ตอนที่ 3677 อาวุโส 2 นิกายหมอกเร้นลับ อู่ฟงหยิน

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

กลางสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ ชายหนุ่มในชุดสีม่วงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ ราวกับการเข่นฆ่าที่พึ่งจบลงเมื่อครู่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตัวเอง
  ไร้ซึ่งความยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น ราวกับล่วงรู้แต่แรกวว่ามันต้องจบลงเช่นนี้
  ด้วยเหตุนั้น ทำให้การยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ได้สร้างความรู้สึกยากหยั่งถึงต่อผู้คนมากขึ้นทุกขณะ
  “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…”
  คำพูดก่อนหน้าของชายหนุ่มชุดม่วง คล้ายดังก้องอยู่ในหูของทุกคนซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักได้ว่า ที่แท้ฉีอวี่ผู้นั้น ไม่ต่างอะไรกับไก่สุนัขต่อหน้าชายหนุ่มชุดม่วงแต่แรก เพียงหนึ่งกระบี่ก็จบชีวิตสุนัขของมันได้ง่ายดาย
  ให้โอกาสรอดชีวิตแก่เจ้า หากไขว่คว้าก็รอด
  ไม่เห็นค่าก็ตาย ง่ายดายเพียงเท่านั้น
  “ว่าแต่ ผลการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์เมื่อไหร่จะออกหรือ?”
  ท่ามกลางสายตายำเกรงของผู้คนมากมาย ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามถังอู๋เยียนเสียงเรียบ
  “เอ๊ะ เอ่อ…”
  ถังอู๋เยียนที่ยังเหม่อลอยอยู่ พอได้ยินเสียงกล่าวถามของต้วนหลิงเทียน นางก็ได้สติ จากนั้นก็บอกต้วนหลิงเทียนไป ว่าการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์จะจบลงวันไหน แล้วผลจะออกเมื่อไหร่
  “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
  หลังได้รับรู้ในสิ่งที่ต้องการ ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ากล่าวลาถังอู๋เยียน ก่อนจะใช้เคลื่อนมิติหายตัวไปต่อหน้าต่อตาผู้คน
  บนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ ก็เหลือเพียงละอองโลหิตอุ่นๆเปรอะเวที…
  หลังจากต้วนหลิงเทียนจากไป ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสถานที่เกิดเหตุจะปั่นป่วนกันแค่ไหน “มารดามันเถอะ!”
  “เจ้านั่นมันฆ่าฉีอวี่ด้วยวิธีใดกันแน่ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ เจ้าทันเห็นมันลงมือหรือไม่?”
  “ข้าเห็นก็แค่มันตวัดกระบี่ออกไปตามอำเภอใจเท่านั้น แต่กระบี่ที่ฟันไปส่งๆของมัน ฉีอวี่ กลับไม่แม้แต่จะมีเวลาต้านทานใดๆได้เลย”
  “จริง นอกจากมันตวัดกระบี่ฟันไปฉับหนึ่ง ข้าก็ไม่เห็นอะไรเลย”
  …
  หลายคนไม่เข้าใจว่าต้วนหลิงเทียนฆ่าฉีอวี่ได้อย่างไร และเท่าที่พวกมันจับสัมผัสได้ ก็มีแต่กลิ่นอายพลังจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ ที่เปล่งออกมาวูบหนึ่งเท่านั้น
  แต่ในเมื่อเป็นพลังของการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ มันก็ไม่น่าจะทรงพลังเหนือกว่ากระบวนท่าของฉีอวี่ถึงขนาดนี้ไม่ใช่หรือไร?
  “หรือว่า…นี่จะเป็นความต่างระหว่างกฏสูงสุดกับกฏทั่วไป?”
  บางคนเริ่มคาดเดาไปในทิศทางดังกล่าว
  อย่างไรก็ตาม ข้อสันนิษฐานของมันก็ถูกหลายคนส่ายหัวคัดค้านทันที “ไม่ใช่หรอก ถึงแม้ 4 กฏสูงสุดจะทรงพลังกว่ากฏทั่วไปทั้ง 5 ธาตุจริง แต่มันก็ไม่ถึงขั้นร้ายกาจจนสู้กันไม่ได้แบบนี้…บางทีอาจเป็นต้วนหลิงเทียนเปิดใช้พลังสายเลือดในพริบตาสังหาร…”
  แม้แต่ถังอู๋เยียนเอง ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
  ด้วยเหตุนี้นางจึงได้แต่ส่งข้อความไปถามต้วนหลิงเทียนอย่างอดไม่ได้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้าลงมือฆ่าฉีอวี่ได้ง่ายๆเช่นนั้นได้อย่างไร พลังจากกฏมิติที่เจ้าใช้ มันไม่น่าจะรุนแรงถึงขั้นฆ่ามันได้ในพริบตาเช่นนั้นกระมัง?”
  ด้านต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ให้นางลุ้นนาน ตอบกลับมาแทบจะทันที “พื้นฐาน มรรคากระบี่”
  “พื้นฐานมรรคากระบี่!!”
  ในขณะที่ถังอู๋เยียนได้รับคำตอบจากต้วนหลิงเทียน อาวุโสเผิงที่เฝ้าดูแลแท่นยอดยุทธ์วันนี้ กับอาวุโสสายในอีกคนของนิกายหมอกเร้นลับ ก็หันมามองสบตากันครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
  เป็นธรรมดาว่าเสียงกล่าวพึมพำของพวกมัน ก็มีแต่พวกมัน 2 คนเท่านั้นที่ได้ยิน
  คนอื่นๆนั้นอยู่ห่างจากพวกมันพอสมควร แถมตอนนี้ยังอื้ออึงไปด้วยเสียงถกเถียงคาดเดา จึงยากที่จะมีบุคคลที่ 3 ได้ยินเสียงพึมพำดังกล่าว
  “ให้เทียบกับการเปิดเผยการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการชุดที่ 2…การเผยพื้นฐานมรรคากระบี่ดูเหมือนจะมีค่าน้อยกว่า”
  ต้วนหลิงเทียนที่บัดนี้กลับมาถึงบ้านพักของตัวเองแล้ว ก็กล่าวพึมพำกับตัวเองเบาๆ จากนั้นเขาก็นำโอสถเสริมโชคทั้ง 5 เม็ดที่ได้รับจากตระกูลจ้งออกมาตบเข้าปากในคำเดียว!
  ในปัจจุบัน หากต้วนหลิงเทียนรับประทานโอสถเสริมโชคครบ 9 เม็ดล่ะก็ ด่านพลังของเขาจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้ทันที
  สุดท้ายแล้วคำ ‘โอสถเสริมโชค 9 เม็ดยา ทะลวงราชาเทพ’ ก็ไม่ใช่คำพูดลอยๆ…
  ในประวัติศาสตร์ของระนาบเทพ มีผู้คนนับไม่ถ้วน ที่ทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้ไม่ทันไร ก็ใช้โอสถเสริมโชค 9 เม็ด เพื่อทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพต่อเลย
  อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอสถเสริมโชคไม่ถึง 9 เม็ด แต่การรับประทานโอสถเสริมโชค 5 เม็ดในคราวเดียวของต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้ด่านพลังบ่มเพาะที่พึ่งทะลวงผ่าน บังเกิดความเสถียรในเวลาอันสั้น แถมระดับพลังยังเพิ่มพูนสูงขึ้นอย่างน่ากลัว จนผ่านมาถึงครึ่งทางก่อนจะบรรลุขอบเขตราชาเทพแล้ว!
  ที่ไฉนเขารีบร้อนกลับมา ก็เพราะอยากจะรับประทานโอสถเสริมโชคนั่นเอง
  …
  ฟังจากคำกล่าวพึมพำของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าการเปิดเผยมรรคากระบี่เพื่อฆ่าฉีอวี่บนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์นั้น เป็นต้วนหลิงเทียนตั้งใจทำ
  เป็นธรรมดาว่าเขาไม่ได้เปิดเผยความเข้าใจในมรรคากระบี่มิติของเขาออกไปทั้งหมด เพียงใช้มันออกในรูปแบบเรียบง่ายเสมือนผู้ที่พึ่งเห็นประตูสู่มรรคากระบี่เท่านั้น
  ต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจมรรคากระบี่มิติของตัวเองถึงขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นแล้ว ย่อมใช้มรรคากระบี่มิติได้เสมือนแขนขา ไม่ยากที่จะเปิดเผยพลังส่วนน้อย และปกปิดพลังอำนาจที่แท้จริงเอาไว้
  และพื้นฐานมรรคากระบี่ ที่ผู้คนมักเรียกกันว่าประตูสู่มรรคากระบี่นั้น บางทีก็ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจที่สูงล้ำ แต่อาจจะเป็นโชค หรือความบังเอิญก็ได้
  ในระนาบเทพ มีมือกระบี่และนักดาบไม่เว้นมือหอกหรือนักธนูมากมาย ที่อาศัยการฝึกฝนนานเข้า ก็บังเอิญเข้าใจพื้นฐานมรรคาศาสตราของตัวเอง ยังมีกระทั่งผู้ที่พบเจอบางสิ่ง เห็นฉากบางอย่าง ก็เข้าถึงพื้นฐานมรรคาศาสตราได้โดยไม่รู้ตัว…
  ด้วยเหตุนี้ สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว การเปิดเผยมรรคากระบี่ระดับพื้นฐานออกไปนั้น ยังมีความสำคัญน้อยกว่าเปิดเผยเรื่องที่เขาเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏมิติชุดที่ 2 เสียอีก และสิ่งนี้ก็ไม่ทำให้เขาโดดเด่นเกินไป
  ดั่งคำกล่าว หมูกลัวอ้วน ผู้คนกลัวโด่งดังเกินไป..
  อัจฉริยะที่โดดเด่นเกินไป ย่อมเป็นเป้าอิจฉาริษยาจากผู้อื่น
  และเขาเองก็พึ่งมาถึงนิกายหมอกเร้นลับได้ไม่นาน ไม่มีผู้ใดหนุนหลัง แถมเขาก็ไม่มีเจตนาจะกราบผู้ใดเป็นอาจารย์ด้วย เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่ทำตัวติดดินให้มากที่สุด
  อย่างไรก็ตาม หากเรื่องราวยังอยู่ในขอบเขต เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือหรือถ่อมตัวจนเกินไป
  เช่นวันนี้ การฆ่าฉีอวี่นั้น เขาไม่คิดยั้งมือไว้ไมตรีมันแม้แต่นิดเดียว
  และการลงมือครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะเป็นการกำจัดฉีอวี่ที่มุ่งร้ายกับเขาเท่านั้น ยังเป็นการประกาศบอกทุกคนให้ทราบกลายๆ ว่าเขา ต้วนหลิงเทียน แม้จะเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้านิกายหมอกเร้นลับมา ก็ไม่ใช่พลับสุกนุ่มนิ่มที่ใครคิดจะบีบเล่นได้ตามใจชอบ
  ‘รอให้สามารถผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับให้ได้ก่อน ถึงตอนนั้นก็จะได้รับการปกป้องสนับสนุนจากนิกายหมอกเร้นลับ…ต่อให้เป็นชนชั้นอาวุโสหลักทั่วไป ก็ไม่กล้าแตะต้องลงมือกับข้าโดยง่าย…’
  คิดไปคิดมา ต้วนหลิงเทียนก็อดคิดถึงอาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ ที่เป็นอาจารย์ของถูเฟิงขึ้นมาไม่ได้
  ถูเฟิงนั่น สักวันเขาต้องมอบบทเรียนให้มันแน่ แค่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา
  และดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘ตีตัวเล็ก ตัวใหญ่มา’ เขาเชื่อว่าหลังจากสั่งสอนถูเฟิงแล้ว อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับนั่น มีแน้วโน้มที่จะออกหน้าเพื่อถูเฟิง ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้ลงมือกับเขาด้วยตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง แต่ลับหลังต้องส่งคนมาสร้างปัญหาให้เขาแน่…
  หากเขายังเป็นแค่ศิษย์สายใน อีกฝ่ายก็สามารถหาข้ออ้างเพื่อจัดการเขาได้ไม่ยาก
  แต่ถ้าเป็นศิษย์หลักแล้ว เรื่องราวจะต่างออกไป
  อาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับ กับศิษย์หลักนั้น มันยังไม่มีอำนาจมากพอจะชี้กวางเป็นม้าได้…
  ‘ต่อไปก็มุ่งเน้นทะลวงด่านพลังให้ถึงขอบเขตราชาเทพโดยเร็ว…โอสถเสริมโชค 5 เม็ดสามารถทำให้ข้าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยแล้ว’
  ‘และการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์รอบนี้ หากไม่มีอะไรผิดพลาด อันดับ 1 ก็สมควรเป็นข้า ถึงตอนนั้นก็จะได้รับโอสถเสริมโชคเพิ่มอีกเม็ด’
  ‘ด้วยโอสถเสริมโชค 6 เม็ด ระห่างจากขอบเขตราชาเทพก็จะสั้นลงอย่างมาก’
  ‘รอให้ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพเมื่อไหร่…ข้าก็จะมีพลังมากพอปกป้องตัวเองในสถานที่แปลกถิ่นอย่างดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้แล้ว’
  …
  หลังครุ่นคิดเรื่องราวในใจสักพัก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสงบสติอารมณ์ และตั้งหน้าตั้งตาบ่มเพาะพลังอีกครั้ง
  และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็ง ผู้คนที่มารวมตัวกันที่แท่นยอดยุทธ์ก็เริ่มทยอยจากไป  เหล่าศิษย์ที่แยกย้ายกันจากไป แน่นอนว่าย่อมบังเกิดอาการคันปากอยากบอกกล่าว จึงทำให้เรื่องราวการต่อสู้ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับฉีอวี่เริ่มแพร่กระจายออกไปดั่งไฟลามทุ่ง พริบตาก็สร้างความรู้สึกสะเทือนไปทั่วนิกายหมอกเร้นลับ
  กระทั่งเหล่าอาวุโสระดับสูงในนิกายหมอกเร้นลับเอง หลังได้รับทราบเรื่องนี้แต่ละคนก็อื้ออึงไปพักหนึ่ง “ฉีอวี่ผู้นั้น ตายแล้วรึ?”
  “เจ้าหนูฉีอวี่นั่นกลับด่วนจากไปแล้วหรือ ข้ากำลังคิดจะไปรับมันมาเป็นศิษย์คนที่ 3 ของข้าพอดี…”
  “ถึงจะเสียฉีอวี่ไปคน แต่ได้ต้วนหลิงเทียนมา…นิกายหมอกเร้นลับเราถือว่าได้กำไร มิได้ขาดทุนอันใด”
  …
  ในขณะที่ระดับสูงของนิกายหมอกเร้นลับได้รับทราบข่าวเรื่องราวการตายของฉีอวี่ ถูเฟิงที่เดิมปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ก็ถูกอาจารย์ของมันอาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับส่งข้อความมาปลุก
  “ถูเฟิง ตอนนั้นคนที่เจ้าไปชักชวนมาเป็นศิษย์ให้ข้าที่สถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์ ก็คือต้วนหลิงเทียนใช่หรือไม่?”
  อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ อู่ฟงหยิน มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวหลวมโครกสีเขียว หว่างคิ้วมันมีปานรูปเพชรเด่นหรา ใบหน้าแลดูเด็ดเดี่ยวเอาเรื่อง แม้จะสวมใส่ชุดคลุมยาวหลวมๆไม่พอดีตัว แต่สิ่งนี้ก็ไม่อาจปิดซ่อนท่าทีทระนงดุดันของมัน
  “เจ้าไปหาต้วนหลิงเทียนนั่นอีกครั้งและเชิญมันมาที่นี่ ข้าจะชวนมันเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง”
  นี่คือข้อความที่อู่ฟงหยินส่งให้ถูเฟิง
  หลังได้รับข้อความดังกล่าวจากอาจารย์ ถูเฟิงที่พึ่งตื่นจากการบ่มเพาะก็รู้สึกงุนงงสงสัยอยู่บ้าง จึงส่งข้อความกลับไปถามผู้เป็นอาจารย์ทันที “ท่านอาจารย์ ครั้งก่อนมิใช่ท่านบอกข้าเองหรือ ว่าในเมื่อเจ้านั่นมันไม่รู้ว่าอะไรดีต่อตัว ก็ไม่ต้องไปแยแสมัน และท่านก็ไม่สนใจเรื่องจะรับมันเป็นศิษย์แล้วนี่นา…”
  “หืม?”
  อู่ฟงหยิน “ถึงแม้ข้าจะพูดไปเช่นนั้น แต่ข้าก็แค่พูดไปส่งๆ ตอนนี้เจ้าไปเชิญมันมาหาข้าเถอะ…เจ้าหนูนั่นอายุยังไม่ทันถึง 3,000 ปี แต่กลับอาศัยกระบี่เดียวจบชีวิตฉีอวี่นั่นได้ หากข้าได้มันเป็นศิษย์ ไม่แน่ในอนาคตข้าอู่ฟงหยินอาจมีหน้ามีตาเพราะมัน”
  “ที่สำคัญหากข้าอู่ฟงหยินมีศิษย์อัจฉริยะเช่นนั้น ฐานะข้าในนิกายหมอกเร้นลับก็เห็นช่องทางก้าวหน้าแล้ว”
  เมื่ออู่ฟงหยินส่งข้อความมาอีกครั้ง น้ำเสียงยังแฝงความเร่งร้อนอยู่บ้าง
  “อะไร?!”
  ด้านถูเฟิงเมื่อได้ยินข้อความตอบกลับของอาจารย์ มันก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาลั่นห้องด้วยความตกใจ “ต้วนหลิงเทียนนั่นมันฆ่าฉีอวี่ในกระบี่เดียว!?”
  “ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจอะไรผิดมาหรือไม่ ฉีอวี่ที่ท่านกล่าวถึงใช่ฉีอวี่ที่ติด 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดหรือไม่? ยังเป็นคนที่ได้อันดับ 3 ในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งก่อนผู้นั้น?”
  ถูเฟิงอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไถ่ถามดังกล่าวไปหาอาจารย์ เพราะมันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะฆ่าฉีอวี่ที่มันรู้จักได้…
  “นอกจากมันแล้วยังมีฉีอวี่คนไหนอีก?”
  อู่ฟงหยินตอบกลับเสียงเรียบ “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่…หากเป็นต้วนหลิงเทียนที่พึ่งมาถึงนิกายหมอกเร้นลับในฐานะเทพขั้นกลาง ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉีอวี่แน่”
  “อย่างไรก็ตาม เห็นว่าตอนมันขึ้นไปถึงขั้นที่ 7 ของบันไดสวรรค์ มันกลับบังเกิดความก้าวหน้า บรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูง…จากนั้นมันจึงสามารถขึ้นไปถึงขั้นที่ 8 กระทั่งยังผ่านไปจนถึงขั้นที่ 9 ของบันไดสวรรค์ก่อนจะกลับออกมา…”
  “หากไม่มีใดผิดพลาด การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งนี้ ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่จักได้รับอันดับ 1 ย่อมเป็นมันแน่นอน”
  “นอกจากนั้น มันไม่ใช่แค่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการเท่านั้น แต่ยังเข้าใจพื้นฐานมรรคากระบี่แล้วด้วย ยังอาศัยพื้นฐานมรรคากระบี่ดังกล่าว ฆ่าฉีอวี่ได้ในกระบี่เดียว!”
  “ถึงแม้ว่าการเข้าใจพื้นฐานมรรคาใดๆอาจเป็นเพราะโชค แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าวันหนึ่งมรรคากระบี่ของมันจะไม่มีความก้าวหน้า!”
  “มรรคากระบี่ อย่างไรก็คือมรรคากระบี่…1 ในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก เป็นอะไรที่ข้า อู่ฟงหยินแม้จะอยู่มาหลายหมื่นปี แต่กลับไม่เคยสัมผัสแม้แต่เส้นขนของจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลก”
  “ศิษย์อนาคตไกลเช่นนี้ ข้าอู่ฟงหยินต้องการรับ!”
  “เอาล่ะ เจ้ารีบไปเชิญมันมาให้ข้าได้แล้ว”
  ข้อความสุดท้ายของอู่ฟงหยิน น้ำเสียงขณะกล่าวเรียกว่าไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ…
  “ทราบแล้วท่านอาจารย์”
  ลูกตาถูเฟิงเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวูบหนึ่ง แต่กับอู่ฟงหยิน มันยังไม่มีความกล้าพอจะขัดคำสั่งอีกฝ่าย หลังจากตอบกลับข้อความแล้วเสร็จ มันก็โมโหจนทุบเตียงที่นั่งอยู่จนแหลกเป็นเสี่ยงทันที
  “มารดามันบัดซบนัก!”
  “เดรัจฉานน้อยต้วนหลิงเทียนนั่น ไฉนแข็งแกร่งขนาดนี้ได้?”
  “พื้นฐานมรรคากระบี่? โชคมันจะดีไปถึงไหนกัน!?”
  …
  ถูเฟิงย่อมรู้แก่ใจดี ว่าเกิดต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ของอาจารย์มันขึ้นมา แม้จะเป็นศิษย์น้องของมัน แต่ฐานะอีกฝ่ายในสายตาอาจารย์ เกรงว่าคงต้องเหนือกว่ามันมากมายแล้ว
  เช่นนั้นเสมือนมันถูกลิขิตไว้ให้ถูกอีกฝ่ายเหยียบย่ำในวันหน้า ถึงแม้วันนี้อีกฝ่ายจะยังไม่เก่งกล้าเท่ามันก็ตาม…