ตอนที่ 3692 ซั่งกวนฉงเฟิง

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

อย่างไรก็ตามแม้ฟชิงหยางจะกล่าวบอกมาแบบนั้น แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีความคิดจะคารวะผู้ใดเป็นอาจารย์ง่ายๆ
  อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ตอนนี้
  ในอนาคตอาจมีคนที่เขานับถือจนกราบเป็นอาจารย์ แต่กับที่นี่เขาไม่คิดว่าจะมีใครมีคุณสมบัติเช่นนั้น
  “หืม? นี่เจ้ามาจากระนาบเทวโลกเช่นนั้นหรือ?”
  พอได้ยินสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูด อาวุโส 17 ก็อดประหลาดใจไม่ได้ อย่างไรก็ตามแววตาของมันพลันฉาบความสงสารขึ้นมาทันที
  เนื่องจากมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ผู้คนในระนาบเทวโลกจะมีสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่ในกายเหมือนชนพื้นเมืองของระนาบเทพ กล่าวได้ว่าจะไม่มีพลังสายเลือดที่สืบทอดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุด และเป็นไปไม่ได้ที่จะปลุกพลังสายเลือดในร่าง
  และในระนาบเทพ พลังสายเลือดก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งเช่นกัน
  ผู้ที่สามารถปลุกสายเลือดของตัวเองให้ตื่นขึ้นได้ กับผู้ที่ไม่อาจปลุกสายเลือดของตัวเองให้ตื่นขึ้นได้ หากมีด่านพลังฝึกปรือ ความเข้าใจในกฏ และเงื่อนไขอื่นๆทัดเทียมกัน เมื่อต้องมาปะทะกัน ขอเพียงหลังสายเลือดของฝ่ายแรกไม่อ่อนด้อยจนน่าเวทนา อย่างไรก็ต้องเอาชนะฝ่ายหลังได้แน่นอน
  “ใช่”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
  “เจ้ากล่าวปฏิเสธคนอื่นเช่นนี้…หากอาจารย์เจ้ารู้ย่อมมีความสุขมากแน่ๆ”
  อาวุโส 17 กล่าวเปลี่ยนเรื่อง
  คราวนี้ต้วนหลิงเทียนเพียงยิ้มรับ ไม่ได้ตอบคำอะไร
  ขณะเดียวกัน อาวุโส 17 ก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงประตูห้องลับแห่งหนึ่งเข้ามา ซึ่งมันเป็นห้องลับที่เก็บของรางวัลสำหรับศิษย์หลักคนใหม่โดยเฉพาะ หลังจากอาวุโส 17 จี้นิ้ววาดไปมาราวกับคลายอาคมบางอย่าง ไม่นานสลักกลอนประตูก็ค่อยๆเลื่อนเปิด ยังมีเสียงกลไกดังกึงกังครู่หนึ่ง ประตูห้องลับก็ค่อยๆแง้มเปิดออกช้าๆ
  จากนั้นก็พบบันไดทอดยาวลงไปใต้ดิน เห็นชัดว่าห้องลับที่แท้จริงอยู่ด้านล่าง
  ต้วนหลิงเทียนติดตามอาวุโส 17 เดินลงบันไดไปสักพัก
  “เอาล่ะ เจ้าเข้าไปเดินดูเถอะ จะเลือกอะไรก็ได้ตามใจชอบ”
  อาวุโส 17 กล่าวกับต้วนหลิงเทียน ก่อนจะหยุดรอด้านนอก
  ด้านต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าประตูห้องลับปลายบันไดเข้าไปด้านใน
  สิ่งแรกที่เขาเห็นในสายตาหลังผ่านประตูมา ก็คือพื้นที่อันกว้างขวาง และมีชั้นวางเรียงรายเป็นแถวๆ และแต่ละชั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขวดโอสถ อาวุธ ชุดเกราะ ป้ายหยก ผลไม้เทพ สมุนไพรเทพ…และข้างๆของทุกชิ้นก็มีป้ายหยกที่มีชื่อสิ่งของสลักไว้
  “หากเจ้าสงสัยอะไร ก็หยิบป้ายหยกที่มีชื่อสลักไว้ขึ้นมาแผ่สำนึกเทวะลงไปดูเอา นั่นเป็นป้ายหยกเก็บความทรงจำที่แนะนำสิ่งของเอาไว้”
  หลังต้วนหลิงเทียนเข้ามาในห้องลับ เขาก็ถูกสิ่งของมากมายดึงดูดความสนใจไปหมด จนเมื่อเสียงของอาวุโส 17 ดังขึ้นไล่หลัง เขาจึงได้สติกลับมา
  “ทราบแล้วอาวุโส”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็เดินดูของไปเรื่อย
  แน่นอนว่าเขาไม่ได้เดินดูมันทีละชิ้น เพียงอาศัยการแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบ พอพบว่าอันไหนน่าสนใจก็ดูข้อมูลในป้ายหยก จึงรับทราบว่าอะไรเป็นอะไรแล้วมันคุ้มค่าที่จะเอาไปหรือไม่
  ‘โอสถโหยวหยาง 3 เม็ดหรือ…เป็นโอสถเทพที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะในขอบเขตราชาเทพ ผลลัพธ์ยังดีกว่าหินเทพไม่น้อย’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ หลังดูข้อมูลในป้ายหยกเก็บความทรงจำข้างขวดโอสถขวดหนึ่ง
  โอสถโหยวหยางดังกล่าว ก็เป็นโอสถที่ใช้ได้ไม่เยอะและจะเริ่มดื้อยา กล่าวได้ว่าหลังกินมันไป 3 เม็ดยาแล้ว ผลกระทบของเม็ดต่อไปก็จะลดลงอย่างมาก และหลังจากกินไปครบ 10 เม็ด ต่อให้กินเพิ่มอีกท่าไหร่ก็จะไม่มีผลอะไรแล้ว
  ‘โอสถโหยวหยางนี่…เกรงว่ามีแต่คนที่ไม่เคยใช้มันเท่านั้นถึงจะได้รับประโยชน์สูงสุด’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
  เป็นธรรมดาว่าโอสถโหยวหยางไม่ได้ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสนใจมากนัก เพราะในแหวนพื้นที่ๆตระกูลจ้งมอบให้เขา ก็มีโอสถโหยวหยางอยู่ด้วย แม้จะมีแค่ 3 เม็ดยาไม่ใช่ 10 ก็ตาม
  ‘ไหมกร่อนกระดูก…อุปกรณ์เทพขั้นกลาง ยามถ่ายทอดพลังลงไป เพียงแต่จะมีอำนาจเพิ่มพูนพลังผู้ใช้ แต่หากสัมผัสกับร่างกายของคู่ต่อสู้ จะเปล่งพลังชำแรกกล้ามเนื้อผิวหนังลงไปก่อนกระดูกจนละลายเป็นน้ำ…หากเป็นผู้เชี่ยวชาญกฏแห่งน้ำ จะแสดงประสิทธิภาพสูงสุด?’
  นี่คือข้อมูลในป้ายหยกเก็บความทรงจำที่ตั้งอยู่ข้างๆเส้นไหมที่คล้ายขดลวดกองหนึ่ง และเส้นไหมดังกล่าวแม้จะบางจนแทบมองไม่เห็น แต่เมื่อแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบให้ดีจะพบว่าตัวไหมเต็มไปด้วยลวดลายอักขระโบราณ เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดา
  ‘อุปกรณ์เทพขั้นกลางชิ้นนี้ค่อนข้างดีใช้ได้เลย อย่างน้อยๆก็ดีกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลางส่วนใหญ่ที่ข้ามี’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
  อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะเลือกไหมกร่อนกระดูก
  และเมื่อเขาเดินผ่านไหมกร่อนกระดูกไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะเลือกมัน อาวุโส 17 พลันกล่าวขึ้นมาว่า “ต้วนหลิงเทียน ไหมกร่อนกระดูกนั่นนับเป็น 1 ใน 2 อุปกรณ์เทพขั้นกลางที่มีคุณภาพสูงที่สุดในห้องลับแห่งนี้”
  “แม้ในแง่ของมูลค่า ไหมกร่อนกระดูกก็ยังสูงกว่าอีกชิ้น… เจ้าลองพิจารณาดู”
  พอได้ยินคำแนะนำของอาวุโส 17 ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวขอบคุณทันที “ขอบคุณอาวุโส 17 สำหรับคำแนะนำ”
  เขาย่อมรับทราบความหวังดีของอีกฝ่าย
  เพียงแค่ว่าเขาไม่ต้องการอุปกรณ์เทพขั้นกลาง
  ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นกลางที่ไร้จิตวิญญาณ ต่อให้มันมีกำเนิดจิตวิญญาณจริง เขาก็ไม่ชอบ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ชอบใช้กระบี่มากกว่า แถมยังมีกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนแล้ว
  และหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนชมดูสิ่งของไปทั่วห้องลับ เขาก็มีสิ่งที่ต้องการอยู่ในใจเรียบร้อย
  ‘ผลเทพกู้เปิ่น!’
  ผลไม้เทพชนิดนี้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ เพราะมันจะช่วยให้ควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงได้สมบูรณ์ในเวลาหนึ่งวัน นับว่าสรรพคุณของมันยอดเยี่ยมไม่เบา
  และสำหรับต้วนหลิงเทียน มันนับเป็นตัวเลือกที่ดี
  เพราะอย่างน้อยๆสิ่งของใดอื่นในห้องลับแห่งนี้ ก็ไม่มีอันไหนเข้าตาเขาเลย
  ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังใช้มันไม่ได้
  แต่หลังจากเขากินโอสถเสริมโชค 2 เม็ดไปเล่า?
  พอถึงตอนนั้นก็ต้องได้ใช้มันแน่!
  “อาวุโส 17 ข้าเลือกผลเทพกู้เปิ่นผลนี้”
  ต้วนหลิงเทียนหยิบผลเทพกู้เปิ่นขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหาอาวุโส 17 และอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วทันที “ต้วนหลิงเทียน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาผลเทพกู้เปิ่นนี่จริงๆ? ถึงแม้มันจะหายากอยู่บ้าง แต่ก็มีประโยชน์กับผู้ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น”
  “แม้มันจะช่วยให้เจ้าควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงได้ในเวลาแค่วันเดียว แต่ด้วยความสามารถของเจ้า ถึงจะควบรวมปรับด่านพลังเอาเอง แต่เต็มที่ก็ใช่เวลาแค่ 3 เดือนถึงครึ่งปีเท่านั้น…”
  อาวุโส 17 กล่าวแจกแจง “ด้านหนึ่งคือการใช้เวลาแค่ 3 เดือนถึงครึ่งปี กลับกันเจ้ามีโอกาสเลือกอุปกรณ์เทพขั้นกลางดีๆ…เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเลือกอย่างแรก และไม่คิดเสียใจภายหลัง?”
  เห็นได้ชัดว่าในสายตาของอาวุโส 17 การเลือกครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียนมันช่างสูญเปล่าสิ้นดี
  มูลค่าของอุปกรณ์เทพขั้นกลาง ต่อให้คุณภาพย่ำแย่ที่สุดในห้องนี้ ก็ยังมีค่าเหนือกว่าผลเทพกู้เปิ่นผลนี้มาก
  ในประวัติศาสตร์ของนิกายหมอกเร้นลับ ก็มีศิษย์นำผลเทพกู้เปิ่นมาขอแลกกับอุปกรณ์เทพขั้นกลางมากมาย แต่ไม่มีใครเต็มใจจะแลกด้วยสักคน…กระทั่งบางคนยังใช้ผลเทพกู้เปิ่นกับสมบัติอื่นๆอีกหลายชิ้นเพื่อขอแลกกับอุปกรณ์เทพขั้นกลาง แต่ก็ไม่มีใครสนใจจะแลกอยู่ดี
  “เอานี่ล่ะอาวุโส”
  ต้วนหลิงเทียนยืนยัน
  เขาย่อมล่วงรู้ความคิดในหัวของอาวุโส 17 ดี อีกฝ่ายไม่พ้นเห็นว่าผลเทพกู้เปิ่นนั้นมีมูลค่าด้อยกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลางมาก อย่างไรก็ตามสำหรับเขาแล้วผลเทพกู้เปิ่นเป็นอะไรที่พบเจอด้วยวาสนา แสวงหาไม่พานพบ อย่างน้อยๆตอไปตำหนักแลกเปลี่ยนเขาก็ไม่เห็นมีใครเอามันออกมาแลกเป็นของอย่างอื่นเลย
  และกว่าจะได้พบเจอผลเทพกู้เปิ่นอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่
  เขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้เป็นธรรมดา
  ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเขาในตอนนี้ผลเทพกู้เปิ่น มันมีค่ามากกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลางเสียอีก
  “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า”
  เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนยืนกราน อาวุโส 17 ถึงจะเสียดายแต่ก็ไม่เซ้าซี้ “เช่นนั้นออกไปกันเถอะ ข้าได้ส่งข้อความไปเรียกคนที่จะพาเจ้าไปยังสถานที่พักของเหล่าศิษย์หลักมารอแล้ว”
  พอได้ยินต้วนหลิงเทียนก็กล่าวคำขอบคุณทันที “ขอบคุณอาวุโส 17”
  “อาวุโส 17”
  หลังกลับขึ้นมาจากห้องลับ เขาก็พบคนที่อาวุโส 17 เรียกมา อีกฝ่ายเป็นชายชรารูปร่างผ่ายผอมราวกับไม่อาจต้านลม พออีกฝ่ายเห็นอาวุโส 17 เร่งประสานมือโค้งคารวะด้วยความเคารพทันที
  “นี่คืออาวุโสฝ่ายใน จางจิ่น”
  อาวุโส 17 เองก็กล่าวแนะนำชายชราให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักเช่นกัน “เป็นอาวุโสฝ่ายในที่รับผิดชอบกิจการทั่วไปในเขตที่พักศิษย์หลัก หากเจ้ามีอะไรก็มาหาได้ตลอด”
  “อาวุโสจางจิ่น”
  ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือทักทายอีกฝ่ายทันที
  ด้านจางจิ่นนั้นก็หันมาชอมมองต้วนหลิงเทียนด้วยสองตาเป็นประกาย “ต้วนหลิงเทียน ชื่อเสียงเจ้าข้าได้ยินมานานแล้ว…อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะปฏิเสธคำชวนเป็นศิษย์ของอาวุโสเหล่ย น่าเสียดายยิ่ง”
  กล่าวถึงจุดนี้ จางจิ่นก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “เจ้ายังเด็กเกินไป ทำอะไรหุนหันพลันแล่นนัก”
  “หากเจ้าเป็นศิษย์ของอาวุโสเหล่ย เจ้าคงเดินทอดน่องในนิกายหมอกเร้นลับเราได้สบายใจเฉิบ…กระทั่งต่อไปยามท่านประมุขพบเจอเจ้า ยังต้องไว้หน้าเจ้า 3 ส่วนด้วยซ้ำ”
  ยิ่งมาเสียงกล่าวของจางจิ่นก็ฟังดูสลดหดหู่ หากคนที่ไม่รู้มาได้ยิน คงคิดว่าคนที่ปฏิเสธอาวุโสเหล่ยไปเป็นตัวมันเองไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน
  “ทุกคนย่อมมีปณิธานของตัวเอง”
  ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ สีหน้าท่าทียังสงบไม่มีเสียดายแม้แต่นิดเดียว “ต่อไป ต้องรบกวนอาวุโสจางจิ่นนำทางข้าแล้ว”
  “กล่าวได้ดี”
  จางจิ่นส่ายหัวพลางถอนหายใจอีกรอบ จากนั้นก็เหินร่างนำต้วนหลิงเทียนออกไปก่อน ด้านต้วนหลิงเทียนหลังกล่าวลาอาวุโส 17 แล้วก็เหินร่างตามไปทันที
  จากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ติดตามจางจิ่นผ่านอาคารปลูกสร้างมากมาย ยังข้ามเทือกเขาสูงชันอีกแห่ง
  ในเขตนิกายหมอกเร้นลับนั้น มีภูมิประเทศหลากหลาย บางจุดก็มีทิวทัศน์แลดูงดงามร่มรื่น
  ต้วนหลิงเทียนย่อมคุ้นชินกับสิ่งนี้แล้ว
  “ต้วนหลิงเทียน เจ้านับเป็นศิษย์หลักขอบเขตเทพคนแรกในรอบหมื่นปีของนิกายหมอกเร้นลับเรา ต่อไปข้าจะกล่าวแนะนำเรื่องที่ไม่มีบันทึกไว้ในคู่มือศิษย์สายในให้เจ้าฟัง…”
  ระหว่างทาง จางจิ่นก็กล่าวอธิบายเรื่องราวหลายๆอย่างให้ต้วนหลิงเทียนฟัง
  อย่างไรก็ตามหลังกล่าวอธิบายไปได้ครึ่งเดียว อยู่ๆจางจิ่นก็หยุดลงดื้อๆ
  เนื่องเพราะตอนนี้มีร่างหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นขวางทางจางจิ่นกับต้วนหลิงเทียน
  เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่มาในชุดสีแดงเข้ม ใบหน้าแลดูหนักแน่นดุดัน เส้นผมสีดำขลับทอดยาวไปด้านหลัง บนหน้าผากยังปรากฏผ้าสีแดงคาดไว้
  มันพอปรากฏตัวออกมาก็พยักหน้าให้จางจิ่นก่อน “อาวุโสจางจิ่น”
  ไม่ทันที่จางจิ่นจะได้พูดอะไร ชายหนุ่มดังกล่าวก็หันมามองต้วนหลิงเทียน น้ำเสียงยังเฉยเมยไร้แยแสอยู่บ้าง “เจ้าเป็นศิษย์หลักคนใหม่ ต้วนหลิงเทียน กระมัง?”
  ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเล็กน้อย เพราะท่าทีของอีกฝ่ายที่มีต่อเขานั้นไม่ปกติเลย ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ทันที
  เขาก็เลยไม่คิดจะเสวนาหรือให้ความสนใจอะไรมัน
  “ต้วนหลิงเทียน”
  ด้านจางจิ่นเองก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของต้วนหลิงเทียน จึงเร่งกล่าวผ่านพลังออกมาทันที “นี่คือศิษย์คนโตของอาวุโสฟง ซั่งกวนฉงเฟิง”
  “1 ใน 62 ศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับเรา…แต่ตอนนี้เมื่อมีเจ้าเพิ่มมา ศิษย์หลักจึงกลายเป็น 63 คน และในบรรดาศิษย์หลัก พลังฝีมือของมันก็ถือว่าร้ายกาจติด 1 ใน 3 ในแง่พลังฝีมือยังเหนือกว่าอาวุโสฝ่ายในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงทั่วไปเสียอีก”
  จางจิ่นตั้งใจกล่าวเน้นความร้ายกาจของซั่งกวนฉงเฟิงออกมาเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าอยากให้ต้วนหลิงเทียนลดท่าทีต่ออีกฝ่าย จะได้ไม่เป็นการล่วงเกิน จนสร้างความขุ่นเคืองใจอะไร
  ทันใดนั้นเอง ซั่งกวนฉงเฟิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงยังราวกับออกคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ขัดขืน “เจ้านำโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของเจ้าออกมาเสีย ข้าซั่งกวนฉงเฟิงจะเอา!”