ตอนที่ 3678 หากไม่ได้ ก็ทำลายเสีย!

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

ถูเฟิงต้องการไปเชิญต้วนหลิงเทียนหรือไม่?
  ย่อมไม่ต้องการเป็นธรรมดา!
  ในหัวของมันบังเกิดความคิดเรื่องจะไม่ไปเชิญต้วนหลิงเทียน และโกหกอาจารย์ว่าต้วนหลิงเทียนปฏิเสธอยู่หลายครั้ง
  อนิจจา มันยังไม่มีความกล้าพอกระทำ
  ถึงแม้อาจารย์ของมันจะเป็นแค่ราชาเทพดุจเดียวกัน
  ทว่ามันเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำ ส่วนอาจารย์ของมันเป็นถึงราชาเทพขั้นสูงแล้ว แถมยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาเทพระดับต้นๆในบรรดาตัวตนขอบเขตราชาเทพของนิกายหมอกเร้นลับอีกด้วย คิดฆ่าราชาเทพขั้นสูงทั่วไปสักคน ยังง่ายดายไม่ต่างฆ่าสุนัขสักตัว นับประสาอะไรกับราชาเทพขั้นต่ำเช่นมัน
  มันเองก็รู้นิสัยของอาจารย์ดี ว่าเกลียดคนที่ไม่เชื่อฟังมากแค่ไหน
  ดังนั้นมันจึงไม่กล้าขัดคำสั่ง
  ทำให้ถึงมันจะไม่เต็มใจแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เลือกจะไปหาต้วนหลิงเทียนแต่โดยดี
  อย่างไรก็ตาม เมื่อมันไปหาต้วนหลิงเทียนถึงบ้านพักมันก็พบว่า…
  ต้วนหลิงเทียนได้ปิดด่านบามเพาะอีกแล้ว
  เพราะทั่บ้านทั้งหลัง ถูกปกคลุมไปด้วยพลังของค่ายกลจากจานค่ายกลที่นิกายแจก ไม่เพียงแต่จะมีม่านพลังป้องกันไม่ให้ใครบุกรุกในระดับหนึ่ง ยังมีอาคมปิดกั้นเสียง จนยากจะติดต่อกับคนในบ้านได้
  และตอนที่ถูเฟิงมาถึง รอบๆบ้านต้วนหลิงเทียนก็มีคนมายืนรอกันไม่น้อย
  วัตถุประสงค์ของผู้คนเหล่านี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากถูเฟิง ล้วนมาเพื่อเชิญต้วนหลิงเทียนไปหาอาจารย์หรือผู้อาวุโสของพวกมันทั้งสิ้น เพราะอาจารย์หรืออาวุโสของพวกมันก็คิดรับตัวต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์เช่นกัน
  “เฮ่ถูเฟิง! ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกต้วนหลิงเทียนปฏิเสธตั้งแต่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์แล้วนี่…ไฉนเจ้าถึงมาที่นี่อีกเล่า?”
  ชายหนุ่มหนึ่งในนั้น พอเห็นถูเฟิงมา มันก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มสนุกสนานพลางถามออกมาด้วน้ำเสียงหยอกล้อ
  มันก็เป็นศิษย์ระดับสูงคนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับ เป็นศิษย์สายในที่มีด่านพลังฝึกปรือขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ! ทำให้มันไม่ได้หวาดกลัวถูเฟิงแม้แต่นิดเดียว ยังกล้ากล่าวหยอกล้อกับถูเฟิงอีกด้วย
  “เซี่ยเช่าเฟิง เจ้ายุ่งเรื่องของตัวเองไปเถอะ อย่าได้สอดเรื่องชาวบ้านให้มันมากนัก!”
  ถูเฟิงที่อารมณ์ไม่ดีเป็นทุน พอโดนอีกฝ่ายเย้ยเยาะ มันก็หันไปถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ส่วนอีกด้านนั้นพอเห็นท่าทีของถูเฟิงก็หัวเราะออกมาเสียงดังร่า ยิ่งมาความล้อเลียนบนใบหน้ายิ่งชัดขึ้น
  “ถูเฟิง”
  ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มอีกคนก็หันไปมองกล่าวกับถูเฟิงด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าว่าเจ้ากลับไปเสียจะดีกว่า…เท่าที่ข้าทราบมา ตอนที่ศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนประมือกับฉีอวี่ มันได้กล่าวให้ผู้คนได้ยยินกันชัดถนัดหู ว่าฉีอวี่เป็นสุนัขรับใช้ของเจ้า! ดูท่าผู้อื่นเขาจะล่วงรู้หมดแล้ว ว่าเจ้าส่งฉีอวี่ไปก่อกวน เช่นนั้นเกรงว่าผู้อื่นมีก็แต่ความเกลียดชังให้เจ้า แล้วเจ้ายังคิดว่าเป็นไปได้อีกหรือไง ที่มันจะยอมกลับไปกับเจ้าเพื่อเป็นศิษย์น้องของเจ้า?”
  “ใช่แล้ว”
  “ถูเฟิง ข้าว่าเจ้ารีบไปเสียดีกว่า หากเจ้าเสนอหน้ามาให้ศิษย์น้องต้วนหลิงเทียนเห็นอีก ข้าเกรงว่าศิษย์น้องคงรำคาญหน้าเจ้า จนมีอคติกับอาวุโส 2 เปล่าๆ”
  …
  เหล่าคนที่มา ปกติแล้วก็เป็นศิษย์สายในขอบเขตราชาเทพทั้งสิ้น ทำให้ไม่มีใครกลัวถูเฟิงสักคน อีกทั้งสถานะของคนที่หนุนหลังพวกมัน ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโส 2 ที่อยู่เบื้องหลังถูเฟิงแต่อย่างใด
  พอถูเฟิงได้ยินวาจาถากถางเย้ยเยาะเหล่านี้ สีหน้าของมันก็เปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันที เพราะเรื่องนี้มันพึ่งจะรู้!   ตัวโง่งมฉีอวี่นั่น ก่อนตาย กลับเปิดเผยเรื่องที่มันขอให้ไปสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นหรือ?
  ตอนนี้ถูเฟิงมันนึกภาพออกเลย ว่าหากอาจารย์ของมันรู้เรื่องนี้ขึ้นมาจะทำอย่างไรกับมัน…จังหวะนี้ ร่างมันเสมือนมีไอเย็นแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ เรียกว่าหนาวจนตัวสั่น!
  อย่างไรก็ตาม สุดท้ายถูเฟิงก็ได้แต่จากไปอย่างทำอะไรไม่ได้ แถมรู้อีกด้วยว่าไม่นานอาจารย์ต้องเรียกมันไปหาแน่
  ยังมีความเป็นไปได้สูงที่มันจะถูกลงโทษอย่างหนัก
  และเป็นอย่างที่ถูเฟิงคิดไว้ไม่มีผิด หลังจากมันกลับมาถึงบ้าน อาจารย์ของมันอาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับ ก็ส่งข้อความมาตามตัวมันให้ไปพบ “ถูเฟิง เจ้าสั่งให้ฉีอวี่ไปหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นรึ?”
  ในสวนหลังบ้าน ปรากฏร่างหนึ่งยืนหันหลังให้ถูเฟิง เป็น อูฟงหยิน ที่ยืนเอาสองมือไพร่หลังอยยู่ และคล้ายกำลังทัศนาหินที่อยู่กลางสระน้ำไม่ไกล เอ่ยถามถูเฟิงออกมาเสียงเบา
  ตุบ!
  แทบจะทันทีที่อู่ฟงหยินกล่าวจบคำ ถูเฟิงก็ทรุดตัวลงคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านอาจารย์ เจ้านั่นมันเคยปฏิเสธเรื่องที่จะเป็นศิษย์ของท่าน ยังถึงกับยืนกรานปฏิเสธถ่ายเดียวไม่แยแสแม้แต่น้อย”
  “ท่านอาจารย์ ตัวท่านมีเกียรติถึงเพียงใด ท่านคิดรับมันเป็นศิษย์ ก็นับเป็นบุญหัวสิบแปดชั่วโคตรของมันแล้ว แต่มันกลับไม่รู้ว่าอะไรดีต่อตัว หาญกล้าปฏิเสธท่าน…”
  “ท่านอาจารย์ เป็นศิษย์ไร้สามารถไม่อาจทำตามคำสั่งของท่านได้…”
  ถูเฟิงที่คุกเข่าลงบนพื้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอับจน อย่างไรก็ตาม หากฟังให้ดูจะพบว่ามันไม่คิดว่านี่เป็นความผิดของมัน
  “อ้อ…เช่นนั้นมันผิดที่ข้ากระมัง?”
  อู่ฟงหยิน หันกลับมามองถูเฟิงด้วยสายตาเฉยเมย จากนั้นมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆยกขึ้น
  “ศิษย์ไม่กล้า!”   ร่างถูเฟิงที่คุกเข่าอยู่เร่งก้มหน้าลง “ทั้งหมดเป็นความผิดของศิษย์เอง เป็นศิษย์ที่นัยน์ตาสั้นไม่เห็นการณ์ไกล เผลอไปทำให้มันขุ่นเคือง…”
  “เอาล่ะ เจ้าลุกขึ้นได้แล้ว”
  อู่ฟงหยินโบกมือส่งๆ น้ำเสียงยังฟังดูผ่อนคลายกว่าเดิม
  “ขอบคุณท่านอาจารย์”
  ถูเฟิงที่พร้อมรับการลงโทษ ไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบนี้ และเท่าที่มันรู้เกี่ยวกับนิสัยของอาจารย์ ในเมื่อตอนนี้อีกฝ่ายไม่ลงโทษมัน เช่นนั้นต่อไปก็ไม่คิดจะย้อนกลับมาลงโทษมันเรื่องนี้อีกแล้ว
  หลังจากถูเฟิงลุกขึ้นยืน อู่ฟงหยินก็เหลือบมองมันเบาๆ “ดูจากสถานการณ์แล้ว ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนนั่น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลายเป็นศิษย์ข้า…ใช่หรือไม่?”
  ถูเฟิงที่คิดว่าเรื่องราวคงไม่มีอะไรแล้ว อยู่ๆพอมาได้ยินคำถามดังกล่าวของอู่ฟงหยินมันก็รู้สึประหม่าไม่น้อย แต่ยังพยักหน้าตอบไปอย่างกล้าๆกลัวๆ “ใช่ ท่านอาจารย์”
  ทำให้ถูเฟิงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
  จนเมื่อได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของอู่ฟงหยิน ถูเฟิงจึงพอได้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
  “ในเมื่อมันไม่อาจเป็นศิษย์ของข้าได้ แถมมันยังเป็นศัตรูของเจ้าไปแล้ว…เช่นนั้นข้าก็ได้แต่หาโอกาสกำจัดมันทิ้งเสีย”
  อู่ฟงหยินกล่าวคำเสียงเบา “กับอัจฉริยะเช่นนี้ เป็นการดีเสียกว่าที่จะรัดคอมันให้ตายเสียตั้งแต่อยู่ในเปล…หากปล่อยให้มันเติบโตก้าวหน้า ต่อไปคิดฆ่าเจ้าคงง่ายดายเยี่ยงฆ่าสุนัข และข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้า ย่อมไม่อาจนิ่งดูดายเจ้าตายได้…”
  “พอข้าช่วยเจ้า มันก็จะเห็นข้าเป็นศัตรูไปอีกคน”
  “และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับข้าแน่…”
  “เช่นนั้นก่อนที่มันจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ ให้รีบหาทางกำจัดมันเพื่อตัดปัญหาในภายภาคหน้าเสีย!”
  หลังจากได้ยินคำพูดของอาจารย์ ลูกตาถูเฟิงก็เป่งแสงจ้าขึ้นมาทันใด เร่งพยักหน้าขานรับคำด้วยความเคารพ “ทราบแล้วท่านอาจารย์”   เดิมทีมันคิดว่าสุดท้ายก็หนีบทลงโทษไม่พ้น…
  แต่ไม่คิดไม่ฝัน ว่าอาจารย์จะมอบคำสั่งดังกล่าวให้มันแทน
  และคำสั่งของอาจารย์ ก็เป็นความฝันของมันเช่นกัน
  “เจ้าจัดการเองได้หรือไม่ หากว่าไม่ ข้าจักได้หาคนไปช่วยเจ้า”
  อู่ฟงหยินเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง
  “ท่านอาจารย์ กับเด็กน้อยที่ยังไม่แม้แต่จะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ ข้าคนเดียวก็จัดการมันได้สบาย!”
  ถูเฟิงส่ายหัวไปมา เพราะมันรู้ดีแก่ใจหากมันตอบออกไปว่าไม่ได้หรือไม่มั่นใจล่ะก็ ไม่พ้นอาจารย์ต้องดูแคลนมันแน่นอน จากนั้นก็คงต้องหาคนมาจัดการต้วนหลิงเทียนแทนมัน
  สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตัวมันก็เป็นถึงราชาเทพขั้นต่ำคนหนึ่ง
  คิดสังหารเทพขั้นสูงสักคน มันยากตรงที่ใดกัน?
  “เช่นนั้นก็ดี”
  อู่ฟงหยินพยักหน้า “เจ้าไปได้แล้ว”
  “ทราบแล้วท่านอาจารย์”
  ถูเฟิงป้องมือประสานโค้งหัว พลางสืบเท้าก้าวถอยหลังไปหลายก้าวใหญ่ ค่อยเหินร่างจากไปพร้อมครุ่นคิดหาวิธีจัดการกับต้วนหลิงเทียน
  ‘ต้วนหลิงเทียนนั่น ที่มันเลือกจะปิดด่านบ่มเพาะทันทีหลังออกมาจากบันไดสวรรค์ ไม่พ้นคิดปรับด่านพลังเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมการประเมินทดสอบศิษย์หลัก…อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะดิ้นรนอย่างไรมันก็ไม่มีทางผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลักได้แน่’
  ‘แม้แต่ผู้อาวุโสเชวียไห่ชวน เมื่อ 10,000 กว่าปีก่อนทั้งๆที่อยู่ในขอบเขตเทพขั้นสูงแถมเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งความตาย 3ประการ 2 ชุด ที่สำคัญยังใช้พลังสายเลือด ก็ทำได้แค่ผ่านการประเมินทดสอบศิษย์หลักมาอย่างเฉียดฉิวเท่านั้น…’
  ‘แต่เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการแค่ชุดเดียว แถมพลังที่มันจะได้จากการเข้าใจพื้นฐานมรรคากระบี่ ก็นับว่าด้อยกว่าการเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการชุดที่ 2 มาก..’
  ‘ส่วนพลังสายเลือด ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่ามันมีหรือไม่…แต่ถึงจะมีก็ยังไม่มากพอจะกลบถมความต่างนั่นได้’
  ไตร่ตรองถึงจุดนี้ ถูเฟิงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
  ‘ก่อนการประเมินทดสอบศิษย์หลัก เกรงว่าคงยากจะหาโอกาสฆ่ามันได้…เช่นนั้นก็รอให้การทดสอบประเมินศิษย์หลักจบลงก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นค่อยหาวิธีล่อมันไปฆ่านอกนิกาย…’
  ถูเฟิง ย่อมไม่มีความกล้ามากพอจะฆ่าต้วนหลิงเทียนในนิกายหมอกเร้นลับ
  เพราะในนิกายหมอกเร้นลับแห่งนี้ เว้นเสียแต่จะอยู่ในสถานที่เฉพาะเหมือนบันไดสวรรค์ ไม่ว่าจะสถานที่อื่นใดในนิกายให้เปลี่ยวร้างแค่ไหน ก็ล้วนตกอยู่ภายใต้ขอบเขตตรวจตราของค่ายกลทั้งสิ้น และค่ายกลดังกล่าวยังบันทึกภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด จนสามารถฉายซ้ำเพื่อย้อนดูในภายหลังได้อีกด้วย
  เช่นนั้นการฆ่าคนในพื้นที่นิกายหมอกเร้นลับ ต่อให้จะไปลงมือในที่เปลี่ยวร้างและไร้ซึ่งพยาน สุดท้ายก็จะถูกค่ายกลตรวจตราบันทึกนั่น ฉายฉากเรื่องราวการลงมือเป็นหลักฐานมัดตัวอยู่ดี
  ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ถูเฟิงจะลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนในเขตนิกายหมอกเร้นลับ เพราะต่อให้มันจะลงมือฆ่าคนสำเร็จ แต่มันก็จะถูกนิกายหมอกเร้นลับประหารชีวิตอยู่ดี
  ทำได้แค่หาทางหลอกล่อต้วนหลิงเทียนไปเชือดด้านนอกเท่านั้น…
  …
  หลังจากปิดด่านบ่มเพาะไปราวๆครึ่งเดือน ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นขึ้น
  ‘พลังของโอสถเสริมโชค 5 เม็ดช่างยอดเยี่ยมจริงๆ แถมความเร็วในการดูดซับมันยังรวดเร็วอีกด้วย แค่ครึ่งวันข้าก็ดูดซับพลังของมันได้หมดแล้ว ทำให้ระดับพลังของข้าก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย…ยิ่งไปกว่านั้น เพราะมันเพิ่มพลังให้ข้ามหาศาลในเวลาสั้นๆ ก็เลยพลอยมี ‘แรงเฉื่อย’ ทำให้การบ่มเพาะพลังต่อมาหลังจากนั้น พลอยมีความเร็วสูงเกินจริงไปพักหนึ่ง พึ่งจะมาหยุดลงเอาตอนนี้’   ‘ด้วยระดับพลังของข้าในปัจจุบัน สมควรห่างจากธรณีประตูขอบเขตราชาเทพไม่ไกลแล้ว’
  ‘ยังรู้สึกได้ชัดเจน…ว่าไม่จำเป็นต้องใช้โอสถเสริมโชคถึง 4 เม็ดอีกต่อไป แค่ได้โอสถเสริมโชคสัก 2-3เม็ด ข้าก็น่าจะลองทะลวงขั้นพลังให้ถึงขอบเขตราชาเทพได้!’
  นี่เป็นผลลัพธ์จากการปิดด่านบ่มเพาะครึ่งเดือนของต้วนหลิงเทียน
  นอกจากนั้น ในกระบวนการดังกล่าว เขายังค้นพบอีกว่า…
  เหตุไฉนที่มันเกิด ‘แรงเฉื่อย’ ของการบ่มเพาะพลังหลังจากใช้โอสถเสริมโชค จนทำให้เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้อย่างรวดเร็วต่ออีกพักใหญ่นั้น มันเกี่ยวข้องกับชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายที่เขามีอย่างแยกไม่ออก
  ถึงแม้ว่าหลังจากมาถึงระนาบเทพแล้วข้อได้เปรียบเรื่องนี้จะลดทอนลงไปมาก เพราะชนพื้นเมืองในระนาบเทพส่วนใหญ่ก็มีชีพจรสวรรค์มากกว่า 90 จุดสาย เพราะสุดท้ายพวกมันก็เป็น ‘ผู้สืบเชื้อสาย’ ของผู้แข็งแกร่งที่สุด และมีเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่ในร่างแม้จะน้อยแค่ไหนก็ตามที
  เผชิญหน้ากับผู้คนในระนาบเทพ ข้อได้เปรียบในแง่ความเร็วการเร่งเร้าพลังเทพของเขาก็ไม่ชัดเจนเหมือนที่เคย
  แต่กระนั้น เร็วกว่าก็คือเร็วกว่า
  ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ที่เขาสามารถลงมือฆ่าฉีอวี่ได้ในกระบี่เดียวนั้น เพราะเขามีข้อได้เปรียบเรื่องการเร่งเร้าพลังเทพได้เหนือกว่าฉีอวี่
  อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดเลยว่าชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายจะสร้าง ‘ความประหลาดใจ’ เช่นนี้แก่เขา หลังจากรับประทานโอสถเสริมโชค 5 เม็ดในคราวเดียว…
  ‘นี่ก็ผ่านมาร่วมครึ่งเดือนแล้ว…อันดับการไต่บันไดสวรรค์สมควรออกมาแล้วกระมัง หากไม่มีข้อผิดพลาดใดๆข้าสมควรได้อันดับ 1 แน่นอน และของรางวัลที่จะได้รับก็คือโอสถเสริมโชคอีกเม็ด…’
  เมื่อได้ลิ้มรสความหอมหวานของโอสถเสริมโชคแล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมกระเหี้ยนหรือหือรืออยากได้มันมาเพิ่ม แม้จะเป็นโอสถเสริมโชคแค่เม็ดเดียวก็ตาม
  ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ถอนค่ายกล
  และทันทีที่เขาถอนค่ายกล เขาก็ได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่จากนอกบ้าน ราวกับมีผู้คนจำนวนมากมาคุยกันข้างบ้านเขา
  “เฮ่อ ข้าล่ะไม่ทราบจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนจะออกจากการปิดด่านเมื่อใด อาจารย์ข้าดันสั่งให้ข้ารอพบมันให้จงได้ เช่นนั้นหากมันไม่ออกมา ข้ายังจะไปไหนได้อีกเล่า…”
  น้ำเสียงบางคนยังเต็มไปด้วยความโอดครวญ
  “ฮ่าๆๆ…ข้าก็โดนสั่งมาเหมือนเจ้านั่นล่ะ ว่าแต่เจ้าคิดว่าสุดท้ายต้วนหลิงเทียนจะเลือกผู้พิทักษ์หรืออาวุโสสูงสุดไม่เว้นอาวุโสหลักคนใดเป็นอาจารย์หรือ?”
  “ข้าก็ไม่แน่ใจนักหรอก…แต่ที่ข้ารู้คืออย่างน้อยๆก็ตัดอาวุโส 2 ออกไปได้เลย เพราะอย่างน้อยๆมันก็สมควรมีอคติกับอาวุโส 2 เพราะถูเฟิงแน่นอน”
  “ก็อัจฉริยะนี่นะ…จะเอาแต่ใจก็เป็นธรรมดา”