ตอนที่ 3682 หุบเหวสุดขั้ว

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

“อ้าวครั้งนี้ ถูเฟิง ศิษย์ของอาวุโส 2 มันไม่มาเข้าร่วมการทดสอบด้วยหรอกหรือ?”
  “นั่นสิ ไฉนมีแต่ หลี่เยว่ นั่นที่เป็นศิษย์คนรองของอาวุโส 2 ที่มาเล่า?”
  …
  ในขณะที่ศิษย์สายในขอบเขตราชาเทพทยอยกันเดินเข้าประตูมิติที่เปิดท่ามกลางความว่างเปล่า ในหูต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงคุยกันของเหล่าศิษย์ขอบเขตเทพหลายคน
  พอเขาหันไปมองตามสายตาศิษย์เหล่านั้น ก็เห็นร่างศิษย์สายในคนหนึ่งที่กำลังก้าวอาดๆไปทางประตูมิติ
  ศิษย์สายในคนนี้มีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่มมาในชุดคลุมสีฟ้าอ่อน ขณะเดียวกับที่เขามองไป อีกฝ่ายก็กำลังหันกลับมามองเหล่าศิษย์ที่กล่าวทักเช่นกัน แต่ในแววตาของมันกลับเฉยเมยไร้แยแส ไร้ซึ่งท่าทีอะไรต่อเขาเป็นพิเศษ
  จนเมื่อมันเห็นต้วนหลิงเทียนมองมา มันก็ละสายตาและเดินหายไปในประตูมิติเบื้องหน้า
  ขณะเดียวกัน จากบทสนทนาโดยรอบ ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าปกติแล้วทุกครั้งที่มีการทดสอบประเมินศิษย์หลัก ถูเฟิง จะมาเข้าร่วมตลอด แต่คราวนี้อีกฝ่ายกลับไม่มา จึงเป็นเรื่องผิดสังเกตอยู่บ้าง
  อย่างไรก็ตาม ถูเฟิงจะมาไม่มา ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับต้วนหลิงเทียน
  หากไม่ใช่เพราะเหล่าศิษย์สายในกลุ่มนั้นพูดขึ้นมา เขาก็คงไม่ทันนึกถึงถูเฟิงด้วยซ้ำ
  เป็นธรรมดาว่าหลังจากที่ถูเฟิงมันส่งฉีอวี่มาตามระรานเขา ต้วนหลิงเทียนก็ยึดถือถูเฟิงเป็นศัตรูคนหนึ่ง หลังจากเขาทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว เขาก็ไม่คิดปล่อยถูเฟิงไปง่ายๆแน่
  ต่อให้มันเป็นศิษย์คนโตของอาวุโส 2 ก็ตาม!   ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าศิษย์สายในขอบเขตราชาเทพก็เดินหายเข้าไปในประตูมิติที่เปิดขึ้นกลางอากาศกันหมด หลังจากนั้นประตูมิติที่ว่าก็เริ่มปิดตัวลง เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
  ครู่ต่อมา ภายในห้องโถงทดสอบอันกว้างใหญ่ ก็เหลือแค่ต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สายในขอบเขตเทพ
  อีกทั้งนอกจากต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็มีศิษย์สายในขอบเขตเทพอยู่แค่ 30 คนเท่านั้น…
  ถึงแม้จะมีอาวุโสระดับสูงมากมายสามารถเสนอชื่อเหล่าศิษย์ขอบเขตเทพของตัวให้มาเข้าร่วมการทดสอบประเมินศิษย์หลักได้ แต่อาวุโสระดับสูงเหล่านั้นก็ไม่ค่อยเสนอชื่อศิษย์ขอบเขตเทพของตัวสักเท่าไหร่ เพราะต่างคิดว่ามันไม่จำเป็น
  ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่มาเข้าร่วมการทดสอบประเมินศิษย์หลักนั้นปกติแล้วล้วนมาเพราะความต้องการของตัวเอง และถึงตอนนั้นพวกมันก็จะไปร้องขออาวุโสของตัวเอาเอง ให้เสนอชื่อพวกมัน
  และการทดสอบครั้งนี้ ก็มีศิษย์สายในกว่าครึ่งในโถง ที่ขอให้อาจารย์หรืออาวุโสเบื้องหลังเสนอชื่อ เพราะอยากมาดูต้วนหลิงเทียน
  ในอดีต หากมีศิษย์สายในขอบเขตเทพมาเข้าร่วมการทดสอบประเมินศิษย์หลักถึง 10 คนก็หรูแล้ว บางครั้งยังมีกันแค่คนสองคน หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำ…
  การทดสอบประเมินศิษย์หลักหลายคนที่รู้ตัวดีว่ายากจะผ่านก็ไม่มีใครคิดดันทุรัง เพราะหากเกิดพลาดพลั้งอะไรขึ้นมาจนบาดเจ็บ ก็ส่งผลต่อการบ่มเพาะในภายหลัง การเสียเวลาไปกับการรักษาตัวแทนที่จะเอาไปบ่มเพาะฝึกฝน ย่อมไม่มีใครพิศมัย
  อีกทั้งหากเลือกจะสละสิทธิ์และออกจากการทดสอบช้าเกินไป เผลอๆอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นพิกลพิการ เช่นนั้นก็ย่ำแย่แล้ว!
  “เฮ่ ต้วนหลิงเทียน การทดสอบประเมินศิษย์หลักวันนี้ เจ้ามั่นใจว่าจะผ่านได้รึเปล่า?”
  ในระหว่างที่รอคอย ก็มีศิษย์สายในขอบเขตเทพบางคนไม่อาจทนความอยากรู้ได้ไหว พวกมันจึงเริ่มเดินมามุงล้อมต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็มีหนึ่งในนั้นคลี่ยิ้มกล่าวถามออกมา  “หากไม่แน่ใจคงไม่มา…แต่อย่างว่า ในเมื่อผลยังไม่ออกก็คงยากจะบอกว่าผ่านแน่”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ด้วยท่าทางเป็นกันเองเข้าถึงง่าย ก็ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับศิษย์สายในที่ไม่รู้จักเหล่านี้ลดลงทันตาเห็น แต่ละคนจึงกล้าพูดคุยไถ่ถามต้วนหลิงเทียนออกมา
  “อัยยะ ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมากทีเดียว”
  จากนั้นก็มีศิษย์สายในร่างผอมในชุดคลุมสีเขียวคลี่ยิ้มร่าเผยฟันขาวราวหิมะ 2 แถว ก้าวเข้ามาคุยกับต้วนหลิงเทียนอย่างเป็นกันเอง “ข้าเรียกว่า จางเหยาจี้ เป็นศิษย์สายในขอบเขตเทพเช่นกัน”
  “ต้วนหลิงเทียน”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า พลางกล่าวแนะนำตัวกับอีกฝ่าด้วยรอยยิ้ม อีกฝ่ายก็หัวเราะร่ากล่าวตอบมาทันที “ฮ่าๆๆ…ข้ารู้หรอกน่าว่าเจ้าคือต้วนหลิงเทียน”
  ตอนนี้เองเหล่าศิษย์สายในคนอื่นก็เริ่มแนะนำตัวเอง เอ่ยทำความรู้จักกับต้วนหลิงเทียนอย่างคึกคัก
  อย่างไรก็ตาม ขณะพูดคุยกับศิษย์เหล่านี้ฆ่าเวลาไปเรื่อย ต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง ทุกคนคล้ายจะกริ่งเกรงไว้หน้าจางเหยาจี้ ปานอีกฝ่ายเป็นอสูรกายตัวเขื่องไม่อาจล่วงเกินตอแยอย่างไรอย่างนั้น
  ทุกครั้งที่จางเหยาจี้กำลังจะปริปากกล่าวคำ ไม่ว่าใครถึงจะยังพูดค้างอยู่ก็รีบหยุดลง ปล่อยให้จางเหยาจี้พูดก่อน แถมท่าทียังแลดูเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีความไม่พอใจอะไรเลย
  ‘ดูเหมือนความเป็นมาของจางเหยาจี้คนนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้ว…’
  ต้วนหลิงเทียนลอบสันนิษฐานในใจ
  หลังจากรอคอยกันอยู่สักพักแต่กลับไม่มีคามเคลื่อนไหวอื่นใดในโถง และประตูมิติก็ไม่เปิดออกเสียที ทำให้ภายในโถงอันกว้างใหญ่ค่อนข้างเงียบและวังเวงอย่างไรชอบกล นอกจากเสียงศิษ์สายในไม่กี่คนที่ยังคุยกับต้วนหลิงเทียนแล้วก็เรียกว่าไม่มีเสียงใดอีกเลย
  “เอ่อ ศิษย์พี่ใหญ่จาง…ท่านไม่กล่าวเตือนสักหน่อยหรือ?”   ตอนนี้เองศิษย์สายในบางคนที่เริ่มรอจนเบื่อ ก็หันไปเลียบๆเคียงๆกล่าวแนะจางเหยาจี้
  “กล่าวเตือน”
  ต้วนหลิงเทียนโค้งคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ
  ด้านจางเหยาจี้พอได้ยินคำแนะ ก็ยักคิ้วข้างหนึ่ง พูดออกมาอย่างเห็นด้วยว่า “จะว่าไปก็จริง นี่มันก็นานเกินไปแล้ว ท่าทางต้องเตือนสักหน่อย”
  จากนั้น ต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สายในขอบเขตเทพคนอื่นๆ จางเหยาจี๋ก็หันไปมองยังความว่างเปล่าทิศทางหนึ่งของโถง ก่อนจะโพล่งออกมาเสียงดัง “เฮ่ ตาแก่ นี่ท่านยังจะลีลาอันใดอยู่อีกเล่า? พวกเรารอจนเหงือกแห้งแล้วเนี่ย!”
  ทันทีที่จางเหยาจี้โพล่งคำดังกล่าวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับอึ้งไปตาปริบๆ
  ตาแก่?
  จางเหยาจี้คนนี้กำลังพูดกับใคร?
  จากนั้นต้วนหลิงเทียนที่มองไปรอบๆ ก็พบว่าศิษย์สายในขอบเขตเทพทั้งหลายแลดูสงบ ไม่คล้ายแปลกใจอะไรเลย ราวกับล่วงรู้อะไรแต่แรก
  “ฮึ่ม!”
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังงุนงง พลันมีเสียงฮึดฮัดหนึ่งดังขึ้นจากรอบทิศ “เด็กเหลือขอเจ้า ดูผู้อื่นเขาเถอะ ยังนิ่งรออยู่ได้ ไม่เห็นจะอิดออดอันใด”
  พริบตาต่อมา อยู่ๆร่างสูงที่แลดูผ่ายผอมก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ
  ราวกับคนผุดจากอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น
  เป็นชายวัยกลางคนร่างสูงโปร่งจนแลดูเหมือนผ่ายผอม อย่างไรก็ตามลักษณะท่วงท่าแลดูหนักแน่นมั่นคง หว่างคิ้วให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม บอกให้รู้ว่าเป็นชนชั้นยอดฝีมือคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
  อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนอดแปลกใจไม่ได้  เพราะชายวัยกลางคนร่างผอมสูงคนนี้ กลับละม้ายคล้ายจางเหยาจี๋ 7-8 ส่วน เหมือนกับจางเหยาจี้วัยกลางคนอย่างไรอย่างนั้น
  “คารวะหัวหน้าโถง”
  “คารวะหัวหน้าโถง”
  …
  ครู่ต่อมา นอกจากต้วนหลิงเทียนกับจางเหยาจี้แล้ว ศิษย์สายในคนอื่นๆก็เร่งประสานมือคารวะทักทายอีกฝ่ายทันที
  บัดนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตระหนักได้ว่า ที่แท้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายจางเหยาจี้ 7-8 ส่วนผู้นี้ ก็คือหัวหน้าโถงทดสอบ ผู้พิทักษ์แห่งนิกายหมอกเร้นลับ จางเทียนเหิง!
  ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจ ว่าไฉนศิษย์สายในคนอื่นๆแลดูเกรงใจ ‘ให้หน้า’ จางเหยาจี้เป็นพิเศษ ที่แท้บิดาของจางเหยาจี้ก็เป็นถึงชนชั้นผู้พิทักษ์นั่นเอง
  “คารวะหัวหน้าโถงทดสอบ”
  แม้ต้วนหลิงเทียนจะทักทายช้ากว่าคนอื่น แต่เขาก็ป้องมือประสานกล่าวคำทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาท
  “เจ้าดูเข้าเถอะ ผู้อื่นเจ้านิ่งกว่าเจ้าตั้งเท่าไหร่?”
  จางเทียนเหิงหันไปกล่าวตำหนิจางเหยาจี้ด้วยท่าทางขุ่นขึ้ง
  อย่างไรก็ตาม จางเหยาจี้เห็นชัดว่าไม่กริ่งเกรงแม้แต่นิดเดียว “ถึงต้วนหลิงเทียนจะนิ่งกว่าข้า แต่นั่นเป็นเพราะบิดาผู้อื่นเขามอบพรสวรรค์กับความเข้าใจอันน่าอัศจรรย์มาให้…ท่านเล่า ให้ข้าได้รึเปล่า?”
  หลังได้ยินคำพูดที่จางเหยาจี้กล่าวค่อนแคะออกมา จางเทียนเหิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าด้วยความเพลียใจ “เด็กเหลือขอ สักวันเจ้าต้องโดนดี!”
  หลังกล่าวจบ จางเทียนเหิงก็คร้านสนใจจางเหยาจี้ เพียงหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า “ต้วนหลิงเทียน ข้าเลือกจะเปลี่ยนมารับผิดชอบการทดสอบศิษย์หลักขอบเขตเทพเพราะเจ้า…”
  “ท่านหัวหน้าโถงกล่าวเช่นนี้ ข้าต้วนหลิงเทียนรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก…”   ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเหยเกกล่าวตอบ
  ก่อนหน้าเขายังสงสัยอยู่เชียวว่าไฉนการทดสอบประเมินศิษย์หลักขอบเขตราชาเทพกลับไม่ใชหัวหน้าโถงเป็นผู้ดำเนินการทดสอบ แต่ให้รองหัวหน้าโถงดำเนินการแทน ที่แท้หัวหน้าโถงตั้งใจเปลี่ยนเพราะเขาโดยเฉพาะ
  “ฮ่าๆ เจ้าไม่ต้องถ่อมตัวเกินไปหรอก”
  จางเทียนเหิงมองลึกไปทางต้วนหลิงเทียน พลางกล่าวว่า “รองประมุขมู่หรง ไม่ค่อยต้องตาพึงใจผู้ใด…กับคนที่ได้รับทั้งคำแนะนำและการเสนอชื่อจากรองประมุขมู่หรง ไหนเลยธรรมดาได้…”
  “ข้าเองก็สงสัยเหมือนทุกคนไม่น้อย ว่าเจ้าจะสามารถผ่านการทดสอบศิษย์หลักขอบเขตเทพได้หรือไม่?”
  “แต่ข้าต้องบอกเจ้าไว้ก่อนเลย ข้าไม่มีทางอะลุ่มอล่วยหรือผ่อนปรนบททดสอบให้เจ้าแน่”
  “ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ข้าผ่อนปรนหรืออะลุ่มอล่วยให้เจ้าก็ไร้ประโยชน์…เพราะข้าจักต้องมอบลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกการทดสอบของทุกคนให้ท่านประมุขตรวจสอบความเรียบร้อยอยู่ดี”
  “สุดท้ายแล้วเจ้าจะผ่านหรือไม่ผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลัก ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทานประมุข”
  หลังจางเทียนเหิงกล่าวแจ้งจบคำ สีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนก็ยังคงนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน
  สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่เคยหวังให้ใครมาลดหย่อนผ่อนปรนหรืออะลุ่มอล่วยให้เขา อันที่จริงในใจเขา ขอเพียงแค่อีกฝ่ายไม่จงใจสร้างปัญหาให้เขาก็ดีมากแล้ว
  ทั้งนี้ทั้งนั้นพอได้ยินคำพูดของจางเทียนเหิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกโล่งใจอยู่บ้าง
  เนื่องจากการประเมินขั้นสุดท้ายมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของประมุขนิกาย แถมยังต้องส่งลูกแก้วเงาลอยที่บันทึกขั้นตอนการทดสอบให้ประมุขเช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องกลัวเรื่องที่ผู้สร้างบททดสอบจะจงใจทำให้เขาลำบากอะไร
  “เอาล่ะ ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะเข้าไปทำการทดสอบแล้ว”   พอเห็นว่าสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนยังแลดูนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน จางเทียนเหิงก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยความชื่นชม จากนั้นก็เริ่มเปิดประตูมิติ อันนำไปสู่โลกใบเล็กภายในกายของมันทันที และประตูมิติที่เปิดให้ต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สายในขอบเขตเทพรอบนี้ ยังกว้างกว่าประตูมิติก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
  พอต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สายในคนอื่นๆไม่เว้นจางเหยาจี้ผ่านประตูมิติดังกล่าวเขามา ทุกคนก็ตระหนักได้ว่าพวกมันมาปรากฏตัวอยู่ในก้นหุบเหวอันมืดมิดแห่งหนึ่ง เรียกว่ามันมืดมิดจนแทบมองไม่เห็นนิ้วมือทั้ง 5 ด้วยซ้ำ
  พอมองขึ้นไปก็เห็นแสงสว่างริบหรี่ที่ไม่ต่างอะไรจากแสงจันทร์ด้านบน ซึ่งแลดูห่างไกลจนคล้ายกับด้ายสีเทาสลัวๆเส้นหนึ่ง
  “ที่นี่คือที่ไหนกัน?”
  “การทดสอบประเมินศิษย์หลักในแต่ละครั้งจะแตกต่างกันออกไป…หรือการทดสอบประเมินศิษย์หลักของพวกเราครั้งนี้ ก็คือขึ้นไปจากก้นเหวนี่?”
  “นั่นจะไม่ง่ายเกินไปหน่อยหรือ ก็แค่เหาะขึ้นไปไม่ใช่รึไง?”
  “ง่ายเกินไป? เจ้าจะคิดง่ายเกินไปรึเปล่า? เท่าที่ข้ารู้มาภายในโลกใบเล็กของท่านหัวหน้าโถงทดสอบ นอกจากจะมีสัตว์อสูรมากมายที่จับมาปล่อยเอาไว้ ยังมีทาสเดนตายไม่น้อย กระทั่งในบรรดาทาสเดนตายยังมีชนชั้นยอดฝีมือก็มาก”
  “เจ้าจะบอกว่า…หากพวกเราคิดจะเหาะออกไปจากเหวแห่งนี้ พวกเราอาจจะเผชิญหน้ากับการปิดกั้นขัดขวางอย่างหนักหน่วงหรือ?”
  “ก็ใช่ไง เจ้ายังคิดว่ามันง่ายอยู่ไหมเล่า…”
  “ชัดเจน…”
  …
  ในขณะที่เหล่าศิษย์สายในกำลังสนทนาทั้งคาดเดากันไปเรื่อย ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังจากด้านบน ที่สมควรเป็นปากเหวแต่เพราะความสูงจึงแลเห็นเป็นดั่งเส้นด้ายสีเทาสลัวๆนั่น
  “สถานที่ๆพวกเจ้ากำลังยืนอยู่ตอนนี้เรียกว่า ‘หุบเหวสุดขั้ว’ ที่ข้าตั้งใจสร้างขึ้นในโลกใบเล็กภายในกายของข้า…และพวกเจ้าเองก็กำลังยืนอยู่ที่ก้นเหวดังกล่าว สิ่งที่พวกเจ้าทำก็ไม่มีอะไรยากเย็น เพียงแค่เหินร่างออกจากหุบเหวแห่งนี้ให้ได้”
  “ตราบใดที่มีใครเหินร่างออกมาจากหุบเหวสุดขั้วได้สำเร็จ ก็ถือว่าผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลักครั้งนี้”
  เสียงที่ดังขึ้นจากเบื้องบน เป็นเสียงของหัวหน้าโถงทดสอบไม่ผิดแน่
  “นั่นไง ข้าว่าแล้วไงล่ะ…ต้องเหาะฝ่าขึ้นไปจริงๆด้วย”
  “ปะ! พวกเราเหาะขึ้นไปกันเถอะ!!”
  …
  หลังเสียงประกาศดังจบคำ เหล่าศิษย์สายในบางคนที่คักคึกก็ประกาศคำอย่างห้าวหาญ จากนั้นก็เหินร่างทะยานขึ้นไป หมายนำทุกคนออกจากหุบเหวลึก
  อย่างไรก็ตาม พวกมันพึ่งจะเหาะขึ้นมาได้ไม่ทันถึงร้อยหมี่ดี จากผนังเหวทั้ง 2 ด้าน อยู่ๆก็ปรากฏเสียงกึกก้องดังขึ้น จากนั้นก็เห็นเป็นร่างผู้คนสิบกว่าร่างปรากฏตัวออกมาจากความมืด จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ละคนพากันซัดกระบวนท่ารุนแรงโถมเข้าใส่อย่างดุร้าย คลื่นดาบ หอก กระบี่ ที่อัดแน่นไปด้วยพลังเทพและความเข้าใจในกฏ เปล่งแสงพลังหลากสีสันแถมน่าพรั่นพรึงสะท้านไปทั่วทิศ แน่นอนว่ายังไม่ขาดกลิ่นอายพลังจากการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏหลายประการ!
  ต่อหน้าการลงมือจู่โจมด้วยพลังอันน่ากลัวของผู้คนนับโหล ต่อให้ศิษย์สายในที่เหินร่างขึ้นไปพวกแรกจะเตรียมตัวรับมือเอาไว้แล้ว ทว่าแต่ละคนแค่โดนกลิ่นอายพลังกดดันที่แผ่พุ่งนำมาก็หน้าเสียไปเป็นแถบ…!