เมื่อพบว่าต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังมา และลอบใช้พลังชี้นำไปทางหนึ่งโดยวางตัวเป็นปกติไร้พิรุธ ติงเหยียนก็ตระหนักใดได้ เริ่มทำทีเป็นมองสำรวจไปตามเรื่องราว จากนั้นก็สังเกตเห็นร่างหนึ่งค่อยกล่าวว่า “มิผิด เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ว่าสายตาที่มันใช้มองข้า แตกต่างจากอาจารย์อีก 2 คน”
ต้วนหลิงเทียนบอกจุดที่เขาสังเกตเห็นออกไปทันที
“นั่นคืออาจารย์จู้ชุน ภรรยาของมันกับภรรยาของนาย 3 ตระกูลจ้งเป็นพี่น้องกัน…ด้วยเหตุนี้มันจึงสนิทสนมกับตระกูลจ้งไม่น้อย กล่าวได้ว่าเป็นคนของตระกูลจ้งไปครึ่งตัวแล้วก็ว่าได้”
ติงเหยียนกล่าวตอบ
พอได้ยินคำตอบของติงเหยียน ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร เช่นนั้นก็อธิบายได้ง่ายแล้ว
“จะอย่างไรก็ช่าง เจ้าไม่ต้องกังวลมันหรอก ถึงมันจะมีสัมพันธ์อันดีกับตระกูลจ้ง แต่มันไม่กล้าก่อการอันใดใต้จมูกอาจารย์อวี๋เชียนซานหรอก เว้นเสียแต่มันจะอยากตาย…เต็มที่ก็คงทำมได้แค่ลอบส่งข้อความให่ตระกูลจ้ง ทว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยมัน ไม่ว่านักศึกษาคนใดก็ทำได้”
ติงเหยียนกล่าวสืบต่อ
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ต้วนหลิงเทียน”
ทันใดนั้นเอง มีเสีงผ่านพลังหนึ่งส่งตรงถึงหูต้วนหลิงเทียน เป็นโหวชิ่งหนิง นักศึกษา 10 ดาวที่อาศัยอยู่ในหอพักระดับสูงด้วยพลังฝีมือของตัวเอง แม้จะมีฐานะสูงพอสมควร “การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวครั้งนี้ 8 ใน 10 สมควรมีคนคิดลงมือกับเจ้าแน่”
“เช่นนั้นก่อนที่การทดสอบจะเริ่ม ข้าได้แจ้งอาวุโสในนิกายข้าให้พาคนมาเตรียมพร้อมใกล้พื้นที่ทดสอบแล้ว คนเหล่านั้นสามารถเข้ามาในพื้นที่ทดสอบและปกป้องเจ้าได้ตลอดเวลา”
“เจ้าคิดให้ข้าช่วยหรือไม่?”
“สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่อยากให้เจ้าเกิดเรื่องสักเท่าไหร่…สุดท้ายแล้วข้าก็อยากมีคนรุ่นเดียวกันที่มีพลังฝีมือสูงกว่าไว้คอยประลองชี้แนะ จะได้ก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งขึ้น”
เสียงผ่านพลังของโหวชิ่งหนิง เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายของต้วนหลิงเทียนจริงๆ
ต้องทราบด้วยว่าอีกฝ่ายกับเขาไม่ได้สนิทอะไรกัน
เพียงรับปากว่าจะประลองชี้แนะกับอีกฝ่ายหลังจบการทดสอบเท่านั้น
อาศัยแค่เรื่องดังกล่าว ก็ทำให้อีกฝ่ายเตรียมการอะไรขนาดนี้เชียวหรือ?
“ข้าทราบแล้ว”
แม้จะประหลาดใจพอสมควร แต่ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะส่งเสียงผ่านพลังกล่าวปฏิเสธความหวังดีของโหวชิ่งหนิงตรงๆ “อย่างไรก็ตาม…ข้าอยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง”
ถึงแม้หากมีความช่วยเหลือของโหวชิ่งหนิงจะทำให้เขาสามารถแสร้งถ่อมตัวและไม่ต้องเปิดเผยพลังฝีมือได้แนบเนียนกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม หากทำแบบนั้น เขาก็จะคิดหนี้บุญคุณของโหวชิ่งหนิงทันที กระทั่งยังติดค้างนิกายที่อยู่เบื้องหลังโหวชิ่งหนิงอีกด้วย
หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากติดค้างใคร
ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้การทดสอบครั้งนี้เขาอาจจะต้องเปิดเผพลังฝีมือออกมา แต่เขาก็ยังระวังไม่คิดใช้ไพ่ตายทั้งหลายออกไปส่งเดช
การเปิดเผยพลังออกมาบางส่วน ยังทำให้เขามีคุณค่าในสายตาสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่เว้นนิกายหมอกเร้นลับมากขึ้น
ถึงแม้เขาคิดจะถ่อมตัวและไม่ทำให้ตัวเองโดดเด่นจนเกินไป เพื่อจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ ‘ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่น’ แต่เขาก็รู้ดีว่าหากเผยพลังฝีมืออย่างเหมาะสม ก็ได้มากกว่าเสีย
เพียงต้องพยายามทำให้ทุกอย่างลงตัวเท่านั้น
“เอาล่ะ”
โหวชิ่งหนิงส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ “เช่นนั้นข้าจะบอกให้ทุกคนกลับ”
โหวชิ่งหนิงไม่ได้เซ้าซี้อะไรสืบต่อ เพราะคำพูดของต้วนหลิงเทียนก็คือคำพูดสุดท้าย และการที่อีกฝ่ายตอบปฏิเสธกลับมาตรงๆ ก็ทำให้โหวชิ่งหนิงประทับใจต้วนหลิงเทียนมากขึ้น
แม้พลังฝีมืออีกฝ่ายจะดี และไม่ได้กริ่งเกรงอะไรตระกูลจ้งมากนัก แต่การเลือกจะแบกรับทุกสิ่งเพียงลำพังก็หาได้ยากยิ่ง
“ต้วนหลิงเทียน ใกล้ถึงพื้นที่ทดสอบแล้ว…จำที่ข้าพูดไว้ได้หรือไม่ เจ้ามากับข้าเถอะ”
หลังอวี๋เชียนซานนำนักศึกษาเดินทางอยู่พักหนึ่ง ข้ามผ่านภูมิประเทศมากมาย ในที่สุดเสียงของติงเหยียนก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง
“ไม่ต้องหรอก”
ต้วนหลิงเทียนปฏิเสธความหวังดีของติงเหยียนอีกครั้ง ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกช่วยไม่ได้อยู่บ้าง หากติงเหยียนเข้าใจอะไรง่ายเหมือนโหวชิ่งหนิงก็ดี แต่ทั้งๆที่เขาปฏิเสธไปแล้วหลายครั้ง ทว่าอีกฝ่ายยังรบเร้าไม่เลิก เกาะติดราวเห็บสุนัขก็ไม่ปาน
เป็นธรรมดาว่าเขาไม่อาจหักหาญน้ำใจอีกฝ่ายได้
สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็แค่หวังดีต่อเขา ไม่ได้คิดร้าย
อนิจจามีเรื่องราวบางประการที่เขาไม่อาจอธิบายออกไปได้
หรือจะให้เขาบอกติงเหยียนไปตรงๆ ว่าต่อให้ตระกูลจ้งจะส่งเทพระดับสูงมากี่คนต่อกี่คน แต่ก็มีโอกาส 9 ใน 10 ส่วนที่พวกมันตายด้วยน้ำมือเขา?
ให้บอกว่าที่แท้พลังฝีมือเขาระดับไหน?
แต่ต้องทราบว่านั่นคืออะไรที่สุดยอดอัจฉริยะในนิกายหมอกเร้นลับ ที่ยังมีด่านพลังฝึกปรือเพียงเทพขั้นกลาง ไม่อาจบรรลุได้ด้วยซ้ำ!
สิ่งนี้มันเป็นเรื่องที่ทำให้เขาโดดเด่นเกินไป
“ถึงแล้ว”
หลังต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆเหินร่างล่วงล้ำเข้ามาถึงน่านฟ้าเหนือส่วนลึกป่ารกชัดแห่งหนึ่ง อวี๋เชียนซานก็หยุดลง จากนั้นมันก็กวาดตามองนักศึกษาทั้งหลายรอบหนึ่ง “ต่อไปข้าจะแจกป้ายเก็บคะแนนให้พวกเจ้า”
“กฏยังคงเป็นเช่นเดิม พวกเจ้าต้องผูกพันธะป้ายเก็บคะแนนต่อหน้าข้า…และอย่างที่พวกเจ้ารู้กันดี ว่าป้ายนี้เมื่อผูกพันธถือครองแล้วจะไม่อาจยกเลิกได้ กระทั่งหากเจ้าของป้ายตายตก ตัวป้ายก็จะทำลายตัวเองทันที”
“ปกติแล้วการทดสอบนักศึกษา 10 ดาว มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นคุกคามชีวิตพวกเจ้ามากเท่าไหร่…การทดสอบนี้ มุ่งเน้นไปยังเรื่องความเร็วในการล่าสัตว์อสูรของพวกเจ้าเท่านั้น”
“ต่อให้เป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในป่านี้ที่พวกเจ้าสู้ไม่ได้ แต่หากพวกเจ้าคิดหลบหนีก็คงทำได้ไม่ยาก”
“แน่นอนว่าหากพวกเจ้าโชคร้ายจริงๆ และถูกฝูงสัตว์อสูรที่ร้ายกาจปิดล้อม พวกเจ้าก็สามารถเลือกจะทำลายป้ายเก็บคะแนนของพวกเจ้าได้…พอถึงตอนนั้นข้าจะรีบไปช่วยพวกเจ้าทันที”
…
หลังได้ยินสิ่งที่อวี๋เชียนซานพูด ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถามติงเหยียนด้วยความสงสัย “ในเมื่อการทำลายป้าย จะเสมือนการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือให้อาจารย์มาช่วยได้…แล้วไฉนตระกูลจ้งยังดั้นด้นส่งคนมาฆ่าข้าอีกเล่า? พวกมันไม่กลัวข้าทำลายป้ายเก็บคะแนนทิ้งเพื่อเอาตัวรอดรึไง?”
ได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ติงเหยียนก็ส่ายหน้าไปมา “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดง่ายเกินไป…”
“หากตระกูลจ้งมันตั้งใจจะฆ่าเจ้าในพื้นที่ทดสอบจริง ไม่พ้นพวกมันต้องพกจานค่ายกลบางอย่างีท่สามารถปิดกั้นสัญญาณขอความช่วยเหลือในป้ายไม่ให้ส่งถึงอาจารย์อวี๋เชียนซานได้แน่…นอกจากนั้นถึงพวกมันจะไม่ได้พกจานค่ายกลดังกล่าวมา ขอเพียงมันประสานกับนักศึกษาคนอื่น และบอกให้นกต่อทำลายป้ายล่ออาจารย์อวี๋เชียนซานไปก็ยังได้… ”
“ถึงตอนนั้นพวกมันก็ฉกฉวยโอกาสดังกล่าวฆ่าเจ้าเสีย”
ติงเหยียนกล่าว “แถมตระกูลราชาเทพอย่างตระกูลจ้ง ก็ไม่มีทางลืมหาทางรอดให้ตัวเอง”
“สำหรับพวกมันแล้ว ขอเพียงฆ่าเจ้าได้ พวกมันก็ไม่ใยดีชีวิตของเทพระดับสูงที่ส่งมาลงมือแน่นอน เพราะๆผู้ที่มาลงมือไม่พ้นต้องเป็นพวกเดนตายที่ทางตระกูลชุบเลี้ยงมาอย่างดีหรือไม่ก็เป็นคนที่พวกมันบีบบังคับให้สาบานกับเลือดมารหัวใจ”
ในระนาบเทพ คำสาบานต่อเลือดมารหัวใจนั้น ไม่ว่าใครก็สามารถกล่าวสาบานได้
หากไปสาบานต่อเลือดมารหัวใจที่อื่นที่ไม่ใช่ระนาบเทพก็จะไม่เป็นอะไร…แต่ถ้าสาบานต่อเลือดมารหัวใจในระนาบเทพ ก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดรับทราบทันทีเมื่อผิดคำสาบาน จากนั้นก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดส่งคนมาฆ่าทนัที
ต่อให้เป็นอริยะเทพขั้นสูงชนชั้นยอดฝีมือ ก็ไม่อาจหลีกหนีความตายได้พ้น
บางทีอาจมีอริยะเทพขั้นสูงบางคนที่เก่งกล้าสามารถ อาจไม่ใช่อะไรที่คนของผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่กี่คนจะจัดการได้…ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่จะยุติลงง่ายๆ เพราะขุมกำลังของผู้แข็งแกร่งที่สุดจะทุ่มกำลังทั้งหมดไล่ฆ่าทันที กระทั่งตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดก็อาจลงมือเอง
การผิดต่อคำสาบานเลือดมารหัวใจ ไม่ต่างอะไรกับการลบหลู่ผู้แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่อาจทนได้
ในระนาบเทพ ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็เปรียบดั่งกฏเกณฑ์
ขอเพียงท่านไม่ละเมิดกฏท่านจะทำอย่างไรก็ได้…แต่หากท่านละเมิดกฏ ท่านก็จะถูกผู้แข็งแกร่งที่สุดตามมาพิพากษา!
วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!
…
ทันใดนั้นเองอวี๋เชียนซานพลันยกมือขึ้น จากนั้นป้ายเก็บคะแนนก็ผุดออกจากความว่างมากมาย แต่ละป้ายยังลอยไปหยุดลงเบื้องหน้านักศึกษา 10 ดาวทันที ไม่เว้นต้วนหลิงเทียนเอง และลอยล่องอยู่อย่างนั้นรอให้นักศึกษาคว้าไป
ต้วนหลิงเทียนก็คว้าป้ายเก็บคะแนนดังกล่าวมาผูกพันธะถือครองทันที
“เอาล่ะตอนนี้พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปออกล่าได้แล้ว”
พอเสียงให้สัญญาณเริ่มของอวี๋เชียนซานดังจบคำ นักศึกษา 10 ดาวมากมายก็เร่งพุ่งร่างแยกย้ายกันไปทันที แต่ละคนค่อยๆหายตัวไปในป่ารกชัดใกล้แนวเทือกเขาอันสลับซับซ้อนเบื้องล่าง….
ป่ารกชัดแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก แถมมีแนวเทือกเขาอันสลับซับซ้อนทำให้มีจุดอับสายตามากมาย
กล่าวได้ว่าพื้นที่ทดสอบของนักศึกษา 10 ดาว มันกินอาณาบริเวณกว้างขวางไม่ใช่เล่นๆเลย
“ต้วนหลิงเทียน ข้าขอตัวก่อน”
หลังกล่าวลาต้วนหลิงเทียนแล้ว โหวชิ่งหนิงก็เหินร่างมุ่งหน้าไปยังแนวเขาทันที ไม่นานนักร่างมันก็หายไปจากสายตาผู้คน
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
ติงเหยียนกล่าวชวนต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็พากันเหินร่างลงไปในป่าพร้อมๆกัน
ทว่าทันทีที่เข้าไปในป่า ติงเหยียนก็พบว่าร่างต้วนหลิงเทียนที่เคยอยู่ข้างกาย ไม่ทราบอันตรธานหายไปไหนแล้ว ราวคนสาบสูญไปในอากาศอย่างไรอย่างนั้น “แย่แล้ว!”
จังหวะนี้ติงเหยียนก็พึ่งตระหนักได้ ที่แท้แต่ต้นจนจบต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะไปกับมันเลย
“เจ้าบ้านั่น…มันไม่กลัวตายเลยหรือ?”
ติงเหยียนรู้สึกขุ่นเคืองอยู่บ้าง
แต่ก่อนนั้น ติงเหยียนไม่ได้เห็นใครในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเป็นเพื่อนสักคน แต่การประลองกับต้วนหลิงเทียนวันก่อนอีกฝ่ายนั้นแสดงความเมตตาต่อมัน ไม่ได้เอาชีวิตและทำร้ายมันหนักหนาสาหัสอะไร มันไม่เพียงรู้สึกขอบคุณต้วนหลิงเทียนมาก แต่ยังเห็นอีกฝ่ายเป็นเพื่อนทันที
เป็นเหตุผลว่าไฉนมันถึงได้พยามตีซี้ต้วนหลิงเทียนนัก
คนไม่มีเพื่อนมาก่อน พอมีคนที่น่าคบหาเป็นเพื่อน ไฉนจะไม่กระตือรือร้นเข้าไปตี้ซี้เล่า?
กระทั่งความกระตือรือร้นดังกล่าวของติงเหยียน ยังทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอึกอัดพอสมควร
เป็นก่อนหน้าติงเหยียนรบเร้าต้วนหลิงเทียนไม่เลิก จนต้วนหลิงเทียนที่ปฏิเสธไปหลายครั้งรู้สึกป่วยการ ก็เลยขี้เกียจปฏิเสธอีก เพียงรอให้ถึงเวลาแล้วค่อยชิ่งหนีติงเหยียนเอา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อคำพูดของติงเหยียน
หลังโดนติงเหยียนรบเร้าอยู่นานว่าตราบใดที่มันไปด้วย เขาจะไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่ เขาก็เริ่มตระหนักว่าบางทีติงเหยียนอาจมีความเป็นมายิ่งใหญ่สุดคิดคาดจริงๆ
เพียงแค่ เขาไม่อยากเป็นหนี้น้ำใจติงเหยียนก็เท่านั้น
ดุจเดียวกับที่เขาไม่อยากเป็นหนี้โหวชิ่งหนิงรวมถึงขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย
เพราะเขาเชื่อว่า ปัญหาครั้งนี้เขาจัดการมันได้ด้วยตัวเอง
“การทดสอบครั้งนี้ หมายให้นักศึกษา 10 ดาวทำการล่าสัตว์อสูรในพื้นที่ทดสอบให้ได้มากที่สุด…หลังเข่นฆ่าพวกมันแล้วเพียงให้ป้ายเก็บคะแนนสัมผัสกับเลือดของพวกมัน ก็จะได้รับคะแนนทันที”
“และหากพบว่าชิ้นส่วนหรืออวัยวะของสัตว์อสูรมีค่า ก็สามารถเลือกเก็บไว้เพื่อนำไปขายได้”
“การทดสอบนักศึกษา 10 ดาว เรียกว่าวัดกันในแง่ความเร็วในการล่าสัตว์อสูรก็ว่าได้ รวมถึงความสามารถในการจัดการสัตว์อสูรทั้งหลาย…บางทีก็มีสัตว์อสูรที่ชอบรวมกลุ่มกันจู่โจมผู้คน แม้สัตว์อสูรพวกนั้นตัวใดตัวหนึ่งอาจไม่มีอันตราย ทว่าด้วยจำนวนที่มากมายมหาศาล ก็มีนักศึกษาน้อยคนที่คิดจะปะทะด้วย เพราะสิ่งนี้จะทำให้เสียเวลาอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะฆ่าทั้งหมดหรือหลบหนีก็ไม่ใช่อะไรที่จะทำได้ง่ายๆ”
…
ก่อนจะเข้าสู่พื้นที่ทดสอบ ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับทราบจากติงเหยียนแล้ว ว่าการทดสอบครั้งีน้มีกฏหรือจุดที่ต้องระวังตรงไหนบ้าง และอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำในพื้นที่ทดสอบของนักศึกษา 10 ดาว
“ข้าพึ่งได้รับแจ้งมา…ตอนนี้เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันเข้ามาในพื้นที่ทดสอบแล้ว”
ลึกเข้าไปในป่ารกชัดใกล้แนวเทือกเขา ร่างพร่าเลือนคล้ายภูตผีที่ราวกับจะซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมากมาย ค่อยๆทยอยกันปรากฏตัวทีละคนๆ และมีผู้นำเป็นชายร่างบางคนหนึ่ง