“เจ้าพวกนั้น มันทาสเดนตาย!”
  ทันใดนั้นเอง เสียงอุทานหนึ่งพลันดังเข้าหูต้วนหลิงเทียน ทำให้เขาให้ความสนใจกับร่างผู้คนนับโหลที่พึ่งปรากฏตัวออกมาจากความมืดทันที
  ผู้คนนั่บสิบๆนั่น ประกอบไปด้วยคนวัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชรา
  อย่างไรก็ตามพวกมันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือแววตาว่างเปล่าคล้ายพวกมันไร้ซึ่งวิญญาณ
  เป็นธรรมดาว่าคำไร้ซึ่งวิญญาณนี้ก็แค่การเปรียบเปรยเท่านั้น เพราะหากลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบก็พบว่าแต่ละคนยังมีดวงจิต และในทะเลวิญญาณของดวงจิตก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของพวกมัน! หากจะกล่าวกันตรงๆสิ่งที่ทำให้พวกมันแตกต่างจากคนธรรมดา ก็คือพวกมันแลดูเฉยเมยเกินไป ราวกับไร้แยแสต่อทุกสิ่ง!!
  “ทาสเดนตายหรือ?”
  นับเป็นครั้งแรกเลยที่ต้วนหลิงเทียนได้ยินคำว่า ‘ทาสเดนตาย’ หลังมาถึงดินแดนดาราพิศวง และคำพูดลอยๆด้วยความสงสัยของเขา ก็ทำให้จางเหยาจี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ต้วนหลิงเทียน เจ้าไม่รู้จักทาสเดนตายงั้นหรือ?”
  “อ่า ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว เขาไม่เคยได้ยินคำนี้จริงๆ หากเป็นพวกเดนตาย หรือนักรบเดนตายเขายังพอได้ยินทั้งได้พบเจอมาบ้าง แต่กับคำว่า ‘ทาสเดนตาย’ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
  สำหรับพวกเดนตายหรือนักรบเดนตายนั้น ตอนที่เขายังอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์ เขาเคยพบเจอมาแล้วในพื้นที่ทดสอบนักศึกษา 10 ดาว…แต่ลักษณะของพวกเดนตายและนักรบเดนตายที่เขาพบเจอ มันแตกต่างจากทาสเดนตายที่อยู่ในสายตาเขาตอนนี้อย่างสิ้นเชิง
  พวกเดนตายที่เขาพบเจอนั้นแลดูไม่ต่างจากคนทั่วไป ในแววตายังฉายชัดถึงสติปัญญา
  แต่ทาสเดนตายที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ สายตาแต่ละคนเรียกว่าหม่นหมองไร้ประกายเหมือนปลาตายก็ไม่ผิด ราวกับพวกมันไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไรแล้ว…
  หากทว่าพวกมันที่เหมือนไร้ความรู้สึกนึกคิด แต่การลงมือกลับไม่ใช่ชั่วเลย แถมยังเลือกจะทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการโจมตีไม่เก็บแม้แต่เสี้ยวพลังไว้ป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ เรียกว่าแต่ละคนลงมือด้วยความอำมหิตต่อตัว ทำให้หากไม่มีพลังเหนือกว่าโดยสมบูรณ์ หาไม่แล้วถึงจะฆ่าพวกมันได้ ก็จำต้องถูกกระบวนท่าตายตกไปตามกันของพวกมันทำร้ายจนบาดเจ็บเอาได้ง่ายๆ
  “ทาสเดนตายนั้น ถูกใช้กลวิธีบางอย่างลบความทรงจำทั้งหมดในชีวิตไป และถูกฝึกให้กลายเป็นพวกเดนตายที่ไร้ความรู้สึกนึกคิด…กล่าวได้ว่า ทาสเดนตาย นั้น จะรู้จักก็แต่ลมหายใจของเจ้านายตัวเองเท่านั้น และสิ่งที่เรียกว่า ลมหายใจ นั้น ก็เป็นอะไรที่เป็นปัจเจกของแต่ละบุคคล ไร้ผู้ใดมีเหมือนกัน และนั่นเป็นดั่งผู้ออกคำสั่งเพียงหนึ่งเดียว”
  จางเหยาจี้กล่าวอธิบาย “ขอเพียงพวกมันได้รับคำสั่งจากเจ้านาย พวกมันก็จะเชื่อฟังและทำตามอย่างไร้เงื่อนไข แม้จะถูกสั่งให้ไปตาย คิ้วพวกมันก็ไม่แม้แต่จะขมวด”
  “แล้วพวกทาสเดนตาเหล่านี้ เคยเป็นใครมาก่อน ไฉนถึงกลายมาเป็นทาสเดนตายได้?”
  ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
  “พวกมันก็เคยเป็นคนธรรมดาอย่างเราๆนี่ล่ะ”
  จางเหยาจี้ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ค่อยกล่าวต่อ “และนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในระนาบเทพ…หากผู้ใดถูกศัตรูจับตัวได้ และไม่เลือกที่จะฆ่าตัวตายทันทีหรือหาโอกาสหลบหนีไม่ได้ล่ะก็ มีโอกาสสูงที่จะถูกเปลี่ยนให้เป็นทาสเดนตาย”
  “ไม่ว่าจะตัวตนขอบเขตเทพก็ดี ราชาเทพก็ดี หรือแม้แต่ตัวตนระดับจอมราชันเทพ…ขอเพียงถูกผู้ที่มีพลังวิญญาณสูงกว่ามากใช้วิธีการเฉพาะหรือไม่ก็ค่ายกลพิเศษบางอย่าง ก็จะโดนทำลายความรู้สึกนึกคิดรวมถึงความทรงจำชั่วชีวิตลงได้ไม่ยาก…สุดท้ายก็จะกลายเป็นทาสเดนตาย”
  “ทาสเดนตายระดับเทพ…ต้องให้ราชาเทพที่มีพลังวิญญาณสูงจัดการ”
  “ราชาเทพที่จะจัดการตัวตนขอบเขตเทพได้ที่ข้ากล่าวถึง ก็คือราชาเทพที่เชี่ยวชาญการใช้ทักษะวิญญาณ จะขอบเขตจอมราชันเทพหรือสูงกว่านั้นก็ทำนองเดียวกัน…”
  “และไม่ว่าในระนาบเทพใด ทาสเดนตายก็เป็นสินค้าที่ไม่เคยขาดผู้ซื้อ…และขอเพียงเจ้ามีทุนทรัพย์มากพอ เจ้าก็หาซื้อพวกมันได้ไม่ยาก เพราะสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทาสเดนตายก็คือ พวกมันจะไม่แว้งกัดเจ้านายเด็ดขาด”
  “ถึงจะเป็นแค่เทพขั้นต่ำ ต่อให้ชั่วชีวิตไม่อาจบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพ ขอเพียงซื้อหาทาสเดนตายหรือมีป้ายเฉพาะที่ใช้ควบคุมทาสเดนตาย นับประสาอะไรกับทาสเดนตายขอบเขตราชาเทพ ต่อให้เป็นทาสเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพ กระทั่งอริยะเทพในตำนาน พวกมันก็สามารถควบคุมได้หมด…”
  …
  จากคำอธิบายของจางเหยาจี้ ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้ซึ้งถึงความหมายของคำว่า ‘ทาสเดนตาย’ ชัดเจนแจ่มแจ้ง และเขายังตระหนักได้ทันทีว่า หากถูกเขาจับไปทำเป็นทาสเดนตายล่ะก็ เขาคงถึงวาระแล้วจริงๆ…
  แม้เขาจะนิ่งฟังคำพูดจางเหยาจี้อย่างสงบ แต่ในใจต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวยะเยือก หนังศีรษะยังคล้ายชาหนึบขึ้นมาทันที
  แต่แน่นอนว่าหลังจากฟังคำพูดของจางเหยาจี้แล้ว ต้วนหลิงเทียนยังได้รู้อีกว่า ไม่ใช่แค่มีด่านพลังเหนือกว่าก็ทำให้เขากลายเป็นทาสเดนตายได้ ต่อให้ด่านพลังมากกว่าหลายขั้นก็ไม่ใช่กระทำได้ง่ายๆ
  เฉพาะผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องทักษะวิญญาณเท่านั้น!
  ยิ่งไปกว่านั้น หากพกอุปกรณ์ป้องกันวิญญาณติดตัวเอาไว้ จนวิญญาณได้รับความคุ้มครองแล้วล่ะก็ จะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนให้เป็นทาสเดนตายได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่จะทำลายอุปกรณ์ป้องกันวิญญาณดังกล่าวไปเสียก่อน
  “อันที่จริง เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก”
  จางเหยาจี้กล่าวพลางยิ้มว่า “ในนิกายหมอกเร้นลับแห่งนี้ ไม่มีใครสามารถทำกับเจ้าเช่นนั้นได้แน่นอน…เพราะไม่ว่าใครหน้าไหนหากกล้าลงมือกับเจ้าแบบนั้น มันก็ไม่ต่างจากหาที่ตาย!”
  “ในระนาบเทพแม้จะเป็นสถานที่ไร้กฏเกณฑ์แค่ไหน อย่างไรก็ตามมีกฏที่ไม่ได้พูดที่ทุกคนรู้กันดี ว่าไม่อาจเปลี่ยนสหายร่วมขุมกำลังเดียวกันให้เป็นทาสเดนตายโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่ง”
  “ต่อให้เจ้าทำผิดพลาดร้ายแรงแค่ไหน ต่อให้ต้องโทษประหารชีวิต…ก็จะไม่มีใครเปลี่ยนเจ้าให้เป็นทาสเดนตาย เพราะนั่นเป็นการกระทำที่ไร้มนุษย์ธรรมเกินไป”
  “อย่างไรก็ตาม แต่ละขุมกำลังสามารถใช้กฏที่ไม่ได้พูดนี้กับขุมกำลังตัวเองเท่านั้น ไม่อาจใช้กับคนของขุมกำลังอื่นได้…”
  “นอกจากนั้น เมื่อมีผู้อยากซื้อ ก็ย่อมมีผู้ที่อยากขาย…ยังมีผู้คนด้านนอกมากมายที่ประกอบการค้าจับคนมาทำทาสเดนตายเพื่อจำหน่ายโดยเฉพาะ! เพราะราคาของทาสเดนตายในตลาดนั้น เรียกว่ามีแต่เพิ่มกับเพิ่มไม่มีลด!”
  “ดังนั้นหากเจ้ามีเหตุต้องออกไปด้านนอก เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก…หากเจ้าไม่มีกำลังมากพอ ข้าแนะนำว่าอย่าได้ไปไหนมาไหนด้านนอกเพียงลำพังเด็ดขาด”
  “หากเจ้าถูกฆ่าหรือถูกปล้นก็ไม่นับเป็นอะไร…แต่น่ากลัวที่สุดคือกลายเป็นทาสเดนตาย ตกเป็นดาบในมือของผู้อื่น”
  “ซ้ำร้ายที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังตกเป็นดาบในมือผู้อื่นแล้ว จะถูกใช้มาทำลายครอบครัวหรือคนรู้จักของตัวเอง…”
  …
  ต้วนหลิงเทียนย่อมเข้าใจสิ่งที่จางเหยาจี้จะสื่อดี
  เมื่อมีธุรกิจ ย่อมมีความเสี่ยง
  หากไม่มีตลาดไหนเลยจะมีคนทำธุรกิจสร้างทาสเดนตาย แต่ในเมื่อทาสเดนตายขายดีและมีความต้องการอย่างไม่มีวันจบสิ้น เช่นนั้นก็มีผู้ที่ประกอบการค้าเส้นทางนี้โดยเฉพาะ…จับคนไปสร้างทาสเดนตาย!
  “ทาสเดนตายนั้นจะไร้ความรู้สึกนึกคิดโดยสมบูรณ์ พวกมันจะทำตามคำสั่งของเจ้านายอย่างเคร่งครัด และมันจะทำทุกทางเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ดังกล่าว”
  “และหากให้ข้าเดาล่ะก็ ตอนนี้ตาแก่บ้านข้าไม่พ้นสั่งทาสเดนตายเหล่านี้ ให้ขัดขวางไม่ให้พวกเราขึ้นไปด้านบน…”
  พอจางเหยาจี้กล่าวจบคำ ร่างมันก็เหินทะยานขึ้นไปทันที
  จากนั้นทั่วร่างมันก็ปรากฏแสงพลังสีทองสาดส่องออกมาเจิดจ้า ยังออกกระบวนท่าจู่โจมใส่เหล่าทาสเดนตายอย่างไม่รอช้า
  ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
  …
  แสงดาบพลังสีทองนับพันพวยพุ่งออกจากปลาดาบของเหยาจี้ราวปืนกล เห็นได้ชัดว่ามันเข้าใจกฏแห่งทอง แถมยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งทอง 3 ประการแล้วด้วย!
  พอมันลงมือออกไป ก็กดดันจนเหล่าทาสเดนตายนับ 10 ถูกดาบพลังซัดจนถอยร่นไปอย่างไม่ยินยอม
  อย่างไรก็ตาม เมื่อทาสเดนตายเหล่านั้นทำลายดาบพลังได้แล้ว พวกมันก็เร่งเร้าพลังชั่วชีวิตบุกตะลุยลงมาอีกครั้ง ทำให้จางเหยาจี้รู้สึกกดดันไม่น้อย สุดท้ายก็โพล่งออกมาเสียงดังลั่น “เพ่ย! พวกเจ้าจะรอให้ปู่ของพวกเจ้ามาตัดริบบิ้นรึไรหา ยังไม่รีบมาช่วยข้าอีก!!”
  แทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงตะโกนของจางเหยาจี้ดังจบคำ เหล่าศิษย์สายในที่ถูกกดดันจนล่าถอยก่อนหน้า รวมถึงศิษย์สายในด้านล่างที่อยู่รอบๆตัวต้วนหลิงเทียน ก็เร่งเหินร่างทะยานขึ้นไปลงมือทันที
  เมื่อเหล่าศิษย์สายในรวมกลุ่มกันจู่โจม ก็สามารถกดดันทาสเดนตายนับโหลที่ปรากฏตัวออกมาชุดแรกได้ไม่ยากเย็น อย่างไรก็ตามเพียงแค่กดดันจนพวกมันได้แต่ถูกพลังซัดจนถอยร่นไปเท่านั้น ไม่ถึงขั้นสิ้นท่า
  และมีทาสเดนตายแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่บาดเจ็บ ยังไม่มีใครถึงขั้นตกตาย  “ทาสเดนตายพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเทพขั้นสูง แถมพวกมันไม่ว่าใครก็ล้วนเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 2 ประการ 2 ชุดขึ้นไป…นอกจากนั้นอาวุธในมือของพวกมันยังเป็นอุปกรณ์เทพขั้นต่ำอีกด้วย”
  การปะทะกันแค่ช่วงสั้นๆ ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนหยั่งตื้นลึกหนาบางของทาสเดนตายนับโหลได้ออก ขณะเดียวกันเขาก็พบว่าการถอยร่นไปของพวกมันนั้นมีรูปแบบตายตัว เห็นได้ชัดว่าพวกมันสมควรได้รับคำสั่งจากจางเทียนเหิง ผู้ควบคุมการทดสอบ
  สุดท้ายแล้วทาสเดนตายแต่ละคนก็มีค่า จะให้พวกมันรบจนตัวตายเพราะใช้ทดสอบศิษย์สายในก็ใช่ที่…
  ด้วยเหตุนี้ ต้วนหลิงเทียนจึงผ่านการทดสอบระลอกมาได้โดยไม่ต้องออกแรงใดๆ
  ถือว่าเป็นด่านทดสอบแรกของหุบเหวสุดขั้ว
  ‘อย่างไรก็ตาม ที่แท้จางเหยาจี้คนนี้กลับมีพลังฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าฉีอวี่เลย…’
  และการลงมือของจางเหยาจี้เมื่อครู่ ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนตระหนักได้ว่า ไม่ใช่แค่พลังฝีมือของอีกฝ่ายไม่ด้อยไปกว่าฉีอวี่ผู้เป็น 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ยังออกจะเหนือกว่าเล็กน้อยอีกด้วย
  “ข้าไม่คิดเลยว่าที่แท้เจ้าจะร้ายกาจขนาดนี้…”
  ต้วนหลิงเทียนพลันเหินร่างขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะหยุดลงข้างๆจางเหยาจี้พลางกล่าวชม
  “เหอะๆ ต่อให้ข้าร้ายกาจแค่ไหน ก็ยังสู้สัตว์ประหลาดน้อยอย่างเจ้าไม่ได้กระมัง…”
  ได้ยินคำชมของต้วนหลิงเทียน จางเหยาจี้ไม่เพียงไม่ดีใจ ยังคลี่ยิ้มแห้งๆกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงขื่นขม “ฉีอวี่นั่นมันถูกเจ้าฆ่าตายง่ายๆในกระบี่เดียว แต่ถ้าเป็นข้า เกรงว่ากว่าจะเอาชนะมันได้ก็ต้องมีหมดเรี่ยวหมดแรงกันบ้าง”
  “หือ? เจ้าเอาชนะฉีอวี่ได้งั้นหรือ? เช่นนั้นดูเหมือนความแข็งแกร่งของเจ้าในบรรดาศิษย์สายในขอบเขตเทพทั้ง 10 คนที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งที่สุดนั่น ก็ต้องเป็นอันดับต้นๆเลยน่ะสิ?”
  ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประหลาดใจ
  “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
  จางเหยาจี้เชิดหน้าขึ้นพลางกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “หากจะบอกว่าฉีอวี่นั่นมันติด 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดล่ะก็ เช่นนั้นข้าก็ติด 1 ใน 5 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุด”
  “แต่เป็นธรรมดาว่า ถึงจะเป็นข้ากับอีก 4 คนที่เหลือก็เทียบสัตว์ประหลาดอย่างเจ้าไม่ไหวหรอก…”
  มองไปยังต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง จางเหยาจี้ก็เบ้ปาก แววตายังฉาความหดหูเล็กน้อย
  “ฮ่าๆๆ…ศิษย์พี่จาง ท่านรู้สึกท้อแท้เมื่อเทียบกับศิษย์พี่ต้วนหรือ?”
  ศิษย์สายในที่ลอยร่างห่างออกไปไม่ไกลพอเห็นทีท่าสลดราวหมาหงอยของจางบเหยาจี้ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะพลางกล่าวแซวออกมา
  “อั้ยหยาศิษย์พี่จาง! ท่านอยู่ดีไม่ว่าดีไฉนหาเรื่องทำให้ตัวเองหดหู่นักเล่า ท่านอย่าทะลึ่งเอาตัวเองไปเทียบกับศิษย์พี่ต้วนเขาเลย ขานั้นเขาถูกคาดว่าจะเป็นศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับเราตั้งแต่ด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตเทพขั้นกลางด้วยซ้ำ…ท่านเอาตัวเองไปเทียบกับศิษย์พี่ต้วน ไยมิใช่หาเรื่องถล่มตัวเล่า?”
  ศิษย์สายในอีกคนกล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย
  “บัดซบ! พวกเจ้าจะย้ำทำเพื่อ! ไปๆ ลุยกันต่อดีกว่า!”
  จางเหยาจี้ที่ไม่อยากโดนถล่มซ้ำเติม เร่งกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันที “พวกเราถูกลิขิตมาแล้วว่าไปไม่ถึงด้านบนแน่…เช่นนั้นข้าแนะนำว่า พวกเราควรช่วยผ่อนแรงให้ต้วนหลิงเทียนเท่าที่จะทำได้ เช่นนั้นด่านท้ายๆต้วนหลิงเทียนจะได้มีโอกาสผ่านมากขึ้น”
  “ด่านแรกๆนั้น พวกเราช่วยจัดการให้ต้วนหลิงเทียนกันเถอะ!”
  “หากต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลักได้สำเร็จ ต่อไปพวกเราก็มีเรื่องให้อวดอีกนาน…พวกเจ้าลองคิดดูเถอะ…ศิษย์หลักคนแรกในรอบหมื่นปีที่ด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตเทพ สุดท้ายกลับเข้าร่วมการทดสอบรอบเดียวกับพวกเราและผ่านการทดสอบต่อหน้าต่อตาพวกเรา!!”
  พอจางเหยาจี้กล่าวถึงจุดนี้ลูกตาศิษย์สายในทั้งหลายก็ลุกวาวขึ้นมาทันที “มารดามันแค่คิดก็สนุกแล้ว! ข้าเห็นด้วยกับศิษย์พี่จาง!!”
  “ตกลงตามนี้เถอะ!”
  “ศิษย์พี่ต้วนหลังจากนี้ท่านอย่าได้ลงมือให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงเล่า…พยายามถนอมกำลังเอาไว้ให้มากที่สุด พวกเราจะช่วยท่านลุยด่านเท่าที่จะทำได้!!”
  …
  ศิษย์สายในที่เหินลอยรอบๆต้วนหลิงเทียน หลังได้ฟังคำพูดชี้นำของจางเหยาจี้ แต่ละคนก็คึกคักกันใหญ่
  ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่จำเป็นเลย แต่พอเห็นทุกคนกระตือรือร้นอยากช่วยเขาด้วยใจ เขาก็ไม่อยากขัดศรัทธา จึงไม่ได้กล่าวปฏิเสธอะไรเพียงพยักหน้าตอบว่า “เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณทุกคนแล้ว’
  “ไป! ลุย!!”
  จางเหยาจี้ก็ชูดาบออกคำสั่ง จากนั้นก็โจนร่างทะยานนำขึ้นไปก่อนใคร เหล่าศิษย์สายในทั้งหลาก็เร่งเร้าพลังเหินร่างตามไปอย่างมีชีวิตชีวา
  และเป็นธรรมดาว่าหลังจากเหินร่างขึ้นไประยะหนึ่ง ก็ปรากฏสัตว์อสูรตัวเขื่องปานขุนเขาขึ้นกลางอากาศสองสามตัว เรียกว่าพวกมันหยุดลอยขวางไว้กลางหาว มองจ้องต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สายในคนอื่นๆปานพยัคฆ์หวงถิ่น
  “ฆ่า!!”
  จางเหยาจี้ตะโกนออกมาอยย่างดุดัน นำพาทุกคนบุกตะลุยเข่นฆ่าเข้าใส่สัตว์อสูรตัวเขื่องทั้งหลายทันที
  และคราวนี้เหล่าศิษย์สายในนำโดยจางเหยาจี้ ก็โรมรันกับสัตว์อสูรตัวเขื่องสองสามตัวนั่นอยู่พักใหญ่กว่าจะเอาชนะมาได้
  เป็นธรรมดาว่านี่เป็นดั่งการทดสอบด่านที่สอง ผู้ขัดขวางที่ปรากฏตัวออกมาชุดที่ 2 ย่อมแข็งแกร่งว่าชุดแรกอยู่แล้ว
  ต้วนหลิงเทียนเองก็ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรนอกจากเหินตามขึ้นมา
  “เจ้าเด็กหัวเหม็นคนนี้ แทนที่จะห่วงเรื่องการทดสอบของตัวเอง กลับไปช่วยผู้อื่นเขาเสียอย่างนั้น…น่าหวดให้หลังลายจริงๆ…”
  เป็นธรรมดาว่าจางเทียนเหิงจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกใบเล็กภายในกายของตัวเอง มันส่ายหน้าเล็กน้อยค่อยหันไปมองถามชายชราที่ยืนอยู่ไม่ไกล “การทดสอบประเมินศิษย์หลักขอบเขตราชาเทพของเจ้าเล่า เป็นอย่างไรบ้าง?”