โอสถเสริมโชค
โอสถเสริมโชค 9 เม็ดยา บรรลุราชาเทพ!
พอต้วนหลิงเทียนรับทราบว่าขอรางวัลการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งนี้ ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่ได้รับอันดับ 1 จะได้รับโอสถเสริมโชค เขาก็บังเกิดความประทับใจทันที
กระทั่งเขายังเริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียในใจ
สุดท้ายในปัจจุบันเขาก็ยยังคงอู่ในขอบเขตเทพขั้นกลางเท่านั้น จึงลังเลว่าจะคว้าอันดับ 1 มาดีหรือไม่
ในขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอย่างนิกายหมอกเร้นลับ มีศิษย์สาในขอบเขตเทพขั้นสูงที่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการอยู่แน่นอน!
หากเขายังสามารถเอาชนะศิษย์สายในเช่นนั้นได้ด้วยด่านพลังเทพขั้นกลาง จะให้ผู้อื่นคิดอย่างไร?
แต่ตอนนี้ เงื่อนไขประการที่ 2 ที่เขาบอกให้ตระกูลจ้งแสดง ‘ความจริงใจ’ ไม่คิดว่าพวกมันไม่เพียงมอบของมีค่าให้เขามากมาย แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นโอสถเสริมโชคอีกด้วย!
ที่สำคัญ มันไม่ได้มีแค่เม็ดเดียว!
‘5 เม็ดยา’
พอเห็นว่าในขวดมีโอสถเสริมโชค 5 เม็ดยากองไว้อย่างเงียบงัน ทำให้อารมณ์ต้วนหลิงเทียนที่สงบลงก่อนหน้าเริ่มพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง!
ก่อนหน้าเขายังลังเลเพราะโอสถเสริมโชค 1 เม็ดยาอยู่เลย
แต่ตอนนี้เขามีโอสถเสริมโชคอยู่ถึง 5 เม็ดยา
‘ไม่คิดเลยว่ารากฐานตระกูลจ้งจะเอาเรื่องขนาดนี้ พวกมันถึงกับมอบโอสถเสริมโชคออกมา 5 เม็ดยาได้’
ต้วนหลิงเทียนได้ทอดถอนในใจอย่างอดไม่ได้ ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความจริงใจของตระกูลจ้งแล้ว เพราะไม่เพียงแต่พวกมันจะมอบโอสถเสริมโชคให้เขา 5 เม็ดยาเท่านั้น ยังมีโอสถเทพ ผลไม้เทพ สมุรไพรเทพ และหินเทพอีกเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่ได้นับว่าหินเทพที่กองเป็นภูเขานั่นหนักกี่ตำลึง แต่มองปราดเดียวเขาก็พอจะประมาณได้ว่าต่ำๆต้องมีหลักล้านตำลึงแน่นอน
‘ตระกูลราชาเทพอย่างตระกูลจ้ง…คำนวณดูแล้วพวกมันไม่น่าจะมีหินเทพหมุนเวียนเกิน 2 ล้านตำลึง กล่าวได้ว่านี่สมควรเป็นหินเทพจำนวนครึ่งหนึ่งของที่ตระกูลจ้งมี…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
‘แถมโอสถเสริมโชคนี่อีก…การที่ตระกูลจ้งสามารถควักออกมาให้ข้าได้ 5 เม็ด ไม่ใช่แค่เม็ดสองเม็ด หมายความว่าพวกมันมีมากกว่านี้แน่นอน คงเพราะกังวลว่าวันหน้าข้าจะค้นพบว่าพวกมันมีโอสถเสริมโชคมากมาย แต่ดันให้ข้ามาแค่เม็ดสองเม็ดถึงตอนนั้นจะทำให้ข้ามีโมโหกระมัง?’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจ ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจให้กับความกล้าหาญของ จ้งต้า ผู้นำตระกูลจ้งอยู่บ้าง
แม้จะไม่เคยพบหน้าอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้สึกประทับใจในความเด็ดขาดของมัน
“นายน้อยต้วน”
ตอนนี้เองจ้งเทียนอู่ที่ลอยร่างรออยู่เงียบๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ “ท่านพ่อบุญธรรมได้ฝากข้ามาถามท่านว่า หลังจากที่ท่านเห็น ‘ความจริงใจ’ ในแหวนพื้นที่แล้ว…มิทราบท่านพึงพอใจกับความจริงใจของตระกูลจ้งเราหรือไม่?”
“อืม ข้าพอใจ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ขณะเดียวกันสองตาก็ทอประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “เดิมทีข้าคิดจะฆ่าล้างตระกูลจ้งของเจ้าไม่เว้นไก่สุนัขสักตัว…แต่ในเมื่อผู้นำตระกูลจ้งของเจ้ามีความจริงใจถึงขนาดนี้ เช่นนั้นวันหน้าข้าจะฆ่าคนของตระกูลจ้งที่มันคิดฆ่าข้าเท่านั้น!”
จะให้เขาละวางความแค้นกับตระกูลจ้งไปเลย? ต้วนหลิงเทียนไม่เคยพิจารณาประเด็นนี้สักครั้ง!
เพราะสุดท้ายแล้ว ในตระกูลจ้งสมควรมีบางคนที่เห็นดีเห็นงามเรื่องฆ่าเขา แม้ตัวต้นเรื่องอย่างจ้งเค่อฉีจะตายไปแล้ว แต่คนอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจจะฆ่าเขานั้น ตอนนั้งคงอยู่ดีมีสุข!
กับคนพวกนั้น รอวันที่เขามีกำลังมากพอ เขาจะไม่ปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!
“ขอบคุณนายน้อยต้วน”
ได้ยินคำตอบของต้วนหลิงเทียน จ้งเทียนอู่ก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นก็เร่งหลีกทางให้ต้วนหลิงเทียนเหาะสะดวก ไม่คิดขวางทางอีกต่อไป
ในขณะที่จ้งเทียนอู่ส่งข้อความไปหาบิดาบุญธรรม จ้งต้า ผู้นำตระกูลจ้งเรื่องที่มันได้พบปะกับต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนก็เหินบินติดตามกลุ่มศิษย์สายในไปยังสถานที่จัดการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย
“เจ้าหน้าหล่อชุดม่วงนั่นใครกัน? ศิษย์ใหม่รึไร? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย…”
“เจ้านั่นทำให้จ้งเทียนอู่แลดูนอบน้อมถึงขนาดนั้น…เกรงว่าความเป็นมาของมันจะไม่ใช่เล่นๆซะแล้ว”
…
หลาคนมองไปยังแผ่นหลังไวๆของต้วนหลิงเทียนพลางซุบซิบคุยกัน
“อะไร พวกเจ้าไม่รู้จักมันงั้นหรือ?”
ตอนนี้เอง คนที่รู้จักตัวตนของต้วนหลิงเทียนก็กล่าวแทรกขึ้นมา “เจ้าไม่เคยได้ยินรึไร ว่าศิษย์พี่ฉีอวี่ไปท้าประลองศิษย์ใหม่คนหนึ่งทุกเดือน?”
ฉีอวี่นั้น ในบรรดาศิษย์สายในขอบเขตเทพ มันคือตัวตนที่แข็งแกร่งติด 1 ใน 10 อันดับแรก ทำให้ในนิกายหมอกเร้นลับไม่ว่าจะฝ่ายในหรือฝ่ายนอก มันก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง
“ห๊ะ? เจ้านั่นน่ะเหรอต้วนหลิงเทียนจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์คนนั้น?!”
และพอมีคนเอ่ยเรื่องที่ฉีอวี่ไปท้าประลองขึ้นมา ก็มีบางคนที่ตระหนักเรื่องราวได้โพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“ใช่เรียกว่า ต้วนหลิงเทียนหรือไม่? คนที่รองประมุขมู่หรงถึงกับแนะนำให้เข้านิกายหมอกเร้นลับเราก่อนกำหนดผู้นั้น? ข้าได้ยินมาว่าพลังฝีมือของมันร้ายกาจมาก อายุไม่ถึง 3,000 ปีที แต่ก็บรรลุถึงเทพขั้นกลางพร้อมเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการแล้ว!”
ในนิกายหมอกเร้นลับ มีหลายคนที่เคยได้ยินข่าวลือของต้วนหลิงเทียน
“มิผิด ที่สำคัญข้าได้ยินมาว่ากฏที่มันเชี่ยวชาญยังเป็น1 ใน 4 กฏสูงสุดอย่างกฏมิติ! หากข้าจำไม่ผิดดูเหมือนในนิกายหมอกเร้นลับเรา จักไม่มีผู้ใดที่อายุน้อยกว่า 4,000 ปีบรรลุความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติถึง 3 ประการด้วยซ้ำ!”
“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้มันร้ายกาจราวสัตว์ประหลาดจริงๆ…ข้าได้ยินมาว่ามันเองก็จะเข้าร่วมการทดสอบศิษย์หลักในอีกไม่กี่เดือนด้วย! เห็นว่ารองประมุขมู่หรงถึงขั้นเสนอชื่อมันด้วยตัวเองเช่นกัน”
“ให้ตายเถอะ แม้แต่ศิษย์สายในที่อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับมานานก็ไม่ใช่ว่าจะมีสิทธิ์เข้าทดสอบประเมินศิษย์หลักทุกคนด้วยซ้ำ…ข้าไม่คิดเลยว่ารองประมุขมู่หรงจะมอบโอกาสให้มัน หากข้าจำไม่ผิดดูเหมือนรองประมุขมู่หรงจะเคยเสนอชื่อศิษย์สายในให้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์หลักแค่ไม่กี่คนกระมัง?”
…
ต้วนหลิงเทียนแม้จะเหินร่างจากไกลพอสมควรแล้ว แต่บทสทนาด้านหลังเขายังได้ยินชัดถนัดหู
‘รองประมุขมู่หรงเคยเสนอชื่อศิษย์สายในให้เข้าร่วมการทสอบศิษย์หลักแค่ไม่กี่คนงั้นเหรอ? แถมดูเหมือนการทดสอบประเมินศิษย์หลักไม่ใช่อะไรที่ศิษย์สายในเข้าร่วมได้ตามใจ?’
เรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนพึ่งรู้
เดิมทีเขาคิดว่าการทดสอบประเมินศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับนั้น เปิดให้ศิษย์สายในทุกคนเข้าร่วมการทดสอบได้ตามใจชอบ แต่ไม่คิดว่าต้องมีการเสนอชื่ออะไรแบบนี้ก่อน
‘ถึงแล้วรึ?’
ต้วนหลิงเทียนที่เหาะตามๆผู้อื่นมา ไม่ทันรู้ตัวเขาก็พบว่าเบื้องหน้าเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่ลอยร่างค้างกลางหาว ขณะเดียวกัน เขาก็พบว่าเบื้องหน้าไกลๆ ในความว่างเปล่านั่น ปรากฏบันไดที่คล้ายเป็นภาพมายาลอยล่องอยู่กลางอากาศ บันไดทีว่ามีหลายขั้นและไล่ระดับขึ้นไปบนฟ้า
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า ด้านหน้าทางขึ้นบันไดนั้น มีคนกำลังรับป้ายอะไรบางอย่างจากชายชราที่มีสีหน้าเฉยเมยไร้อารมณ์ ก่อนที่จะวิ่งขึ้นบันได้ไป
และพอมันก้าวเหยียบบันไดขั้นที่ 1 ร่างของมันก็คล้ายจะจมหายไปในบันไดดังกล่าว
ต่อมาบันไดขั้นที่ 1 นั่นก็เริ่มเปล่งแสงขึ้นมา จากนั้นก็เห็นจุดแสงเล็กๆด้วงหนึ่งส่องสว่างบนขั้นบันได
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่า บริเวณบันไดขั้นที่ 3 นั้น มีจุดแสงเล็กๆดังกล่าวดวงหนึ่งกำลังกระพริบวูบวาบ ต่อมาจุดแสงดังกล่าวก็ลอยขึ้นมาจากบันได ก่อนจะหายไปในความว่างเปล่า และไม่นานนักก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ราวกับมันก็คือจุดแสงที่อยู่ในบันไดเมื่อครู่
“ฮ่าๆๆๆ…หูจุน เจ้ามันอ่อนแท้เล่า! แค่ขั้นที่ 3 ยังไม่ไหวรึ เจ้าแพ้แล้ว!!”
ไม่ไกลจากต้วนหลิงเทียนนัก ชายคนหนึ่งพอเห็นร่างที่พึ่งปรากฏออกมา ก็หัวเราะชอบใจกล่าวคำด้วยน้ำเสียงหยอกล้ออย่างสนุกสนาน
ร่างที่พึ่งปรากฏขึ้นจากบันได้ เหินลงมาและส่งป้ายบางอย่างคืนให้ชายชราหน้าบันได จากนั้นมันก็เหินร่างออกมาด้วยสีหน้ามืดมน มองไปยังคนที่หัวเราะเยาะตาขวาง จากนั้นก็สะบัดมือส่งหินเทพจำนวนหนึ่งให้ไปด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ “มารดาเจ้าเถอะ อย่าพึ่งได้ใจให้มันมากนัก…หากเจ้าขึ้นไปไม่ถึงชั้น 4 อย่างที่พูดโม้ หินเทพนี่เจ้าก็ต้องคายออกมาให้ข้าอยู่ดี”
“ฮ่าๆๆ…ไม่ต้องห่วง บิดาขึ้นไปยังขั้นที่ 4 ได้แน่”
ชายที่หัวเราะแย้แต่แรก รับหินเทพมาด้วยใบหน้าพึงพอใจ จากนั้นมันก็มุ่งหน้าไปรับป้ายจากชายชราที่หน้าบันได จากนั้นก็โดดขึ้นบันไดที่คล้ายภาพมายากลางหาวขั้น 1 ก่อนคนจะอันตรธานหายไป และบนบันไดก็ปรากฏจุดแสงดวงหนึ่งขึ้นเพิ่มเติม
ในขณะเดียวกับที่บันไดขั้น 1 ปรากฏจุดแสงเรืองขึ้นเพิ่มเติม ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าจุดแสงก่อนหน้านั้นได้พุ่งออกจากขั้นที่ 1 ไปหยุดลงบนบันไดขั้นที่ 2
หลังจากนั้นไม่นานนัก จุดแสงที่พึ่งส่องสว่างขึ้นบนบันไดขั้นแรก และสมควรเป็นชายที่กล่าวหัวเราะเสหายเมื่อครู่ก็วูบขึ้นไปยังบันไดขั้นที่ 2 เช่นกัน
‘บันไดนั่นเป็นค่ายกลสร้างโลกใบเล็ก เหมือนด่านทดสอบอะไรสักอย่างงั้นเหรอ?’
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็พอจะคาดเดาอะไรได้ ขณะเดียวกันเขาก็อดแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบไม่ไหว อนิจจาเขาพบว่ามีพลังมหาศาลบางอย่างได้ปิดกั้นสำนึกเทวะของเขาเอาไว้ชะงัด ไม่อาจเข้าใกล้บันไดดังกล่าวได้ด้วยซ้ำ
“ต้วนหลิงเทียน”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัย เขาก็ได้ยินเสียงร่างหนึ่งพึ่งเหินมาถึง จากนั้นอีกฝ่ายก็กล่าวทักเขา
และไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะหันไปตอบคำผู้ที่กล่าวทัก เขาก็ได้ยินเสียงผู้คนโดยรอบกล่าวซุบซิบกันว่า “นั่นถังอู๋เยียนนี่!”
ถังอู๋เยียนนั้น ไม่เพียงแต่ในแง่พลังฝีมือ นางจะแข็งแกร่งติด 1 ใน 3 ศิษย์สายในที่เป็นสตรีเท่านั้น…ทว่าในแง่รูปลักษณ์ นางยังได้รับการยอมรับว่าเป็นโฉมงามอันดับ 1 ของนิกายหมอกเร้นลับอีกด้วย
และในนิกายหมอกเร้นลับ นางก็นับว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลไม่น้อย กล่าวได้ว่าชื่อเสียงของนางยังเหนือกว่า ฉีอวี่ 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุด ที่มาท้าประลองกับต้วนหลิงเทียนไม่หยุดเสียอีก
“เจ้าสบาย”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หลังเห็นถังอู๋เยียน
“ในคู่มือศิษย์สายใน กล่าวถึงเรื่องการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์เอาไว้ กระทั่งแนะนำมันคร่าวๆ แต่เจ้าคงไม่รู้กระมังว่า บันไดสวรรค์ที่เห็นเบื้องหน้ามันคืออะไร แล้วเกิดขึ้นได้อย่างไรกระมัง?”
ตอนนี้คล้ายถังอู๋เยียนสามารถล่วงรู้ความคิดในหัวต้วนหลิงเทียนได้ก็ไม่ปาน
เพราะเมื่อครู่ตอนที่นางมาถึง นางก็เห็นต้วนหลิงเทียนกำลังมองบันไดสวรรค์ด้วยความสงสัยใคร่รู้…ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรจากครั้งแรกที่นางเห็นบันไดสวรรค์เลย
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดอะไรอยู่
และเมื่อต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ ถังอู๋เยียนก็เริ่มกล่าวอธิบายออกมาว่า “การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์นี่…ผิวเผินเหมือนค่ายกลมายาอะไรบางอย่าง…แต่อันที่จริงมันเป็นค่ายกลอันแยบคายนัก ไม่ได้มีแต่การสร้างภาพมายาอย่างเดียว”
“สิ่งที่เจ้ากำลังเห็น มันเกิดจากค่ายกลมายาก็จริง…”
“แต่ทว่าด้านในนั้นเป็นดั่งโลกใบเล็กอิสระที่แยกออกจากกัน และในโลกใบเล็กแต่ละใบก็จะมีผู้เฝ้าด่านดำรงอยู่…และผู้เฝ้าด่านที่ข้าว่าก็คือศิษย์ที่ทำผิดกฏ หรือก่ออาชญากรรมร้ายแรงบางอย่าง”
“ยังมีศิษย์ที่ทำผิดกฏร้ายแรง จนถูกขังอยู่ด้านในนั่นมานับแสนๆปีแล้วด้วย”
“และเจ้าเองก็สมควรทราบ ว่านิกายหมอกเร้นลับของพวกเรา พึ่งจะก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่ถึง 200,000 ปี”
“หลังจากเจ้าเข้าสู่ ‘บันไดสวรรค์’ เจ้าจะปรากฏตัวในโลกใบเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโลกใบเล็กที่อยู่ในบันไดขั้นที่ 1…และในโลกใบเล็กของบันไดขั้นที่ 1 นั่น ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงแห่งเดียวแต่มีมากมาย! หากทว่าผู้เฝ้าด่านแต่ละคนจะมีระดับพลังฝีมือพอๆกันเพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ…และมีเพียงเอาชนะพวกมันได้เท่านั้น เจ้าถึงจะออกจากโลกใบเล็กที่พวกมันเฝ้า และขึ้นไปยังโลกใบเล็กของบันไดขั้นที่ 2…”
…
หลังได้ยินคำอธิบายจากปากของถังอู๋เยียน ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ว่าบันไดสวรรค์ที่แท้คืออะไร ปรากฏว่าบันไดสวรรค์แต่ละขั้น ก็เหมือนคุกไว้ขังคนร้าย แต่จัดแจงให้กลายเป็นด่านทดสอบแทน…ถ้าหากสามารถเอาชนะศิษย์สายในที่เข้ามาได้ ก็จะได้รับการลดหย่อนโทษจำคุกตามกำหนด
และในคุกนั่นก็เป็นดั่งนรกของศิษย์นิกายหมอกเร้นลับ ที่กระทำผิดกฏนิกายหรือก่ออาชญากรรมร้ายแรงถูกจับขังไว้…เพราะเมื่อถูกขังอยู่ในนั้น ด้วยความที่ด้านในถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ จึงไม่มีพลังวิญญาณฟ้าดินให้ดูดซับ ทำให้ไม่อาจฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้ แถมยังไม่สามารถทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏได้อีก
เพราะมีพลังอาคมจากข่ายกลบางอย่าง ที่ขัดขวางการทำความเข้าใจความลึกซึ้งของกฏ
กล่าวได้ว่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับที่ถูกขังอยู่ด้านใน เสมือนตายทั้งเป็น!
นอกจากนั้นไม่ใช่ว่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับทุกคนที่ถูกขังอยู่ในนั้นจะสามารถเลือกคู่ต่อสู้หรือก็คือศิษย์สายในที่เข้าร่วมการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ได้ตามใจชอบ
ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับดวง