เท่านั้น
เป็นธรรมดาว่าเหตุผลเดียวที่ต้วนหลิงเทียนเลือกจะพักโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เพราะเขารู้สึกว่าสภาพแวดล้อมของมันแลดูสงบร่มรื่นดี อีกทั้งยังตั้งอยู่ในพื้นที่ไร้สำคัญที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรผ่านไปมามากนัก เหมาะสำหรับการบ่มเพาะฝึกฝน
เขาจึงไม่รู้เลยว่าตระกูลโจวกับตระกูลจ้งกำลังตามหาเขาให้ควั่ก
และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงห้องหับในโรงเตี๊ยมแล้ว เขาก็นำโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งออกมา และตบเข้าปากทันที เพื่อที่จะบุกทะวงไปยังขอบเขตเทพขั้นกลาง…ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือน ก่อนที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับจะรับนักศึกษาใหม่
อาศัยเวลาครึ่งเดือน ก็มากพอให้เขาทะลวงด่านพลังได้แล้ว
“เทพขั้นกลาง อายุไม่ถึง 2,700 ปี…ถึงจะไม่สนเรื่องความเข้าใจในกฏ อาศัยแค่ด่านพลังฝึกปรือดังกล่าว ก็น่าจะพอมีที่ยืนในสถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้วกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำเบาๆ
ในระนาบเทพ ผู้ที่ยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปี ถือว่ายังเยาว์นัก
ในบรรดาขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ ไม่ต้องกล่าวถึงเทพขั้นกลางที่ยังอายุไม่ถึง 3,000 ปี แม้แต่เทพขั้นสูง หรือกระทั่งราชาเทพก็อาจมี แต่ในสถานที่ไกลห่างอย่างละแวกเมืองวายุสวรรค์ เกรงว่าเทพขั้นกลางที่ยังอายุไม่ถึง 3,000 ปี ก็มากพอจะทำให้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง
เหตุไฉนถึงกล่าวว่ารู้สึกชื่นชมอยู่บ้าง ไม่ถึงกับทึ่งอะไรมากมาย เพราะในละแวกเมืองวายุสวรรค์แม้จะหาเทพขั้นกลางที่ยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปีได้ไม่มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย
อย่างเช่น นักศึกษาระดับ 10 ดาวในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ผู้ที่ยังไม่จบการศึกษา ก็มีบางคนบรรลุถึงเทพขั้นกลางตั้งแต่อายุไม่ถึง 3,000 ปี
และตัวตนเช่นนั้น แม้จะยังไม่ทันจบการศึกษา พวกมันก็จะได้รับการยอมรับจากนิกายหมอกเร้นลับแล้ว วันหน้าเมื่อจบการศึกษาแล้วเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับเมื่อใด ก็จะได้กลายเป็นศิษย์ฝ่ายในและมีฐานะพอตัวในนิกายทันที
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทราบรายละเอียดส่วนนี้
เพราะแม้แต่ในเมืองวายุสวรรค์เอง ก็ไม่มีใครรู้ว่าในสถานศึกษามีนักศึกษาระดับนี้อยู่
นักศึกษาที่ว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง และพึ่งทะลวงถึงเทพขั้นกลางได้ไม่นาน
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเก็บตัวบ่มเพาะ ทุกแห่งหนในเมืองวายุสวรรค์ก็เต็มไปด้วยความคึกคักนัก
บทสนทนาของผู้คนล้วนวนเวียนอยู่กับแต่งานประมูลตระกูลโจวเมื่อไม่กี่วันก่อน “พวกเจ้าได้ยินเรื่องนี้แล้วหรือยัง…เห็นว่าในงานประมูลตระกูลโจวเมื่อ 2 วันก่อน ปรากฏจอมราชันเทพชนชั้นยอดฝีมือโผล่มาด้วย!”
“ใช่ๆๆ แถมข้าได้ยยินมาว่ายอดฝีมือจอมราชันเทพผู้นั้น ยังเป็นสตรีที่งามหมดจดนางหนึ่ง…ข้างกายนางมีเด็กสาวที่นางเรียกหาว่า ‘คุณหนู’ อยู่ เห็นได้ชัดว่าตัวตนของเด็กสาวที่ว่ายังสูงส่งกว่ายอดฝีมือจอมราชันเทพนางนั้นเสียอีก”
“ให้ตายเถอะ…ผู้ติดตามเป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพ! ต่อให้เป็นลูกหลานของผู้นำขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกเมืองวายุสวรรค์ ก็คงไม่ได้รับการดูแลดีงามถึงเพียงนี้กระมัง?”
“เดาได้มิยากเลย…สตรีนางนั้น อย่างน้อยๆก็ต้องมาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเป็นแน่! เผลอๆอาจจะมากจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพด้วยซ้ำ!!”
“ข้าได้ยินมาว่าเด็กหญิงที่ถูกยอดฝีมือเรียกหาว่า ‘คุณหนู’ มีชายหนุ่มที่นางเรียกหาว่า ‘พี่ชาย’ อยู่ข้างๆกายแถมชายหนุ่มที่ว่าก็ไม่ได้จากไปพร้อมพวกนาง…ไม่แน่ชายหนุ่มผู้นั้นอาจจะยังอยู่ในเมืองวายุสวรรค์ของพวกเรา!”
“จริงรึ?! เช่นนั้นหากข้าเจอผู้ที่คุณหนูเรียกหาว่าพี่ชายนั่นแล้วผูกมิตรหรือเป็นสหายด้วยได้ ไม่ใช่ข้าจะทะยานฟ้าในก้าวเดียวเลยรึไร?”
…
หัวข้อสนทนาก็มุ่งเน้นไปยังเรื่องของต้วนเฉียวอวี่ อวี๋ชิวซวน และต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษ ผู้คนกล่าวขานถึงเรื่องนี้กันอย่างหนาหู แม้แต่ในโรงเตี๊ยมเล็กๆที่ต้วนหลิงเทียนพักอยู่ก็มีคนพูดถึงเช่นกัน
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะย่อมไม่รู้เรื่องเลย
นอกจากหัวข้อนี้แล้ว ยังมีประเด็น ผู้อาวุโสลำดับ 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ หานลี่กัง อีกด้วย “ข้าได้ยินมาว่า อาวุโสรองของนิกายหมื่นปีศาจหานลี่กัง ถึงกับคุกเข่าขอขมา คุณหนู ผู้นั้นกลางโรงประมูล…แถมยังเห่าเสียงสุนัขได้เหมือนอีกด้วย ช่างเป็นราชาเทพขั้นสูงที่น่าสมเพชยิ่งนัก!”
“เหอะๆ เจ้าก็พูดไป…หากเจ้าเป็นมัน หรือเจ้าจะแข็งข้อต่อต้านยอดฝีมือจอมราชันเทพผู้นั้นเล่า? เจ้าคิดว่าศักดิ์ศรีมันสำคัญกว่าชีวิตหรือไร?”
“ใช่ ข้ายังคิดว่าหานล่กังผู้นั้นนับว่ายืดได้หดได้ เป็นผู้ฉลาดที่รู้สถานการณ์…กว่ามันจะฝึกปรือจนบรรลุถึงราชาเทพขั้นสูงได้ก็ไม่ง่ายเลย หากต้องมาตายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ ก็ไม่คุ้มอย่างแรง”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
…
หานลี่กัง อาวุโสลำดับ 2 ของนิกายหมื่นปีศาจ แม้การกระทำในโรงประมูลตระกูลโจวจะทำให้มันต้องอับอายขายหน้า แต่คนส่วนใหญ่ในเมืองวายุสวรรค์ก็พอเข้าใจได้
เมื่อวันเวลาผ่านไป เรื่องราวในงานประมูลตระกูลโจวก็ถูกผู้คนกล่าวถึงน้อยลง
พอใกล้ถึงวันที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับจะเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ หัวข้อสนทนาของผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนไปกล่าวถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับมากขึ้น “ว่ากันว่าการรับสมัครนักศึกษาใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับปีนี้ หากไม่เกิดเหตุผิดพลาดอะไร ตระกูลราชาเทพหลักๆในเมืองวายุสวรรค์เรา ล้วนส่งลูกหลานไปสมัครกันพร้อมหน้าพร้อมตา”
“เหอะๆ แล้วมีปีไหนที่ตระกูลราชาเทพทั้งหลายไม่ส่งลูกหลานไปบ้างเล่า…แต่สุดท้ายจะมีสักกี่คนที่ผ่านการทดสอบ และเข้าสู่สถานศึกษาได้?”
“ปีนี้เด็กๆในตระกูลข้าก็จะไปสมัครเข้าร่วมการประเมินของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเช่นกัน…ข้าไม่หวังให้มันสอบผ่านหรอก ขอแค่มันไม่ไปทำตัวขายหน้าผู้อื่นข้าก็ดีใจแล้ว”
“ปีก่อนก็มีรุ่นเยาว์แห่ไปเข้าร่วมการทดสอบของสถานศึกษาหมอกเร้นลับนับพัน…แต่สุดท้ายกลับมีแค่ 7 คนเท่านั้น ที่ผ่านการทดสอบ”
“ปีนี้ข้าเกรงว่าก็คงมีคนผ่านราวๆนั้นล่ะ”
…
สถานศึกษาหมอกเร้นลับ เป็นอะไรที่สูงส่งที่สุดในเมืองวายุสวรรค์ เนื่องจากมันเป็นสถานศึกษาที่ถูกก่อตั้งโดยนิกายหมอกเร้นลับ ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพในละแวกเมืองวายุสวรรค์ ผู้ที่โดดเด่นในสถานศึกษาก็เท่ากับว่ามีอนาคตที่สดใสในนิกาหมอกเร้นลับรออยู่
ตระกูลระดับราชาเทพทั้งหลายในเมือง ก็มีรุ่นเยาว์ที่ผ่านการทดสอบเข้าสู่สถานศึกษาหมอกเร้นลับ และได้เข้าร่วมนิกายหมอกเร้นลับไม่น้อย
และก็พอมีสถานะในนิกายหมอกเร้นลับอยู่บ้าง
เช่นนั้นการรับสมัครนักศึกษาใหม่แต่ละปีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ตระกูลระดับราชาเทพหลายตระกูลในละแวกเมืองวายุสวรรค์ก็ไม่มีใครละเลย เพราะถ้าคนของพวกมันมีฐานะในนิกายหมอกเร้นลับด้อยกว่าตระกูลคู่แข่งขึ้นมา ตระกูลของพวกมันก็เสียเปรียบแล้ว
อย่างเช่นหากลูกหลานของตระกูลโจวกลายเป็นผู้อาวุโสที่โดดเด่นในนิกายหมอกเร้นลับ
แต่ลุกหลานของตระกูลจ้งกลับเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาหรือเป็นแค่อาวุโสทั่วไปในนิกายหมอกเร้นลับ
เช่นนั้นเมื่อผ่านไปนานเข้า ตระกูลโจวก็จะเริ่มสะกดข่มตระกูลจ้งได้อยย่างสมบูรณ์ ตระกูลจ้งจะคิดพลิกฟื้นอันใด ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
ถึงแม้นิกายหมอกเร้นลับจะไม่ได้เป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในละแวกเมืองวายุสวรรค์ เพราะยังมีขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอีกมากมายที่ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ากัน…อย่างไรก็ตามนิกายหมอกเร้นลับเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่อยู่ใกล้เมืองวายุสวรรค์มากที่สุด
ด้วยเหตุนี้เมืองวายุสวรรค์ก็คล้ายจะถูกนิกายหมอกเร้นลับปกครองกลายๆ
สิ่งนี้เห็นได้ชัดจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ
…
วันเวลาครึ่งเดือนผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และเช้าวันนี้ประตูใหญ่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็ได้เปิดออกอย่างเป็นทางการ
ทุกคนที่มีอายุกระดูกน้อยกว่า 2,800 ปี สามารถเข้าไปประเมินทดสอบรับนักศึกษาใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้ หลังตรวจสอบอายุกระดูกแล้วว่าไม่ถึง 2,800 ปีจริงๆ
นอกเหนือจากนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการทดสอบ
“สาวน้อยของพ่อ มาเถอะ เจ้าต้องพยายามทำคะแนนทดสอบให้ดี…แต่ถึงแม้ปีนี้เจ้าจะทำได้ไม่ดี เจ้าก็ยังมีปีหน้า ขอเพียงเจ้าทำคะแนนทดสอบได้สูงขึ้นเรื่อยๆ เจ้าก็ยังมีหวังเข้าสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้อยู่”
หน้าประตูใหญ่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มีบิดาชราคนหนึ่งกำลังยืนกล่าวคำกับลูกสาวด้วยใบหน้าอ่อนโยน แม้ไม่ได้แลดูเข้มงวดกวดขันมากนัก แต่ฟังแล้วเห็นชัดว่ามันก็ตั้งความหวังไว้ไม่น้อย
“เจ้าเด็กหัวเหม็น วันหน้าหากเจ้าผ่านการทดสอบเข้าสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้สำเร็จ ต่อให้บิดาผู้นี้ตกตาย ก็นอนตายตาหลับแล้ว!”
“หลงเอ๋อ พยายามเข้า”
…
เมื่อต้วนหลิงเทียนมาถึงหน้าประตูสถานศึกษาหมอกเร้นลับ เขาก็พบฉากอาวุโสส่งรุ่นเยาว์มากมาย พาลให้เขานึกถึงชีวิตที่แล้วตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยบนโลกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาเป็นเด็กกำพร้า ตอนไปสอบอะไร เขาก็ไปเพียงลำพัง…
ในอดีตตอนจะเข้าสู่สถานที่สอบแข่งขัน เขาก็เห็นเด็กมัธยมปลายรุ่นเดียวกันมีผู้ปกครองมาส่งด้วยความวาดหวัง ทั้งให้กำลังใจอย่างดี ทำให้เขาที่ไม่มีใครรู้สึกอิจฉาจับใจนัก…