“ศิษย์น้อง 4 เจ้ามีอะไรหรือ?”
ร่างหนึ่งก้าวออกมาจากอาคารเบื้องหน้า เมิ่งชิงเหิน ก่อนจะวูบร่างมาหยุดลงตรงหน้าเมิ่งชิงเหินในพริบตา
หากต้วนหลิงเทียนอยู่ที่นี่ด้วย เขาต้องจดจำร่างที่ปรากฏตัวได้ทันทีแน่ ว่ามันคือ ถูเฟิง ที่เคยไปเยือนสถานศึกษาหมอกเร้นลับ เพื่อชักชวนเขาไปเป็นศิษย์อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ
วันนั้นหลังจากเขากล่าวปฏิเสธไป ถูเฟิง ก็แลดูฮึดฮัดไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ฟังจากคำพูดมัน ราวกับจะตีเขาให้ตายก่อนได้เข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังจดจำ ต้วนหลิงเทียน นักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้หรือไม่? มันก็คือนักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ที่พึ่งเข้ามาได้ไม่นานนัก แต่กลับทำคะแนนทดสอบได้สูงถึง 120,000 กว่าแต้ม ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำลายสถิติเดิมของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ยังทำลายทุกสถิติที่เคยมีในสถานศึกษาหมอกเร้นลับทุกสาขาของพวกเรา แถมคะแนนยังมากกว่าสถิติสูงสุดถึง 3 เท่าด้วย…”
เมิ่งชิงเหินกล่าวถาม
ถึงแม้มันกับศิษย์พี่ใหญ่ของมัน ถูเฟิง จะเคยไปเยือนสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ และชักชวนต้วนหลิงเทียนก่อนที่การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวจะเริ่มต้นขึ้น แต่พอผลคะแนนทดสอบของต้วนหลิงเทียนถูกแจ้งมายังนิกายหมอกเร้นลับ พวกมันก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของพวกมัน การทดสอบดังกล่าวยังเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ตระกูลราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์จะฆ่าต้วนหลิงเทียน แต่สุดท้ายแล้วต้วนหลิงเทียนกลับยังอยู่ดีมีสุข…
“ข้าย่อมจำได้เป็นธรรมดา” สองตาถูเฟิงเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “ข้าได้ยินจากท่านอาจารย์มาแล้ว ว่ารองประมุขมู่หรงนั้น ได้แนะนำให้มันเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับเราเพื่อรับตำแหน่งศิษย์สายในล่วงหน้า…แถมยังเสนอชื่อมันให้เป็นศิษย์หลัก ทำให้มันมีสิทธิ์เข้าร่วมการประเมินทดสอบศิษย์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ 6 เดือนอีกด้วย”
“ข้าก็แค่ คิดไม่ถึงว่ามันจะมาถึงเร็วขนาดนี้…”
ขณะกล่าวคำ น้ำเสียงของถูเฟิงก็สงบราบเรียบนัก อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตาของมัน กลับเต็มไปด้วยประกายเยียบเย็นวูบวาบ แหลมคมปานมีดดาบ!
“ศิษย์พี่ใหญ่…”
เมิ่งชิงเหินกล่าวคำออกมาด้วยสีหน้าท่าทีกล้าๆกลัวๆ “ตอนนี้จะอย่างไรต้วนหลิงเทียนผู้นั้นก็ถือได้ว่าเป็นศิษย์สายในแล้ว…ต่อให้ท่านจะไม่พอใจเรื่องที่มันเคยปฏิเสธในอดีต แต่เป็นการดีเสียกว่าที่ท่านจะไม่ลงมือกับมันอย่างวู่วาม”
“ท่านเองก็สมควรรู้กฏนิกายดี…”
เมิ่งชิงเหินรู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่ของมันเป็นคนเจ้าอารมณ์ชมชอบใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา มันก็กลัวว่าหลังศิษย์พี่ใหญ่ทราบถึงการมาของต้วนหลิงเทียน อีกฝ่ายจะบุกไปหาต้วนหลิงเทียนถึงหน้าประตูเพื่อทุบตีผู้คนระบายโทสะ
“ข้ารู้”
ถูเฟิงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญอยยู่บ้าง “ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะมีโมโหจนบุกไปฆ่าผู้อื่นถึงบ้าน ก็เลยมาเตือนข้าหรือไร?”
“เอ่อ…ก็ใช่”
เมิ่งชิงเหินคลี่ยิ้มเจื่อนๆออกมา ที่มันมาหาศิษย์พี่ใหญ่นั้น นอกจากจะมากล่าวบอกว่าต้วนหลิงเทียนมาถึงนิกายหมอกเร้นลับโดยสวัสดิภาพแล้ว ยังมาเพื่อเตือนไม่ให้ศิษย์พี่ใหญ่ลงมือกับต้วนหลิงเทียนอย่างวู่วาม
เรื่องนี้มันสำคัญอย่างยิ่ง เพราะหากพลั้งพลาดทำอะไรลงไป ต่อให้เป็นอาจารย์ของพวกมันก็ช่วยศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้
“เจ้า 4 ข้ายังไม่ใช่ตัวโง่งมถึงเพียงนั้น”
ถูเฟิงกล่าวคำด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “ต้วนหลิงเทียนนั่น ตั้งแต่ที่มันมาถึงนิกายหมอกเร้นลับเช่นนี้ ข้าถูเฟิง ก็มีวิธีเล่นงานและสร้างปัญหาให้มันมากมาย ไหนเลยจะต้องลดตัวไปจัดการมันเองด้วย…เพราะมันไม่มีค่าพอให้ข้า ถูเฟิง ลงมือเอง!”
ถึงแม้ถูเฟิงจะยังไม่ได้เป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ และเป็นเพียงแค่ศิษย์สาในเท่านั้น แต่มันก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในหมู่ศิษย์สายใน
ที่ไฉนมันมีชื่อเสียงนัก ส่วนหนึ่งเพราะอาจารย์ของมันก็คืออาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ แต่ที่สำคัญคือพลังฝีมือส่วนตัวของมันเอง มันเป็นราชาเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์สายใน!
และในบรรดาศิษย์สายใน ยังหาราชาเทพขั้นต่ำที่มีอายุน้อยกว่ามันไม่ได้แล้ว “เช่นนั้นก็ดียิ่ง”
ได้ฟังดังนั้น เมิ่งชิงเหินก็พอได้โล่งอก
“เอาล่ะ เจ้าหวังดีมีหรือข้าจะไม่รู้ ตอนนี้เจ้าก็กลับไปบ่มเพาะฝึกฝนต่อเถอะ รีบทะลวงใหห้ถึงขอบเขตราชาเทพเสีย…หาไม่แล้วอีกไม่นานเจ้าต้วนหลิงเทียนอะไรนั่นมันคงไล่เจ้าทันจนได้”
ถูเฟิงโบกมือให้เมิ่งเชิงเหิน จากนั้นก็ทิ้งอีกฝ่ายไว้เพียงลำพัง และมันก็ไม่ได้กลับเข้าบ้าน แต่เหินร่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
เมิ่งชิงเหินที่มองส่งแผ่นหลังของศิษย์พี่ใหญ่จนหายลับตาไป ก็รู้สึกจนใจ แววตาฉายชัดถึงความสิ้นหวังอยู่บ้าง
เพราะมันรู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่ของมัน ไม่พ้นต้องไปหาคนที่จะไปจัดการกับต้วนหลิงเทียนแน่
มันรู้ดีว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นไม่เพียงเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ยังมีนิสัยจมไม่ลงอีกด้วย ครั้งสุดท้ายที่ถูกต้วนหลิงเทียนหักหน้านั่น มันเชื่อว่าศิษย์พี่ใหญ่ต้องเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นคนที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ไปแล้ว
ต้วนหลิงเทียนนั่น หากยังไม่มานิกายหมอกเร้นลับก็คงไม่เป็นอะไร แต่เมื่อมาถึงที่นี่แล้วศิษย์พี่ใหญ่ไม่พ้นต้องหาทางเนงานมันทุกวิถีทางแน่
“หวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะไม่ทำอะไรเกินเลย…รองปมระมุขมู่หรงผู้นั้นร้อยวันพันปีไม่เคยให้ความสำคัญกับผู้ใด แต่คราวนี้ไม่เพียงแนะนำ กระทั่งยังเสนอชื่อต้วนหลิงเทียนโดยตรง เห็นชัดว่าให้ความสำคัญกับเจ้าหนุ่มต้วนหลิงเทียนนั่นไม่น้อยเลย…”
เมิ่งชิงเหินได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะกลับบ้าน
มันกับถูเฟิงเป็นศิษย์ของอาวุโส 2 เช่นนั้นก็เลยพักและฝึกฝนอยู่ในเขตจวนของอาวุโส 2 ดุจเดียวกัน
…
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ได้ติดตามถังอู๋เยียนจนมาถึงเขตที่พักศิษย์สายใน
ระหว่างทางถังอู๋เยียนก็ได้อธิบายเรื่องราวให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างอดทน
“จวนหลังนั้นที่เจ้าเห็น เป็นจวนของอาวุโส 4 ยังเป็นสถานที่พักบ่มเพาะของศิษย์ในสำนักอาวุโส 4 อีกด้วย”
“และปกติแล้ว ตัวตนระดับสูงในนิกายหมอกเร้นลับเรา ภายในจวนก็จะมีญาติสนิทหรือมิตรสหายพักอาศัยอยู่ด้วย เหล่าศิษย์เองก็ไม่เว้น ทำให้สะดวกต่อการสั่งสอน”
“ส่วนเขตสถานที่พักฝึกฝนของศิษย์ชั้นในที่พวกเรากำลังจะไปนั้น ปกติแล้วผู้ที่พักอาศัยอยู่ก็คือศิษย์สายในที่ไม่ได้กราบอาวุโสท่านใดเป็นอาจารย์…ศิษย์สายในบางคนก็หัวสูง แม้จะมีอาวุโสบางคนต้องการรับเป็นศิษย์ แต่ถ้าไม่มีอาจารย์แล้วก็ไม่เต็มใจจะกราบผู้ใดเป็นอาจารย์ เพราะมองว่าอาวุโสเหล่านั้นไม่ดีพอจะสั่งสอนชี้แนะ กล่าวได้ว่าพวกมันคิดว่าอาวุโสทั้งหลายไร้คุณสมบัติเป็นอาจารย์มัน” “แน่นอนว่าศิษย์สายในที่มีมากกว่าก็คือ ผู้ที่มีพรสวรรค์และความเข้าใจธรรมดา จนไม่มีผู้ใดต้องตาพึงใจหมายรับตัวไปเป็นศิษย์ และศิษย์สายในพวกนี้ก็รู้ความสามารถตัวเองดี จึงมักจะเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับศิษย์สายในที่มากพรสวรรค์ เพราะไม่อยากโดนผู้อื่นดูถูกให้อับอายขายหน้า”
กล่าวถึงจุดนี้ ถังอู๋เยียนก็หันมามองต้วนหลิงเทียน นางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งค่อยกล่าวว่า “คณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ ก็เป็นรองประมุขคนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับเรา…หากข้าเดาไม่ผิด ท่านรองประมุขผู้นั้น ไม่เคยชักชวนเจ้าหรือเผยเจตนาจะรับเจ้าเป็นศิษย์เลยใช่หรือไม่?”
“ก็ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิงคนนั้น ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องรับเขาเป็นศิษย์เลยสักครั้ง
“แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?” ถังอู๋เยียนมองลึกไปทางต้วนหลิงเทียนพลางถาม
จากนั้นนางก็ไม่รอให้ต้วนหลิงเทียนได้ตอบอะไร เลือกที่จะกล่าวสืบต่อว่า “ด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจของเจ้า ไม่ต้องกล่าวถึงรองประมุขมู่หรงหรอก…ในนิกายมีอาวุโสสูงสุดและผู้พิทักษ์ไม่น้อยที่ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่ารองประมุขมู่หรง หลังจากได้เห็นผลการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของเจ้าแล้ว ก็บังเกิดความคิดอยากรับเจ้าเป็นศิษย์”
“แล้วตกลงเป็นเพราะอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
อันที่จริงเรื่องนี้ก็ทำให้เขาสงสัยเหมือนกัน เพราะตอนที่เขาไปพบมู่หรงสุยเฟิงวันนั้น กล่าวไปเขาก็เตรียมตัวหาทางปฏิเสธโดยสุภาพไม่หักหาญน้ำใจอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว หากอีกฝ่ายคิดรับเขาเป็นศิษ์
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่พูดถึงเรื่องทำนองนี้เลย ในตอนนั้นเขาก็ได้แต่คิดไปว่า…
หรือเป็นเพราะถูเฟิงมาหาเขา มู่หรงสุยเฟิงก็หลงคิดว่าเขาตอบรับอีกฝ่ายไปแล้ว?
อย่างไรก็ตาม ฟังจากคำพูดของถังอู๋เยียน เขาพลันตระหนักได้ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น
“รองประมุขมู่หรงนั้น ในอดีตเคยมีศิษย์คนหนึ่ง ท่านรักและเอ็นดูศิษย์คนนั้นมาก…อย่างไรก็ตาม ต่อมาศิษย์คนนั้นของท่านกลับตกตาย ทำให้หลังจากที่ศิษย์คนนั้นตายตก รองประมุขมู่หรงก็ได้ลั่นวาจาสาบานไว้แล้ว ว่าชั่วชีวิตจะไม่รับศิษย์อีก แม้นั่นจะไม่ใช่คำสาบานต่อเลือดมารหัวใจก็ตามที”
ถังอู๋เยียนกล่าวเสริม “ถึงแม้จะไม่ใช่คำสาบานต่อเลือดมารหัวใจ แต่ปู่เล็กก็บอกข้าว่ารองประมุขมู่หรงไม่คิดจะผิดต่อคำสาบานวันนั้นเลย”
“จุดนี้ท่านปู่เล็กของข้าที่รู้จักท่านรองประมุขมู่หรงดี ก็เชื่อว่าท่านรองประมุขไม่มีทางผิดคำพูดแน่” กล่าวถึงจุดนี้ สองตาถังอู๋เยียนก็ฉายแววเคารพนับถือขึ้นมาให้เห็น เป็นความเคารพนับถือที่มีต่อมู่หรงสุยเฟิง
จากนั้นถังอู๋เยียนก็มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แล้วกล่าวต่อ “ต้วนหลิงเทียน หลังจากข่าวที่เจ้ามาถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้วแพร่ออกไป ข้าเกรงว่าคงมีระดับสูงจำนวนมาก แม้แต่อาวุโสสูงสุดเองก็ต้องอยากรับตัวเจ้าเป็นศิษย์แน่”
“เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็พิจารณาให้ดีว่าจะยอมรับอาวุโสท่านใดเป็นอาจารย์”
“อย่างไรก็ตาม ข้ามีเรื่องจะแนะนำเจ้าอย่างหนึ่ง…พยายามเข้าร่วมกับอาวุโสที่มาจากสายเมืองวายุสวรรค์เสีย ทั้งหมดเพื่อให้เจ้าได้รับการดูแลส่งเสริมอย่างดียิ่งขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าก็มาจากเมืองวายุสวรรค์”
ถังอู๋เยียนจะอย่างไรก็เป็นหลานสาวของถังชุน แม้นางจะไม่ได้มาจากเมืองวายุสวรรรค์ แต่แวดวงของถังชุนก็เป็นผู้คนที่มาจากเมืองวายุสวรรค์เสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหลังจากนางเข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับ นางก็เลยได้ชื่อว่าเป็นคนของสายเมืองวายุสวรรค์เช่นกัน
“หากเจ้าเข้าร่วมกับอาวุโสที่มาจากสายอื่น…แม้เจ้าอาจจะได้รับการดูแลดีเหมือนกัน แต่ทว่าคนเหล่านั้นไม่พ้นต้องแคลงใจในความภักดีของเจ้าแน่นอน เพราะเจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนเรื่องที่มาจากเมืองวายุสวรรค์ได้”
“เป็นธรรมดาว่าทั้งหมดข้าเพียงแนะนำเท่านั้น สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็อยู่ที่ตัวเจ้าจะตัดสินใจ”
จากนั้นถังอู๋เยียนก็กล่าวปิดท้ายว่า “ข้าหวังว่าคำชี้แนะของข้าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเจ้า เพราะไม่ว่าเจ้าจะเลือกเช่นไร มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า…สายเมืองวายุสวรรค์เราไม่มีทางคิดร้ายกับเจ้าเพียงเพราะเจ้าเลือกสายอื่น”
“สุดท้ายแล้วก็เป็นคนนิกายหมอกเร้นลับเหมือนกัน”
หลังได้ยินคำพูดของถังอู๋เยียน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มบางๆ “ขอบคุณที่ชี้แนะ” “หลังพวกเราข้ามเขาลูกนั้นไป ก็จะถึงสถานที่พักฝึกฝนของศิษย์สายในนิกายแล้ว”
ถังอู๋เยียนที่พาต้วนหลิงเทียนตระเวนผ่านอาคารและตำหนักกสำคัญๆต่างๆของนิกายหมอกเร้นลับฝ่ายใน สุดท้ายก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่ง จึงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียนออกมา
“ในนิกาย มีศิษย์สายในนับพันๆคน…แต่ในบรรดาศิษย์สายในเหล่านั้น มีแค่ 1-2 ในร้อยส่วนเท่านั้นที่กราบระดับสูงๆในนิกายเป็นอาจารย์ ศิษย์สายในส่วนใหญ่แล้วก็เลือกที่จะกราบอาวุโสฝ่ายในเป็นอาจารย์ อันที่จริงก็มีศิษย์หลายคนแล้วที่ออกไปฝึกฝนขัดเกลาตัวเองด้านนอกแล้วไม่กลับมา”
“นอกจากนี้ยังมีศิษย์ที่อายุมากแล้วบางคน ออกไปช่วยจัดการเรื่องราวต่างๆของนิกายด้านนอก”
“กล่าวได้ว่าปกติ ก็มักมีศิษย์สายในอยู่ในเขตที่พักฝึกฝนราวๆ พันคน”
พอถังอู๋เยียนกล่าวจบ นางก็พาต้วนหลิงเทียนเหินขามเขาสูงชัน จนมาถึงเนินเขาอันกว้างใหญ่
ด้านหน้ามองไป เห็นเพิงเนินเขาอันกว้างใหญ่หลายลูก บางสูงบางเตี้ยไม่เสมอกัน
อย่างไรก็ตามจะบริเวณยอดของเนินเขาก็ดี หรือบริเวณตีนเขาก็ดี จะมีบ้านปลูกสร้างอยู่เต็มไปหมด มีทั้งบ้านศิลาและบ้านไม้ รูปทรงและลักษณ์อาคารก็แตกต่างกันไป มีแม้กระทั่งบ้านบนต้นไม้ใหญ่
“บ้านที่เจ้าเห็นทั้งหลาย ไม่เว้นบ้านหินกับบ้านต้นไม้ด้านนั้น ทั้งหมดเป็นศิษย์สายในสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง…หากเจ้าพบเจอบ้านหลังใดที่เต็มไปดวยหยากไย่ บ่งบอกว่าไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยมานานแล้ว เจ้าจะทำความสะอาดและเข้าไปอยู่เลยก็ได้ หรือหากไม่ชอบใจบ้านของผู้อื่น เจ้าจะสร้างเองก็ไม่มีใครว่า”
ถังอู๋เยียนกล่าว “สำหรับเรื่องอื่นๆในนิกาย ที่มีไว้เพื่อศิษย์สายใน เจ้าก็ลองอ่านป้ายหยกเก็บความทรงจำที่เจ้าได้รับมาหลังลงทะเบียนศิษย์สายในดู เมื่ออ่านข้อมูลในนั้นจบเจ้าก็จะรู้ว่ามีอะไรที่ต้องสนใจบ้าง”
“หากมีสิ่งใดที่เจ้าไม่เข้าใจ ก็สามารถติดต่อมาสอบถามข้าได้”
กล่าวถึงจุดนี้ถังอู๋เยียนก็นำลูกแก้ววิญญาณออกมามอบให้ต้วนหลิงเทียน
“ขอบคุณเจ้า”
หลังต้วนหลิงเทียนรับลูกแก้ววิญญาณของนางมา เขาก็เรียกลูกแก้ววิญญาณของตัวเองออกมามอบให้อีกฝ่ายด้วย “วันนี้นับว่าเป็นข้ารบกวนเจ้าอยู่นาน…ต่อไปหากมีอะไรที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากข้า เจ้าเพียงติดต่อมาเถอะ ขอเพียงข้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยเจ้าเอง…”