วันนี้ เป็นวันที่สถานศึกษาหมอกเร้นรับเปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่
  นักศึกษา 10 ดาวบ้างก็รู้ บ้างก็ไม่รู้ แต่น้อยคนนักที่จะใส่ใจ เพราะไม่มีใครคิดว่าปีนี้จะมีนักศึกษา 10 ดาวหน้าใหม่ เพราะสุดท้ายแล้ว 30 กว่าปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีนักศึกษา 10 ดาวหน้าใหม่สักคน
  นอกจากนั้น นักศึกษา 10 ดาวที่จะเข้าสู่สถานศึกษาหมอกเร้นลับวันนี้ได้ ก็บอกได้เลยว่าต้องเป็นคนนอกแน่ๆ
  หากมองแต่เฉพาะคนนอก ไม่มองนักศึกษา 9 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับที่ผ่านการทดสอบประเมินนักศึกษา 10 ดาวเองล่ะก็ ไม่มีคนนอกผ่านการทดสอบประเมินนักศึกษา 10 ดาว และกลายเป็นนักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับมานานนับร้อยๆปีแล้ว
  “วันเวลาช่างผ่านไปช้ายิ่ง อีกตั้ง 50 ปีข้าถึงจะสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ และได้เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายหมอกเร้นลับเสียที…”
  ภายในเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาวระดับต่ำ ภายในบ้านลานหลังหนึ่งปรากฏนักศึกษา 10 ดาว 2 คนก็กำลังนั่งดื่มชาสนทนากันที่โต๊ะในลาน
  “อีกไม่นานเจ้าก็จะได้บินไปสู่โลกกว้างแล้ว…แต่ข้าสิ มารดามันยังต้องรออีกร้อยกว่าปี…”
  อีกคนกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
  “กฏเกณฑ์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเราก็เข้มงวดกวดขันเกินไป…หากคิดจะสำเร็จการศึกษาและเป็นศิษย์นิกายหมอกเร้นลับก่อนเวลา ก็จำต้องทำลายสถิติทดสอบที่สถานศึกษากำหนดไว้ให้นักศึกษา 10 ดาวโดยเฉพาะ”
  “เห็นว่ากฏนี้ทางสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ตั้งใจตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ หวังให้นักศึกษา 10 ดาวฝึกฝนบ่มเพาะกระดับพลังตัวเองให้ได้มากที่สุด…มิฉะนั้นหลังไปยังนิกายหมอกเร้นลับแล้ว ภาวะแข่งขันก็จะรุนแรงขึ้นไปอีกเป็นคนละเรื่อง ที่นั่นไม่เหมือนที่นี่ ที่อย่างดีก็มีอายุได้ไม่เกิน 3,000 ปี แต่มันมีอัจฉริยะระดับเดียวกับพวกเรามากมาย แถมพวกยังบ่มเพาะฝึกปรือมาแล้วเป็นหมื่นปี ต่อให้พวกเราจะมีพรสวรรค์กับความเข้าใจไม่ได้ด้อยไปกว่ามัน แต่ในเมื่อผู้อื่นบ่มเพาะมาเป็นเวลาหมื่นปี พวกเราจักเอาอะไรไปสู้ได้เล่า…”
  “ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…แต่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเรายังมีแรงจูงใจอันใดอีก ถึงแม้จะมีการแข่งขันสำหรับนักศึกษา 10 ดาวอย่างเราๆไม่น้อย แต่ตอนนี้ใครยังมีกะจิตกะใจแข่งบ้างเล่า มันกลายเป็นการประชันภูมิหลังไปเสียสิ้น แค่ดูว่าบิดาผู้ใดใหญ่กว่า บ้านใครร่ำรวยอำนาจมากกว่า…เหอะๆ”
  …
  พอทั้งสองกล่าวถึงจุดนี้ พวกมันก็พากันมองไปยังส่วนลึกของเขตที่พักนักศึกษา 10 ดาวโดยไม่รู้ตัว ในแววตายังฉายความรังเกียจทั้งเอือมระอา กอปรกับความจนปัญญาไม่น้อย
  ในเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาวนั้น บ้านลานที่ใหญ่ที่สุดและใกล้พื้นที่ใจกลางมากที่สุด ทั้ง 5 หลังนั่น มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าพักได้โดยอาศัยพลังฝีมือของตัวเอง
  ส่วนอีก 4 คนที่เหลือ ล้วนแล้วแต่อาศัยฐานะและอำนาจของตระกูลและขุมกำลังเบื้องหลังทั้งสิ้น
  หากไม่คำนึงถึงฐานะความเป็นมาแล้วล่ะก็ อย่างดี 4 คนนั่นก็ทำได้แค่อยู่ในหอพักระดับกลางเท่านั้น
  ปึง! ปึง! ปึง!
  ในขณะที่ทั้งคู่กำลังดื่มชาย้อมใจ ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ทุบ’ ประตูดังสนั่นมาจากบ้านลานหลังหนึ่งในเขตหอพักระดับต่ำ เรียกว่าในสภาพแวดล้อมอันเงียบสงบ เสียงเคาะ ที่ไม่ต่างอะไรจากทุบประตูดังกล่าวค่อนข้างดังไม่น้อยทีเดียว
  “หืม?”
  ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสะดุ้งตกใจ พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านนอก “ติงเหยียน ต้วนหลิงเทียน นักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเราที่พึ่งผ่านการประเมินทดสอบวันนี้ ได้ส่งสาส์นท้าประลองถึงเจ้า…เจ้าเองคงทราบกฏดีแล้วกระมัง หากไม่ก็รีบบอก ข้าจักได้พูดให้ฟังอีกรอบ”
  “อย่าได้ประวิงเวลามากเกินไปเล่า หาไม่แล้วเจ้าคงได้ถูกปรับแพ้โดยไม่ทันได้สู้”
  หลังเสียงดังกล่าวพูดจบคำ ทั้ง 2 ก็หันมามองหน้ากัน “เฮ่…เมื่อครู่ ใช่เสียงของอาจารย์ซูเฟิงหยางจากโถง 10 ดาวรึเปล่า?”
  “น่าจะใช่นะ”
  วินาทีต่อมาทั้ง 2 ก็ลุกขึ้นยืนพรวด และแจ้นออกนอกประตูบ้านไปทันที จากนั้นเหลือบมองไปก็แลเห็นร่าง 3 ร่าง ยืนอยู่หน้าบ้านลานหลังหนึ่งไม่ไกลมากนัก และมองไปปราดเดียวมันก็จดจำ 2 ใน 3 คนได้ทันที
  เพราะพวกมันรู้จัก 2 คนที่ว่าดี
  หนึ่งคืออาจารย์ซูเฟิงหยางของห้องโถง 10 ดาว ส่วนอีกหนึ่งก็คือหลิวจิน ที่พลังฝีมือค่อนข้างอ่อนด้อยในบรรดานักศึกษา 10 ดาว
  นอกจากทั้ง 2 คนที่พวกมันจดจำได้แล้ว ก็มีอีกร่างหนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางมั่นใจ
  เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วง ใบหน้าหล่อเหลา คิ้วคมเข้มปานดาบสองตากระจ่างแหลมคมดุจกระบี่คม ลักษณะท่วงท่าและอารมณ์ความรู้สึกที่ส่งออกมาทั่วร่างช่างยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา เพียงมองไปปราดเดียวหลายๆคนก็รู้สึกด้อยกว่าทันที “เจ้านั่น…เป็นนักศึกษา 10 ดาวที่พึ่งผ่านการทดสอบเข้ามาวันนี้เหรอ?”
  “เมื่อครู่อาจารย์ซูเฟิงหยางยังพูดไม่ชัดรึไร กระทั่งเจ้านั่นยังยื่นสาสน์ท้าประลองผู้คนแล้วแน่ะ”
  “ให้ตายเถอะ…สถานศึกษาหมอกเร้นลับของพวกเรา ดูเหมือนจะไม่มีคนนอกที่ผ่านการทดสอบเป็นนักศึกษา 10 ดาวได้ นานนับร้อยปีแล้วหรือไร?”
  …
  ทั้งคู่แลดูตกใจไม่น้อย ขณะเดียวกันพวกมันก็สลักชื่อชายหนุ่มชุดม่วงผู้นั้นไว้ในใจอย่างเงียบงัน ต้วนหลิงเทียน!
  “นักศึกษาใหม่รึ?”
  หลังจากคำพูดของซูเฟิงหยางดังจบคำได้ไม่นานนัก ก็ปรากฏเสียงเปิดประตูดัง ‘แอ๊ด’ ขึ้นจากตัวบ้านหลังลาน จากนัน้ก็ปรากฏร่างในชุดสีแดงหนึ่งก้าวออกจากบ้านเดินตัดลานออกมา และพอมันเดินข้ามลานมาได้ไม่ทันไร ประตูหน้าบ้านลานก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ
  เป็นธรรมดาว่าประตูบ้านลานไม่ได้มีระบบอัตโนมัติเปิดได้เองแต่อย่างใด เป็นมันใช้พลังของตัวเองเปิดประตูดังกล่าว
  และพอเดินออกมาถึงด้านนอก มันก็หยิบป้ายที่ห้อยแขวนไว้หน้าประตูมาดูชม “ต้วนหลิงเทียน?”
  จากนั้นมันก็หันไปมองร่างชายหนุ่มชุดม่วงที่หน้าไม่คุ้นรอบหนึ่ง ค่อยหันไปมองถามซูเฟิงหยางด้านข้าง “อาจารย์ซู เจ้านี่คือต้วนหลิงเทียนงั้นหรือ?”
  ด้านต้วนหลิงเทียนเอง ก็หันไปมองสำรวจชายหนุ่มที่พึ่งเปิดประตูออกมาเช่นกัน
  เขาย่อมรู้ได้ว่าชายหนุ่มคนนี้สมควรชื่อ ติงเหยียน และเป็นคู่ต่อสู้ที่ซูเฟิงหยางเลือกให้เขา
  ติงเหยียน มีรูปร่างใหญ่โต คนสูงเกือบ 2 หมี่ มาในชุดคลุมสีแดงเลือดนก ใบหน้าแลดูแน่วแน่ดุดัน หว่างคิ้วไม่ขาดความหยิ่งผยองถือดี ยังแลดูดุร้ายปานโมโหตลอดเวลา เพียงยืนอยู่ตรงนั้นเฉยๆก็ให้ความรู้สึกเสมือนหอคอยเหล็ก กลิ่นอายทั่วร่างให้ความรู้สึกร้อนลวก ราวกับทุกลมหายใจที่พ่นออกมาคือไอร้อน
  ติงเหยียนนั้นเชี่ยวชาญกฏแห่งไฟ
  ระหว่างทาง หลิวจิน ก็ได้ส่งเสียงผ่านพัลงบอกเรื่องนี้ให้ต้วนหลิงเทียนทราบไว้แต่แรก
  “อืม”
  ซูเฟิงหยางพยักหน้ารับคำ ค่อยพูดเข้าเรื่องทันที “ติงเหยียน เจ้าเองก็สมควรรู้กฏดี เช่นนั้นข้าจะไม่พูดมาก เมื่อเจ้าออกมาแล้ว เช่นนั้นก็กำหนดเวลาเลยเถอะ”
  “ไม่จำเป็น”
  ติงเหยียนส่ายหัวไปมา “อาจารย์ซูอุตส่าห์มาเองทั้งที ข้าคงไม่คิดรบกวนให้ท่านลำบากถ่อมาอีกรอบ…เป็นตอนนี้เลยเถอะ”
  “ข้าเองก็คันไม้คันมือนัก ไม่ได้ขยับแข้งขยับขานานแล้ว!”
  กล่าวถึงจุดนี้ ติงเหยียนก็มองลึกไปทางต้วนหลิงเทียน สายตามันยังแฝงความล้อเลียนไม่น้อย “นักศึกษาใหม่ที่พึ่งผ่นการทดสอบประเมินนักศึกษา 10 ดาวได้ พลังฝีมือสมควรไม่ต้อยต่ำ…แต่พึ่งเข้ามาได้ไม่ทันไร ก็คิดจะชิงบ้านลานระดับต่ำของข้าติงเหยียน ข้าบอกได้คำเดียว เจ้าเลือกท้าผิดคนแล้ว…!”
  “วันนี้ให้รุ่นพี่คนนี้สั่งสอนเจ้าหน่อยว่าคำ ‘อยู่เป็น’ คืออันใด…ต่อไปหวังว่าเจ้าจักไม่เพ้อพกคิดทะยานถึงฟ้าในก้าวเดียวอีก!”
  เสียงกล่าวของติงเหยียน ฟังแล้วเหมือนผู้ใหญ่กำลังสั่งสอนเด็ก
  “อ้อ จริงสิ หากเจ้าต้องการเวลาเตรียมตัว ข้าก็สามารถให้…”
  ติงเหยียนยิ่งกล่าวน้ำเสียงของมันก็ยิ่งแฝงความหยอกล้อมากขึ้น อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนไม่รอให้มันพูดจบ เพียงกล่าวขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบ คล้ายอารมณ์ไม่ได้รับผลกระทบกับคำเสียดสีของติงเหยียนเลย “ไม่จำเป็น หากเจ้าไม่ติดอะไร ก็ไปสู้กันตอนนี้เลยเถอะ”
  “อย่างไรเสียอาจารย์ซศูก็อยู่ที่นี่แล้ว หลังจัดการเจ้าเสร็จ อาจารย์ซูก็จะได้ส่งสาสน์ท้าประลองหอพักระดับกลางจนถึงสูงให้ข้าได้ต่อเลย”
  พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ นอกจากมุมปากของซูเฟิงหยางจะกระตุกเล็กน้อยและเผยรอยยิ้มเหยเกออกมา ด้านหลิวจินถึงกับหันไปมองต้วนหลิงเทียนราวกับตัวประหลาด
  ด้านติงเหยียนเองที่ฟังจนอื้ออึงไปครู่หนึ่ง พอดึงสติกลับมาได้มันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่าอย่างอดไม่ไหว “ฮ่าๆๆ เจ้าหนูที่เจ้าพูดนั่นหมายความว่าอะไร…เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้?”
  “อาจารย์ซู ในเมื่อมันรับคำท้าข้าแล้ว ที่นี่คงสู้กันไม่ได้กระมัง แล้วพวกเราต้องไปสู้กันที่ใดหรือ?”
  ต้วนหลิงเทียนไม่ได้สนใจฟังติงเหยียนแม้แต่นิดเดียว เพียงหันไปมองถามซูเฟิงหยางด้วยความสงสัย
  ซูเฟิงหยางพยักหน้า “สู้ตรงนี้ไม่ได้ ต้องไปที่เวทีประลองด้านหลังโถง 10 ดาว”
  “เอาล่ะ”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็เหลือบไปมองติงเหยียนผ่านๆ เอ่ยออกเสียงเฉย “หากเจ้าไม่คิดจะยอมแพ้…ก็ไปเวทีประลองที่ว่านั่นกับข้าเสีย”
  สองตาติงเหยียนเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “ในเมื่อเจ้าแส่หาความอัปยศและหาเรื่องเจ็บตัวนัก ข้าก็จักสงเคราะห์ให้!”
  พอกล่าวจบ ติงเหยียนก็เดินนำลิ่วตัวปลิวไปทันที
  ต้วนหลิงเทียนก็ติดตามไปไม่ห่าง
  ด้านซูเฟิงหยางกับหลิวจินเองก็เดินตามไปต้อยๆ
  และในขณะที่พูดคุยกันหน้าบ้านติงเหยียน ผู้คนมากมายในเขตหอพักระดับต่ำที่พักอู่ในบ้านลานใกล้เคียง ก็ทยอยกันออกมาชมดูเรื่องราว เดิมทีพวกมันก็ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร จนเมื่อออกมาดูแล้วได้ยินเสียงคุยหน้าบ้านติงเหยียน จึงรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร
  “เจ้าติงเหยียนมันโดนท้าประลองงั้นเหรอ?”
  “ที่ท้ามันเป็นนักศึกษาใหม่นามต้วนหลิงเทียน ที่พึ่งผ่านการทดสอบประเมินวันนี้รึ?”
  “อัยยะ! เจ้านั่นมันห้าวยิ่งนัก พึ่งจะเข้ามาได้ไม่ทันไร พวกล่อท้าชิงหอพักระดับต่ำแล้ว”
  “แต่พิกลนัก ถ้ามันอยากอยู่หอพักระดับต่ำเฉยๆ ก็ไม่เห็นต้องท้าติงเหยียนเลยไม่ใช่รึ? เพราะเจ้าติงเหยียนนั่นถือว่าร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆในบรรดานักศึกษาที่อยู่หอพักระดับต่ำอย่างเราๆเลย…คนที่สู้กับมันได้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น อย่างดีก็ทำได้แค่ยันเสมอกับมันด้วย”
  “นั่นสิ…เจ้าติงเหยียนมันใช้กฏแห่งไฟ ในแง่พลังต่อสู้ของมัน อันที่จริงหากเป็นคนที่มีพลังทัดเทียมกับมันแต่ใช้กฏอื่น ก็ยังด้อยกว่ามันอยู่บ้าง”
  “ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ…ว่าไฉนนักศึกษาใหม่นั่นมันถึงต้องเลือกท้าติงเหยียนด้วย”
  …
  เหล่านักศึกษา 10 ดาวระดับต่ำที่ออกจากบ้านมาชมดูเรื่องราว ไม่ว่าใครก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นนัก และสุดท้ายพวกมันก็ติดตามไปชมดูความสนุกสนานที่สังเวียนประลองเช่นกัน
  เพราะเนิ่นนานแล้ว ที่ไม่มีนักศึกษา 10 ดาวส่งสาสน์ท้าประลองผู้อื่นแบบนี้
  ถึงแม้จะมีการต่อสู้เกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็เป็นการต่อสู้เล็กๆน้อยๆ
  นอกจากนั้น ในเมื่อพวกมันมีกันแค่นี้ ก็ย่อมรู้ถึงพลังฝีมือของกันและกันดี
  สำหรับตัวเอกที่กำลังจะไปสู้กันวันนี้ พวกมันรู้จักแค่ติงเหยียนคนเดียวเท่านั้น ส่วนหน้าใหม่ที่พึ่งปรากฏตัว พวกมันไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร!
  “ไปๆๆ! ไปชมดูผู้คนตีกันให้บันเทิงใจเถอะ!”
  “ให้มันได้ยังงี้สิ เดี๋ยวข้าส่งข้อความเรียกเพื่อนก่อน!”
  …
  เดิมทีกลุ่มคนที่ติดตามพวกต้วนหลิงเทียนกับติงเหยียนไปชมดูความสนุกสนาน ก็มีแต่นักศึกษาที่พักอยู่ในบ้านลานใกล้เคียงกับบ้านติงเหยียนเท่านั้น แต่ไม่นานนักก็เริ่มมีนักศึกษา 10 ดาวทยอยกันออกจากเขตหอพักระดับต่ำ กระทั่งเขตหอพักระดับกลางก็มี…
  พอออกจากบ้าน แต่ละคนก็มุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกัน
  โถง 10 ดาว!
  กล่าวให้ชัดคือสังเวียนประลองที่อยู่ด้านหลังโถง 10 ดาว!
  โถง 10 ดาวนั้น มีไว้เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องต่างๆให้แก่นักศึกษา 10 ดาว และด้านหลังโถง 10 ดาวนั้น ก็ได้มีการสร้างสังเวียนประลองเอาไว้ ให้นักศึกษา 10 ดาวได้ทำการประมือกันหลังส่งคำท้าชิงหอพัก หรือสะสางเรื่องราวส่วนตัวอะไรก็แล้วแต่
  สังเวียนประลองที่ว่า เดิมทีก็ร้างผู้คน
  แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก ผู้คนก็ทยอยกันมาเต็มไปหมด
  แน่นอนว่าผู้ที่มาสวนใหญ่ ก็มาเพื่อชมดูความสนุกสนานเป็นหลัก
  …
  และเบื้องหน้าสายตาของทุกคนตอนนี้ เป็นต้วนหลิงเทียนที่กำลังยืนประจันหน้ากับติงเหยียนบนเวทีประลอง
  “เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นน่ะเหรอ ต้วนหลิงเทียน นักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบวันนี้?”
  “ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าหลังจากผ่านไป 100 ปี จักมีคนนอกที่ผ่านการทดสอบประเมินนักศึกษา 10 ดาว และกลายเป็นนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับพวกเราได้…และในเมื่อมันผ่านการทดสอบประเมินนั่น เผยให้รู้ว่าพลังฝีมือมันไม่ใช่ชั่วแน่ อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะอ่อนด้อยไปกว่าพวกเรา”
  “พี่แกพึ่งเข้ามาได้มิทันไร ก็เล่นท้าติงเหยียนที่แข็งแกร่งที่สุดในหอพักระดับต่ำแล้ว…หรือนี่จักเป็น โคหนุ่มไม่หวาดพยัคฆ์ที่เขาพูดกัน?”
  “หากที่ข้าฟังมาไม่ผิด…ดูเหมือนที่ไฉนมันท้าติงเหยียน ทั้งหมดเป็นเพราะอาจารย์ซูเป็นคนเลือกคู่ประลองให้มัน…”
  …
  ผู้คนเริ่มทยอยกันมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ พริบตาก็เกิน 20 คนเข้าไปแล้ว เรียกว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนนักศึกษาในหอพักระดับต่ำเสียอีกก
  เห็นได้ชัดว่าผู้คนนั้นไม่ว่าจะที่ไหนก็นิยมชมดูเรื่องบันเทิง ยิ่งหากเป็นการต่อยตีกันยิ่งชมชอบ!
  จะเป็นมนุษย์ปุถุชนหรือเทพก็ไม่ต่าง…