ระหว่างเดินทางไปยังนิกายหมอกเร้นลับ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ฟังคำยืนยันจากปากถังชง ว่าการทดสอบประเมินศิษย์หลักครั้งต่อไปของนิกายหมอกเร้นลับ จะเริ่มต้นขึ้นในอีก 6 เดือนหลังจากนี้
“ตอนนี้เมื่อเจ้าเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับ…สถานะของเจ้าจักเป็นเพียงแค่ศิษย์สายในเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าได้รับสถานะศิษย์สายในแล้ว เจ้าก็จักได้รับการดูแลส่งเสริมในฐานะศิษย์สายในจากนิกายเต็มที่”
ถังชุนกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “ปกติแล้วถึงแม้จะมีคำแนะนำจากรองประมุขนิกาย เจ้าก็มิอาจเข้าสู่นิกายล่วงหน้าได้ จนกว่าการประเมินทดสอบศิษย์หลักจะเริ่มขึ้น…แต่คราวนี้รองประมุขกลับได้แนะนำเจ้ามาถึง 2 อย่าง”
“อย่างแรกเลยก็คือการเสนอชื่อของเจ้าให้กลายเป็นศิษย์หลักนิกาย”
“อย่างที่สองคือแนะนำให้เจ้าเข้าสู่นิกายก่อนกำหนดและรับสถานะศิษย์สายในของนิกาย”
“อย่างไรเสียตามกฏของนิกาย ศิษย์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ หลังเอนระดับกลายเป็นนักศึกษา 10 ดาวได้แล้ว จำต้องรอให้อายุถึงเกณฑ์ก่อน จึงจะเข้าสู่นิกายได้”
“นี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่รองประมุขมู่หรงแนะนำผู้อื่นให้เข้าสู่นิกายก่อนกำหนด หลังไปทำหน้าที่เป็นคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ สาขาเมืองวายุสวรรค์…และเพราะเป็นครั้งแรกที่รองประมุขมู่หรงแนะนำ ทางนิกายจึงตอบรับทันที”
“หากเจ้าเป็นคนที่สองที่ได้รับการแนะนำ ทางนิกายคงไม่เดินเรื่องเร็วขนาดนี้”
หลังได้ฟังเรื่องราวจากถังชง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงมู่หรงสุยเฟิง คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์ขึ้นมา…ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะทำเพื่อเขามากขนาดนี้
และเขาก็ไม่ได้สงสัยในคำพูดของถังชง ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องใหญ่แบบนี้ หลังเข้าสู่นิกายเพียงไปสอบถามดู เขาก็รู้ได้ไม่ยาก
แถมถังชุนไม่จำเป็นต้องโกหก
…
“อีกไม่ไกล ก็จะถึงพื้นที่นิกายแล้ว”
ภายใต้การนำของถังชง ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างมาถึงพื้นที่ป่ารกชด อันมีต้นไม้สูงใหญ่ราวกับดำรงอยยู่มานานนับหมื่นนับแสนปี อีกทั้งยิ่งล่วงล้ำลึกเข้ามาในป่ามากเท่าไหร่ หมอกก็จะเริ่มหนาขึ้นมากเท่านั้น
ในอดีตต้วนหลิงเทียนก็เคยเข้าสู่พื้นที่ส่วนกลางของสถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้ว ยังมีขุมกำลังอื่นๆมากมายในระนาบเทวโลกที่มักใช้ม่านหมอกบดบังสถานที่ อย่างไรก็ตาม ทุกที่ๆเขาเคยไปม่านหมอกนั้นก็มีแค่ไม่กี่ชั้นเท่านั้น
แต่ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนที่ติดตามถังชงมา เขาสัมผัสได้ว่าได้พุ่งผ่านม่านหมอกชั้นต่างๆไปนับสิบๆชั้นแล้ว แถมชั้นหลังๆยิ่งมาหมอกก็ยิ่งหนาขึ้นทุกขณะ เรียกได้ว่าทัศนวิสัยในปัจจุบันมันไม่ถึง 100 หมี่ด้วยซ้ำ กระทั่งสำนึกเทวะของเขาก็ถูกจำกัดไว้
เห็นได้ชัดว่าหมอกเหล่านี้เป็นผลจากค่ายกลแน่นอน
“ถึงแล้ว”
จนเมื่อผ่านม่านหมอกชั้นที่ 99 เข้ามา ต้วนหลิงเทียนจึงเห็นแสงสว่างเบื้องหน้าอีกครั้ง ปและเสียงของถังชุนก็ดังขึ้นอย่างประจวบเหมาะ บอกต้วนหลิงเทียนว่าถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว
ต้วนหลิงเทียนหันมองไปรอบๆ เขาก็พบว่าเบื้องล่างไม่ได้เป็นพื้นที่ป่ารกชัดหรือพื้นที่ภูเขาอีกต่อไป แต่เป็นที่ราบทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา เหลือสูงขึ้นไปบนฟ้าเหนือทุ่งหญ้า ก็ปรากฏเกาะมหึมาลอยล่องอยู่ปานวิมานฟ้า
พื้นที่ของเกาะลอยนั้นกว้างใหญ่ไพศาลนัก มองปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันทีว่าอยย่างน้อยๆมันก็ต้องมีพื้นที่พอๆกับเมืองวายุสวรรค์นับพันเมือง บนตัวเกาะก็มีอาคารปลูกสร้างเป็นหย่อมๆ มีพื้นที่ว่างทั้งป่าและภูเขาสูงชันมากมาย
เห็นได้ชัดว่าอาคารทั้งหมดของนิกายหมอกเร้นลับอยู่บนเกาะลอยฟ้ามหึมาแห่งนี้
และด้านนอกเกาะลอยฟ้าอันเป็นพื้นที่ตั้งนิกายหมอกเร้นลับ ก็เต็มไปด้วยม่านหมอกปกคลุมไปทั่วทิศ ทำให้เกาะลอยเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนถูกขับเน้นให้โดดเด่นขึ้นมาราวกับจะมีประกายแสงสาดส่องวิบวับ
“ม่านหมอกทั้ง 99 ชั้นที่ข้าพาเจ้าผ่านเข้ามาเมื่อครู่ ก็คือค่ายกลพิทักษ์ชั้นนอกของนิกาย…หากไม่ใช่คนของนิกายหมอกเร้นลับ ไม่มีทางผ่านค่ายกลเหล่านั้นมาได้อย่างราบรื่นเป็นแน่”
ถังชุนหันไปเอ่ยกับต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เป็นเพราะข้ามีป้ายประจำตัวของอาวุโสฝ่ายในนิกาย จึงสามารถผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก…และยังสามารถพาคนเข้าออกได้ แต่ถูกจำกัดไว้แค่ 3 คนเท่านั้น” “และนี่ยังเป็นเพราะข้าเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในแล้วด้วย…”
“หากเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกหรือศิษย์สายในของนิกาย จะสามารถนำพาคนนอกเข้ามาได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
“สำหรับศิษย์สายนอกของนิกาย ไม่มีสิทธิ์นำพาผู้ใดเข้ามา ทำได้เพียงผ่านเข้าออกนิกายได้ลำพังเท่านั้น”
“แน่นอนว่าในเมื่อศิษย์หลักก็จักได้รับสิทธิ์เท่าเทียมกับอาวุโสฝ่ายใน เช่นนั้นก็จะสามารถนำพาคนนอกเข้ามาได้ 3 คนเช่นกัน”
“หากมีผู้คนที่คิดจะพาเข้ามามากกว่านั้น ก็จำต้องแจ้งให้สหายในนิกายทราบ เพื่อจะให้ออกมาช่วยกันพาคนเข้านิกาย…หากไม่มีคนพาเข้าและคิดอาศัยกำลังบุกเข้ามา เช่นนั้นก็จะพบเจอกับการโมตีของค่ายกลพิทักษ์ หากด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตราชาเทพ ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว และต่อให้เป็นจอมราชันเทพก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส!”
หลังได้ยินคำพูดของถังชุน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของม่านหมอก 99 ชั้นที่เขาพึ่งผ่านเข้ามา
“นอกจากนั้นนิกายหมอกเร้นลับเราก็ไม่ได้มีแค่ค่ายกลพิทักษ์ชั้นนอกเท่านั้น ยังมีค่ายกลพิทักษ์ชั้นในอีกด้วย…เจ้าลองมองไปดูเถอะ สังเกตเห็นม่านหมอกบางๆที่ปกคลุมตัวเกาะอีกชั้นอย่างยากจะมองเห็นหรือไม่? แม้เจ้าอาจคิดว่านั่นเป็นเพียงหมอกที่เกิดจากธรรมชาติ แต่ที่จริงแล้วก็เป็นผลจากค่ายกลป้องกันเช่นกัน…”
“และจุดนี้ หากไม่มีป้ายประจำตัว ก็ไม่อาจล่วงล้ำผ่านเข้าไปได้เด็ดขาด”
“ถึงแม้ข้าจะพาเจ้าผ่านค่ายกลพิทักษ์ชั้นนอกมาได้ แต่ข้าเองก็ไม่อาจพาเจ้าผ่านค่ายกลพิทักษ์ชั้นในได้…หากเจ้าคิดจะผ่านค่ายกลชั้นใน จำต้องได้รับการอนุญาตจาก ‘โถงผู้พิทักษ์’ ก่อนสถานเดียว”
พอกล่าวถึงจุดนี้ ถังชงก็เริ่มอธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “โถงผู้พิทักษ์นั้น เป็นดั่งผู้พิทักษ์ของนิกายหมอกเร้นลับเราก็ว่าได้…หน้าที่ของโถงผู้พิทักษ์มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือปกป้องนิกาย”
“และผู้คนของโถงผู้พิทักษ์ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้จงรักภักดีต่อนิกายทั้งสิ้น…หรือกล่าวให้ชัดก็คือ ทั้งหมดเป็นพวกเดนตาย”
ขณะกล่าวถึงจุดนี้ ถังชุนก็หันรีหันขวางรอบๆอย่างระมัดระวัง ก่อนจะกล่าวบอกประโยคหลังให้ต้วนหลิงเทียนฟังด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง
“ทุกคนล้วนเคยสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อนิกาย…หากกล้าผิดคำสาบาน ก็มีแต่หนทางตายสถานเดียว”
“หากคนนอกคิดจะเข้าสู่นิกายนั้น เว้นเสียแต่จะถูกนำพามาโดยผู้อาวุโสหลักหรือผู้ที่มีสถานะสูงกว่านั้น ที่เหลือไม่ว่าใครก็ต้องได้รับการอนุญาตจากพวกมันก่อนถึงจะเข้ามาได้”
หลังถังชุนกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจถึงความเข้มงวดกวดขันของนิกายหมอกเร้นลับ “การผ่านเข้าออกนิกายหมอกเร้นลับ นับว่าเข้มงวดกวดขันจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถังชุน จากนั้นก็คลี่ยิ้มกล่าวถามว่า “ข้าฟังแล้วรู้สึกเหมือนระวังตัวเกินใช่เหตุอย่างไรไม่ทราบ…หรือว่าในอดีตนิกาหมอกเร้นลับเคยประสบความสูญเสียเพราะเรื่องคนนอกบุกเข้ามาก่อน?”
“ข้าเองก็ได้ยินมาว่ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าที่แท้เรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
หลังจากถังชุนพยักหน้ารับคำ มันก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ พลางกล่าว “อย่างไรก็ตาม ให้พูดว่ามาตรการป้องกันของนิกายหมอกเร้นลับเราเหนือกว่าขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอื่นๆก็ไม่ผิด…แม้แต่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเอง บางแห่งมาตรการป้องกันยังไม่เยอะอย่างเท่าพวกเราด้วยซ้ำ”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของถังชุน ต้วนหลิงเทียนก็มั่นใจได้ทันที ว่าในอดีตนิกายหมอกเร้นลับสมควรโดนดีอะไรมาก่อนแน่นอน… อย่างไรก็ตาม ในเมื่อถังชุนเองก็ไม่รู้เรื่องนี้แน่ชัด ดูเหมือนว่าระดับสูงๆของนิกายหมอกเร้นลับเองก็ไม่อยากจะพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวสักเท่าไหร่ ทำให้อาวุโสฝ่ายในอย่างถังชุนเองก็ไม่อาจหาข้อมูลได้
“ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ติดต่อไปหาคนของโถงผู้พิทักษ์แล้ว…รอสักครู่ ก็จะมีคนออกมารับพวกเรา”
ถังชุนหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนต่อ “หลังจากเจ้าเข้าสู่นิกาย และทำตามขั้นตอนลงทะเบียนเป็นศิษย์สายในแล้วเสร็จ…เจ้าก็จะได้รับป้าประจำตัวของเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะผ่านเข้าออกไปไหนมาไหนก็สะดวกแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับรู้
จากนั้นทั้งสองคนก็ลอยร่างรอคอยอยู่ครู่หนึ่ง
หลังผ่านไปไม่กี่สิบลมหายใจ จากเกาะลอยเบื้องหน้า ก็ปรากฏร่างหนึ่งลอยฝ่าเมฆหมอกออกมาฉับไวดั่งประกายแสง พริบตาก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนราวภูตผี เป็นชายในชุดคลุมสีดำสนิท ใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เหลือบมองต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย ค่อยหันไปกล่าวถามถังชุนเสียงเรียบว่า “อาวุโสถังชุน ชายหนุ่มคนนี้ก็คือต้วนหลิงเทียน นักศึกษา 10 ดาวจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับที่ท่านพากลับมาใช่หรือไม่?”
“ใช่”
ถังชุนพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็แนะนำต้วนหลิงเทียนให้รู้จักอีกฝ่าย “ต้วนหลิงเทียน นี่คือหัวหน้าโถงที่ 3 แห่งโถงผู้พิทักษ์”
พอกล่าวจบ ถังชุนก็กล่าวส่งเสียงผ่านพลังบอกราละเอียดต้วนหลิงเทียนเพิ่มเติม ว่าในโถงผู้พิทักษ์นั้น มีชนชั้นหัวหน้าโถงทั้งสิ้น 10 คน และแต่ละคนจะมีนักรบเดนตายใต้บังคับบัญชา 100 คน…และในบรรดาหัวหน้าโถงทั้ง 10 นั้น มี 2 คนที่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพ ส่วนที่เหลืออีก 8 คนล้วนเป็นราชาเทพขั้นสูง ยังเป็นชนชั้นยอดฝีมือขอบเขตราชาเทพขั้นสูงอีกด้วย…
สำหรับนักรบเดนตายของโถงผู้พิทักษ์นั้น ผู้ที่อ่อนแอที่สุดอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพขั้นต่ำ
‘เช่นนั้นในโถงผู้พิทักษ์ก็มีนักรบเดนตายทั้งสิ้น 1,000 คนเลยน่ะสิ…’
ฟังถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดทึ่งไม่ได้ เพราะนั่นคือพวกเดนตาย ไม่ใช่ศิษย์ทั่วไปของนิกายหมอกเร้นลับ
“หัวหน้าโถง 3”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักทาผู้มาใหม่ทันที
แต่ผู้มาใหม่กลับไม่คิดจะทำความรู้จักกับเขา เพียงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “นำป้ายประจำตัวนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับเจ้าออกมาเสีย”
ได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เรียกป้ายประจำตัวนักศึกษา 10 ดาวของเขาออกมาแล้วยื่นไปเบื้องหน้าอีกฝ่ายทันที
หลังจากอีกฝ่ายตรวจและยืนยันป้ายว่าไม่แปลกปลอมแล้วเสร็จ มันก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาโบกส่งๆ พลันปราฏพลังไร้สภาพขุมหนึ่งแผ่มาปกคลุมไปทั่วร่างต้วนหลิงเทียน “อย่าได้ต่อต้าน หาไม่แล้วเจ้าก็แบกรับความเสี่ยงเอาเอง!”
พร้อมๆกันกับที่พลังดังกล่าวแผ่ออกมาปกคลุม เสียงเย็นชาไม่แยแสก็ดังขึ้นพอดี
วินาทีต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาถูกอีกฝ่ายใช้พลังหอบหิ้วผ่านม่านหมอกอันเป็นค่ายกลพิทักษ์ชั้นใน และเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับอย่างเป็นทางการ
ถังชุนก็เหินร่างตามมาติดๆ
“รบกวนหัวหน้าโถง 3 แล้ว”
ถังชุนหันไปมองกล่าวขอบคุณกับหัวหน้าโถง 3 แห่งโถงผู้พิทักษ์ด้วยรอยยิ้ม อนิจจาอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมองหน้าถังชุนด้วยซ้ำ มันหันหลังจากไปทันที พริบตาร่างมันก็หายไปจากสายตาของต้วนหลิงเทียนและถังชุน
“คนของโถงผู้พิทักษ์ก็ไม่ค่อยสนใจผู้ใดเช่นนี้ล่ะ…เจ้าแค่ชินกับมันเถอะ”
ถังชุนหันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าเข้าใจ
“ไปกันเถอะ…ข้าจะพาเจ้าไปทำเรื่องลงทะเบียนเพื่อเข้าสู่นิกายชั้นใน”
หลังจากนั้นถังชุนก็กล่าวทักต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ก่อนจะนำพาต้วนหลิงเทียนเข้าสู่พื้นที่ส่วนในของนิกายหมอกเร้นลับ…และด้วยมีถังชุนผู้เป็นอาวุโสฝ่ายในเดินเรื่องให้ต้วนหลิงเทียนด้วยตัวเอง ขั้นตอนการลงทะเบียนของต้วนหลิงเทียนจึงมีประสิทธิภาพมาก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดียวจากการลงทะเบียนศิษย์สายในคนอื่น ขั้นตอนและกระบวนการทั้งหมดก็เสร็จสิ้น
“ต้วนหลิงเทียน ข้ายังมีเรื่องที่ต้องไปสะสาง…เช่นนั้นข้าจะเรียกใครสักคนมาพาเจ้าไปยังเขตที่พักของศิษย์สายใน”
หลังเสร็จสิ้นขั้นตอนลงทะเบียนแล้ว ถังชุนก็หันมากล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเมื่อเดินออกมาถึงหน้าอาคาฝ่าทะเบียน และไม่นานนักหลังจากที่ถังชุนพูดจบคำ ร่างสตรีนางหนึ่งก็เหินลงจากฟ้ามาปรากฏตัวต่อหน้าต้วนหลิงเทียน
เป็นสตรีมาในชุดจอมยุทธ์หญิงแลดูทะมัดทะแมงสีแดงสด รูปโฉมยังแลดูหน้ารักจิ้มลิ้ม ถึงแม้จะไม่ได้งดงามเทียบเท่าภรรยาทั้ง 2 ของต้วนหลิงเทียน และนับว่าด้อยกว่าฮ่วนเอ๋อมาก แต่ให้เทียบกับสตรีทั่วไปแล้ว นางก็นับว่าเป็นโฉมงามที่หาตัวจับยากคนหนึ่ง
“อู๋เยียน คารวะท่านปู่เล็ก”
หลังสตรีนางนี้ปรากฏตัว นางก็หันไปป้องมือคารวะทักทายถังชุนด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม แต่หางตาของนางกลับลอบมองต้วนหลิงเทียนด้านข้าง ลึกลงไปในแววตายังเผยความประหลาดใจอยู่บ้าง
“ฮ่าๆๆ…อู๋เยียนพอดีปู่เล็กมีเรื่องต้องรีบไปจัดการ เรื่องต้วนหลิงเทียนต้องลำบากเจ้าแล้ว”
ถังชุนกล่าวกับสตรีผู้มาใหม่ ถังอู๋เยียน ผู้เป็นหลานสาวด้วยรอยยิ้ม “ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะมาถึงนิกายหมอกเร้นลับ เจ้าก็พาไปดูที่ทางหน่อยเถอะ”
ถังอู๋เยียนนั้นเป็นลูกหลานของตระกูลถังที่อยู่เบื้องหลังถังชุน และยังเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นรองจากมัน กล่าวได้ว่าเป็นชนรุ่นหลังคนเดียวที่สามารถเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับชั้นในได้
ส่วนชนรุ่นหลังที่เหลือ ต่อให้เป็นบุรุษที่เก่งที่สุด ก็ทำได้แค่เป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกของนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้น
หลังฝากฝังต้วนหลิงเทียนกับถังอู๋เยียนแล้ว ถังชุนก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใส กล่าวว่า “ต้วนหลิงเทียน นี่คือหลานสาวของข้าเอง เรียกว่าถังอู๋เยียน และเป็นศิษย์สายในคนหนึ่ง…หากดเจ้ามีอันใดสงสัยก็ให้ถามนางได้”
“หลังจากนี้จะเป็นนางที่พาเจ้าไปยังที่พักบ่มเพาะของศิษย์สายใน”