ตอนที่ 3646 คณบดีเห็นชอบ การทดสอบ

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ชายร่างบางที่ว่า เป็นชายชราที่แลดูแก่หง่อมยิ่งนัก อย่างไรก็ตามสองตามันกลับทอประกายแหลมคมราวกับหมาป่าดุร้ายกำลังจับจ้องเหยื่อ
  เบื้องหลังมันปรากฏกลุ่มคนนับสิบ มีทั้งชายหนุ่มและวัยกลางคน แต่ละคนก็เผยกลิ่นอายกระหายเลือดออกมาอย่างไม่คิดจะปกปิด…เรียกว่าคนกลุ่มนี้ยามมารวมตัวกันไม่คล้ายกลุ่มคน แต่เป็นเหมือนฝูงหมาป่า!
  ชายชราร่างผ่ายผอมแก่หง่อมที่ว่า ก็เป็นผู้นำปฏิบัติการล่าสังหารต้วนหลิงเทียนครั้งนี้
  “พวกเจ้าเร่งทำการค้นหาเป้าหมายแบบปูพรมเสีย และระวังอย่าให้ใครรู้ตัว…หลังจากพบเป้าหมายแล้ว ให้เร่งส่งข้อความแจ้งสถานที่โดยเร็วที่สุด รอให้ข้ากับคนอื่นๆไปถึงก่อน แล้วรอคำสั่งลงมือจากข้า จักได้กลุ้มรุมสังหารเจ้าหนูนั่นในคราวเดียว…”
  “เจ้าหนูต้วนหลิงเทียนผู้นั้น แม้จะเป็นเพียงเทพขั้นกลาง แต่หากพวกเจ้าไม่เว้นข้าต้องสู้กับมันเพียงลำพัง เกรงว่าจักไม่มีผู้ใดรับมือมันได้ไหว”
  ชายชราร่างผอมกล่าวกำชับเสียงเคร่ง “เอาล่ะ ตอนนี้รีบแยกย้ายกันตามหามันเสีย!”
  “ทราบ!”
  ผู้คนนับโหลขานคำอยย่างพร้อมเพรียง เรียกว่าไม่มีใครพูดเร็วไปหรือช้าไป
  จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปโดยที่ไม่มีใครทับเส้นทางกันเลย ราวกับนัดกันมาแต่แรก และพริบตาก็หายลับเข้าไปในป่า ไม่ต่างอะไรกับปลาที่หวนคืนมหาสมุทร
  และหากมีใครพบเห็นการเคลื่อนไหวของพวกมัน ก็คงอดแปลกใจไม่ได้ เพราะแต่ละคนประหนึ่งพรานป่ามือฉมัง ไม่ว่าจะพบเจอสภาพแวดล้อมแบบไหน ก็สามารถปกปิดตัวเองได้อย่างแยบคาย
  ต่อให้จะอยู่ใกล้กับคนกลุ่มนี้มาก แต่ถ้าไม่ได้แผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบโดยละเอียด เกรงว่าคงไม่อาจหาตัวพวกมันพบ
  และคนกลุ่มนี้ก็คือพวกเดนตายของตระกูลจ้ง ตระกูลระดับราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์ รับหน้าที่จัดการเรื่องสกปรกทั้งหลายให้ตระกูลจ้งโดยเฉพาะ
  ขณะเดียวกัน
  พื้นที่ป่าส่วนอื่นก็มีความเคลื่อนไหวทำนองเดียวกัน
  อย่างไรก็ตามกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวทำนองเดียวกันนั้น แต่ละกลุ่มมีแค่ 5-6 คนเท่านั้น ไม่ได้มากมายเท่าคนของตระกูลจ้ง อย่างไรก็ตามพวกมันไม่ว่าใครก็ให้ความรู้สึกเฉยชาไร้แสแถมกระหายเลือดเป็นที่สุด…ผู้คนเหล่านี้ก็คือหน่วยเดนตายของตระกูลอื่นๆในเมืองวายุสวรรค์
  กระทั่งตระกูลโจวเองก็ส่งพวกเดนตายมา
  พวกเดนตายที่ว่า ก็มาเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนโดยเฉพาะ!
  อย่างไรก็ตาม เหตุผลในการเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนของพวกมัน เป็นอะไรที่แตกต่างจากตระกูลจ้งโดยสิ้นเชิง
  ตระกูลจ้งคิดฆ่าต้วนหลิงเทียน เพราะต้วนหลิงเทียนหักหน้าจ้งเค่อฉีจนสุดท้ายก็มีเรื่องบาดหมางกับตระกูลจ้ง หากไม่รีบฆ่าต้วนหลิงเทียนแต่เนิ่นๆ วันหน้ารอให้ต้วนหลิงเทียนเติบโตแกร่งกล้ามากไปกว่านี้ เกรงว่าจะเป็นภัยซ่อนเร้นถึงตายของตระกูลจ้งแล้ว
  สำหรับตระกูลราชาเทพอื่นๆในเมืองวายุสวรรค์ เหตุผลที่คิดลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียน ก็เพื่อป้ายสีตระกูลจ้ง
  ขณะเดียวกัน ก็เป็นเรื่องดีสำหรับพวกมันที่ชิงฆ่าอัจฉริยะที่ไม่คิดเข้าร่วมกับพวกมันตั้งแต่ในเปล เพื่อไม่ให้กลายเป็นหนามยอกอกในภายภาคหน้า และพวกมันก็มีความสุขความยินดีนักที่ได้เข่นฆ่าอัจฉริยะเช่นนี้
  …
  “ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คนของตระกูลจ้งเท่านั้น ที่ส่งคนมาฆ่าต้วนหลิงเทียน…”
  สูงขึ้นไปเหนือเทือกเขาอันสลับซับซ้อนริมป่ารกชัด อวี๋เชียนซานที่เหินร่างกลางหาว ถอนสำนึกเทวาที่แผ่ปกคลุมพื้นที่ป่าส่วนหนึ่งกลับมา ส่ายหน้าเบาๆพลางกล่าวพึมพำ
  พื้นที่ทดสอบนักศึกษา 10 ดาว ไม่ใช่น้อยๆ
  ถึงแม้ตัวมันจะเป็นราชาเทพขั้นสูง ทำให้สำนึกเทวะสามารถแผ่ออกไปปกคลุมพื้นที่กว้างขวาง แต่กระนั้นก็เพียงปกคลุมได้แค่ส่วนหนึ่งของพื้นที่ทดสอบเท่านั้น ไม่อาจปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ทดสอบนักศึกษา 10 ดาวทั้งหมดได้
  และไม่นานหลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนหายเข้าไปในป่า มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปจากรัศมีตรวจจับสำนึกเทวะของมันในเวลาอันสั้น จนมันไม่อาจติดตามตำแหน่งต้วนหลิงเทียนได้อีกต่อไป
  อย่างไรก็ตาม มันยังคงสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างในป่า
  แต่ถึงแม้จะสัมผัสได้ดังนั้น ทว่ามันกลับถอนรั้งสำนึกเทวะกลับมาโดยไม่คิดจะลงมือทำอะไรเลย ราวกับไม่คิดจะทำอะไรต่อแล้วจริงๆ
  “อาวุโสเชียนซาน”
  อาจารย์ที่ลอยร่างอยู่ไม่ไกลจากอวี๋เชียนซานมากนัก หลังได้ยินวาจาพึมพำของอวี๋เชียนซาน มันก็คิดถามอะไรบางอย่าง ทว่าพึ่งจะเรียกหาชื่อออกมา ก็โดนอวี๋เชียนซานกล่าวขัดเสียก่อน “ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้ว ว่าตอนนี้เจ้ากับข้าไม่ได้อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับแต่เป็นสถานศึกษาหมอกเร้นลับ เจ้าไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้ว”
  “อยู่ในสถานศึกษา ก็เรียกหาให้เหมาะสมเถอะ”
  ฟังจากน้ำเสียงของอวี๋เชียนซาน เห็นชัดว่ารำคาญไม่น้อย
  “ทราบแล้วอาจารย์อวี๋”
  อาจารย์คนเดิมคลี่ยิ้มแหยๆขานรับ จากนั้นก็กล่าวคำที่จะพูดก่อนหน้านี้ออกมาตรงๆ “ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเข้าร่วมการทดสอบครานี้ มันไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ? อีกทั้งพวกเราจักอยู่ที่นี่ไม่ลงมือทำอันใดเลย?”
  “ผู้ใดบอกว่าพวกเราไม่ทำอะไรเล่า?”
  อวี๋เชียนซานกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ที่พวกเราอยู่ที่นี่ ก็เพื่อเฝ้าระวัง เมื่อใดก็ตามที่มีราชาเทพบุกเข้ามาในพื้นที่ทดสอบ พวกเราจักได้ลงมือทันท่วงที ฆ่าราชาเทพที่ไม่รู้ที่ตาย!”
  กล่าวถึงจุดนี้อวี๋เชียนซานก็หันไปมองถามอาจารย์อีกคนที่เหินร่างไม่ห่างมันเท่าไหร่ “อาจารย์จู้ชุน ท่านว่าเช่นนั้นหรือไม่?”
  “เอ่อ?”
  เห็นได้ชัดว่าจู้ชุนกำลังเหม่อคิดอะไรไปเรื่อย พอได้ยินอวี๋เชียนซานทัก มันก็ดึงสติกลับมา มองตอบอวี๋เชียนซานด้วยสายตาเคารพระคนหวาดกลัว “ใช่ๆ อาจารย์อวี๋กล่าวถูกแล้ว”
  ถึงแม้มันจะไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไรก่อนหน้า แต่มันจำเป็นต้องได้ยินชัดเจนหรือไม่?
  ไม่จำเป็น!
  ถึงแม้จะล้วนเป็นอาจารย์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับดุจเดียวกัน แต่มันยังสำเหนียกถึงความแตกต่างระหว่างมันกับอาจารย์อวี๋ผู้นี้ดี
  อีกฝ่ายไม่เพียงแต่เป็นคนของคณบดีผู้นั้น กระทั่งตำแหน่งในนิกายหมอกเร้นลับก็สูงไม่ใช่ชั่ว เหตุไฉนที่มารับหน้าที่เป็นอาจารย์ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็เพียงเพราะเบื่อหน่ายชิตในนิกาย และอยากออกมาผ่อนคลายเท่านั้นเอง
  ต่างจากตัวมัน ที่เลือกจะเสนอตัวมารับตำแหน่งอาจารย์ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเพื่อให้มีประวัติอันดี หลังจากกลับไปนิกายแล้ว จะได้มีโอกาสเลื่อนขั้นมากขึ้น
  “อาจารย์จู้ชุน”
  อาจารย์อีกคนที่ยัยงไม่พูดอะไรออกมาแต่แรก บัดนี้หันไปหยีตามองถามจู้ชุนด้วยสายตาเป็นประกาย “ครานี้ตระกูลจ้งส่มควรส่งคนมาไล่ฆ่าต้วนหลิงเทียนในพื้นที่ทดสอบไม่น้อยเลยกระมัง?”
  พอได้ยินคำถามดังกล่าว สีหน้าจู้ชุนก็เปลี่ยนไปทันที แต่หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว มันก็ส่ายหน้ากล่าวตอบไปว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้หรอก…อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลจ้งคงไม่มีความกล้ากระมัง?”
  “อ้อ จริงรึ?”
  เห็นได้ชัดว่าอาจารย์คนดังกล่าวไม่คิดปล่อยจู้ชุนไปง่ายๆ “แต่เมื่อครู่มิใช่อาจารย์อวี๋พบเจอคนนอกในพื้นที่ทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของพวกเราหรอกหรือไร? หรือท่านคิดว่านั่นมิใช่พวกเดนตายของตระกูลจ้ง?”
  “ข้าจะไปทราบได้อย่างไร…”
  จู้ชุนส่ายหัวไปมา จากนั้นก็หันไปมองอวี๋เชียนซานพร้อมถามว่า “อาจารย์อวี๋ หากท่านรู้สึกว่าคนเหล่านั้นน่าสงสัย ข้าสามารถไปจับตัวพวกมันมามอบให้ท่าน แล้วให้ท่านสอบสวนพวกมันด้วยตัวเองดีหรือไม่?”
  เป็นธรรมดาว่าจู้ชุนเพียงกล่าวอย่างขอไปที
  เพราะมันรู้ดีว่าอวี๋เชียนซานไม่ให้มันทำอะไรแบบนั้นแน่นอน
  อาจารย์คนอื่นๆนั้นอาจถูกส่งไปจับตัวคนเหล่านั้นได้ แต่มันไม่มีทางถูกส่งตัวไปแน่ เพราะไม่ว่าใครก็รู้ว่ามันมีความสัมพันธ์กับตระกูลจ้ง หากมันลงมือด้วยตัวเอง เกิดมันไม่ได้ไปจับคนแต่ไปเล่นงานต้วนหลิงเทียนเสียเองเล่า?
  “ไม่จำเป็น”
  แน่นอนว่าจู้ชุนเดาถูก อวี๋เชียนซานส่ายหน้าบอกปัด ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ เหมือนพวกเราก็พอ”
  “และหลังจากนี้หากมีใครทำลายป้ายเก็บคะแนน เจ้าก็มากับข้าเสีย”
  ฟังจากคำพูดของอวี๋เชียนซาน เห็นได้ชัดว่าตั้งใจ ‘ผูกติด’ จู้ชุนไว้กับตัว ด้านจู้ชุนเองก็ไม่แปลกใจอะไรกับเรื่องนี้ จึงพยักหน้าขานรับตอบคำ ‘ได้’ ออกไปเร็วไว
  “อาจารย์อวี๋”
  อาจารย์ที่เอ่ยถามอวี๋เชียนซานออกมาเป็นคนแรก หันไปมองอวี๋เชียนซานพลางย่นคิ้วเล็กน้อยค่อยกล่าวว่า “ท่านกับท่านคณบดีคิดอ่านอันใดอยู่กันแน่? ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นอย่าว่าแต่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเลย ต่อให้เป็นในนิกายหมอกเร้นลับของพวกเราก็นับว่าเป็นอัจฉริยะอันโดดเด่นนัก”
  “ปล่อยให้เจ้าหนูนั่นเข้าร่วมการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวเช่นนี้ ไยมิใช่ปล่อยให้มันเสี่ยงเกินเหตุไปหน่อยหรือ?”
  “หรือท่านกับท่านคณบดี คิดมองดูดาวอัจฉริยะที่โดดเด่นเช่นนี้ต้องมาร่วงหล่น?”
  พออาจารย์คนดังกล่าวถามจบคำ อาจารย์คนอื่นๆไม่เว้นจู้ชุนก็หันไปมองอวี๋เชียนซานเช่นกัน
  อวี๋เชียนซานกวาดตามองอาจารย์ทั้ง 3 รอบหนึ่งค่อยกล่าวตอบเสียงเรียบว่า “เจ้าหนุ่มนั่นมิใช่เด็ก 3 ขวบ มันย่อมมีความคิดของมัน ในเมื่อมันเลือกเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ แทนที่จะไปกล่าวคำใดกับท่านคณบดี เห็นชัดว่ามันมีความคิดของมัน และตัดสินใจเลือกเข้าร่วมการทดสอบด้วยตัวเอง”
  “ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว หรือพวกเจ้าจะให้ข้ากับท่านคณบดีไปร้องขอมันว่าอย่าได้เข้าร่วมการทดสอบนักศึกษา 10 ดาว?”
  “นอกจากนั้น ข้ากับท่านคณบดีเองก็อยากรู้เช่นกัน…ว่าความมั่นใจของมันมาจากที่ใด?”
  “หากมันพินาศตายตกไปแต่เพียงเท่านี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับอัจฉริยะดาษๆที่ไม่ต่างพลุไฟในสายธารประวัติศาสตร์สถานศึกษาหมอกเร้นลับ…แต่หากมันสามารถรอดชีวิตมาได้ นั่นหมายความว่ามันไม่ธรรมดา!”
  “ท่านคณบดียังบอกข้าเองว่า…หากมันสามารถรอดชีวิตกลับมาจากการทดสอบได้โดยไม่พึ่งกำลังภายนอกใดๆ ท่านคณบดีจักพิจารณาให้มันเข้านิกายหมอกเร้นลับของพวกเราก่อนกำหนด ยังจักแนะนำให้มันเป็นศิษย์หลักของนิกาย เพลิดเพลินไปกับทรัพยากรเลิศล้ำและการฟูมฟักอย่างดีที่สุด!”
  พออวี๋เชียนซานกล่าวจบคำ อาจารย์ทั้ง 3 ก็แตกตื่นทันที
  ที่แท้การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวครั้งนี้ คณบีดีไม่เพียงเห็นชอบ แต่ยังมองเป็นการทดสอบต้วนหลิงเทียน!
  “ศิษย์หลัก…”
  อาจารย์ทั้ง 3 ยังหันมามองหน้าสบตากัน ก่อนจะเห็นซึ้งถึงความตกใจในแววตากันและกัน
  หากต้วนหลิงเทียนกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับจริงๆ เช่นนั้นฐานะของต้วนหลิงเทียนในนิกายหมอกเร้นลับก็จะไม่ด้อยไปกว่าพวกมันเลย…เพราะศิษย์หลักนั้นอย่างน้อยๆก็มีศักดิ์ศรีเทียบได้กับอาวุโสฝ่ายในอย่างพวกมันแล้ว!
  นอกจากนั้นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับก็ไม่ได้มีมากมายอะไร และมีจำนวนคงที่อยู่ที่ 100 คนเสมอ…
  …
  ด้านต้วนหลิงเทียนที่กำลังหายตัววูบไปในป่าด้วยความเร็วราวภูตผีนั้น ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงอย่างมีความหมาย
  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่รอดูผลลัพธ์ครั้งนี้ยังเป็นตัวคณบดีอีกด้วย!
  สถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยเขา!
  แน่นอนว่าก็ไม่ถึงกับไม่ช่วยเลย
  อย่างน้อยๆสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่คิดปล่อยให้ราชาเทพลงมือกับเขา
  สำหรับตัวตนที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชาเทพนั้น สถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่สนว่าจะมีเท่าไหร่และร้ายกาจแค่ไหน จะลงมือกับต้วนหลิงเทียนอย่างไร เรียกว่าไม่สนใจเลย!
  ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเป็นอัจฉริยะ แต่ในนิกายหมอกเร้นลับรวมถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ไม่ใช่ว่าจะขาดอัจฉริยะที่เทียบได้กระทั่งเหนือกว่าเขา…ด้วยเหตุนี้สถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ไม่ใช่ถึงขั้นไม่อาจเสียอัจฉริยะเช่นเขาไปได้ เพียงแค่หากเสียไปก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้างเท่านั้น
  วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ! วูบ!
  ต้วนหลิงเทียนหายตัวเคลื่อนร่างไปมาในป่าราวภูตพราย และไม่ว่าสัตว์อสูรที่เขาพบเจอจะเก่งกาจหรืออ่อนด้อย ทั้งหมดก็ล้วนล้มลงสิ้นชีพในพริบตา อย่าว่าแต่ต้านทาน ยังไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนทันได้เห็นร่างเขาชัดเจนด้วยซ้ำ
  ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงลงมือโดยใช้การผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏมิติเท่านั้น เขายังนำอุปกรณ์เทพออกมาใช้อีกด้วย
  แน่นอนว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์เทพระดับต่ำ ที่ยังไม่กำเนิดจิตวิญญาณ
  เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง
  กระบี่ในมือถูกควบคุมให้เหินบินปลิดชีพสัตว์อสูรราวมังกรคะนอง กระบี่พุ่งไปคราใดล้วนมีสัตว์อสูรล้มลงไปนอนตาย
  ด้วยความเร็วในการล่าสังหารอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ หลังเข่นฆ่าไปหลายวันเข้า ต้วนหลิงเทียนก็จดจำไม่ได้แล้วว่าฆ่าสัตว์อสูรไปมากมายเท่าไหร่ ยังเข่นฆ่าจนใจด้านชาไปเสียแล้ว…
  จนถึงเช้าวันนี้ ในขณะที่วูบร่างลงมืออยู่ต้วนหลิงเทียนคล้ายจับสัมผัสอะไรบางอย่างได้ สองตาของเขาเป็นประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง มุมปากยังยกยิ้มแสยะขึ้นมา ‘ในที่สุดก็โผล่หางออกมาแล้วหรือ…’