พอเห็นว่าหวูเฟิงสามารถใช้โอสถเสริมโชค 2 เม็ดแลกกับกระบี่เทพขั้นกลางคุณภาพดีได้เช่นนั้น สาตาของเหล่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับด้านหลังก็เต็มไปด้วยความอิจฉาทันที
“กระบี่เทพขั้นกลางที่ศิษย์พี่ต้วนเอาไปแลก…ใช่ของรางวัลเป็นศิษย์หลักหรือไม่?”
“ในนิกายหมอกเร้นลับเรา ปกติแล้วศาตราเทพขั้นกลางชิ้นแรกที่ศิษย์หลักมี ก็เป็นของรางวัลที่เลือกมาจากการผ่านการทดสอบเป็นศิษย์หลักทั้งนั้น…ศิษย์พี่ต้วนกลับใช้มันไปกับเรื่องแบบนี้ ข้าเกรงว่าวันหน้าหากจะหากระบี่เทพขั้นกลางเล่มใหม่ไว้ใช้ คงยากเย็นแสนเข็ญนัก”
…
ฟังจากเสียงกระซิบกระซาบของเหล่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกมันเข้าใจว่ากระบี่เทพขั้นกลางที่ต้วนหลิงเทียนนำออกมาแลก เป็นของรางวัลที่เลือกมาหลังผ่านการทดสอบเป็นศิษย์หลัก
เพราะหลังผ่านการทดสอบศิษย์หลัก ไม่ว่าใครก็จะได้รับโอกาสเลือกของรางวัลจากนิกาย
ในบรรดาของรางวัลที่นำมาให้เลือก ย่อมมีศาสตราเทพขั้นกลางรวมอยู่ด้วย
ถังชุนที่ยืนข้างๆ พอได้ยินบทสนทนาโดยรอบ มุมปากมันก็อดกระตุกไปไม่ได้
มีแต่มันเท่านั้นที่รู้ว่า ต้วนหลิงเทียนยังไม่ได้ไปทำเรื่องเป็นศิษย์หลักตามขั้นตอนของนิกายเลย จึงยังไม่ได้เลือกของรางวัลที่นิกายมอบให้อะไรทั้งนั้น กระบี่เทพขั้นกลางที่ต้วนหลิงเทียนควักออกมาแลกเม็ดยา เป็นแค่กระบี่เทพที่ต้วนหลิงเทียนมีแต่แรก
เพียงแค่ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าฉีอวี่หรือถูเฟิงบนแท่นยอดยุทธ์ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ใช้กระบี่เทพขั้นกลางออกมาสักครั้ง เลือกจะใช้แค่กระบี่เทพขั้นต่ำเท่านั้น
“ศิษย์น้องต้วน ที่เจ้าต้องการโอสถเสริมโชคอย่างเร่งด่วนถึงเพียงนี้ หรือว่าเจ้ากำลังจะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้หวูเฟิง และกำลังจะชวนถังชุนให้จากไปเพื่อไปทำเรื่องเป็นศิษย์หลักต่อ พอดีเสียงผ่านพลังของหวูเฟิงพลันดังขึ้นเข้าหูเสียก่อน
ต้วนหลิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย พอมองสบตาหวูเฟิงอีกครั้ง เขาก็เห็นว่าดวงตาหวูเฟิงเหมือนกำลังเปล่งประกายแปลกๆ
สุดท้ายเขาก็เลยตอบผ่านพลังกลับไปว่า “ใช่”
“แล้วอีกนานหรือไม่ เจ้าถึงจะทะลวงผ่าน?”
หวูเฟิงยังคงส่งเสียงผ่านพลังมาถามต่อ “หากว่าเจ้าสามารถทะลวงผ่านได้ในเวลาอันสั้น ไม่แน่ข้าอาจจะคืนหนี้น้ำใจครั้งนี้ของเจ้าได้เร็ววัน”
“ศิษย์พี่หวูเฟิง หนี้น้ำใจอะไรนั่นท่านอย่าไปคิดถึงมันเลย”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปปฏิเสธอีกครั้ง “สำหรับข้าตอนนี้ โอสถเสริมโชค 2 เม็ดของท่านมีค่ามากกว่ากระบี่เทพขั้นกลางเล่มนั้นเสียอีก”
“ศิษย์น้องต้วน อย่าพึ่งรีบปฏิเสธ”
หวูเฟิงเร่งกล่าวผ่านพลังสืบต่อ “ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนที่ไว้ใจได้คนหนึ่ง จึงคิดจะบอกกล่าวความจริงกับเจ้า”
“เหตุผลที่ข้าต้องการศาสตราเทพขั้นกลาง เพราะข้ามีเหตุให้ต้องใช้มันหลังจากนี้ไม่นาน…ข้าต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของข้าให้ได้มากที่สุดในเวลาอันสั้น”
“พอดีข้ากับอีก 4 คนบังเอิญพบเจอ ‘เทพซ่อน’ และหากไม่มีอะไรผิดพลาด มันสมควรเป็นมรดกสถานที่ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพสร้างทิ้งไว้”
“และพวกเรา 5 คนก็ได้แบ่งกุญแจกันคนละดอก เพื่อใช้เปิด ‘เทพซ่อน’ แห่งนั้น…และอีกไม่นานก็จะถึงวันนั้นรวมตัวเปิดมันแล้ว”
“ถึงตอนนั้นหากต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในมรดกสถานให้ได้มากกว่าคนอื่น ก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งกว่าใครเท่านั้น”
“และจากพลังฝีมือส่วนตัวของข้า ข้าย่อมรู้ดีแก่ใจว่าในระยะเวลาสั้นๆเพียงเท่านี้ หากคิดจะยกระดับขึ้น ก็มีแต่ต้องพึ่งพาพลังภายนอกเท่านั้น…”
กล่าวถึงจุดนี้ หวูเฟิงก็หยุดลงเล็กน้อย ก่อนจะมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเป็นประกายว่า “ศิษย์น้องต้วน วันที่พวกเรานัดหมายเปิดเทพซ่อนแห่งนั้น ก็คือ 3 เดือนหลังจากนี้…อย่างไรก็ตามระยะทางมันค่อนข้างไกลอยู่บ้าง และข้าต้องใช้เวลาเดินทางหนึ่งเดือน กล่าวได้ว่าอีก 2 เดือนข้าก็ต้องออกเดินทางแล้ว”
“พวกเรา 5 คนนัดกันไว้ ว่าแต่ละคนสามารถพาผู้ช่วยมาได้แค่คนเดียวเท่านั้น…อย่างไรก็ตาม พลังฝึกปรือของคนที่พามาต้องไม่เกินราชาเทพขั้นต่ำ เต็มที่ก็คือราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น”
“เดิมทีข้าคิดจะไปขอให้สหายข้าที่เป็นศิษย์สายในเหมือนกันไปกับข้า…”
“แต่ข้ายังไม่ได้บอกใคร”
“เช่นนั้น…หากเจ้าสามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ในเวลา 2 เดือน ข้าจะพาเจ้าไปด้วย ดีหรือไม่?”
“กล่าวไปข้ายังหวังให้เจ้าไปกับข้านัก…เพราะเจ้าอาศัยด่านพลังขอบเขตเทพขั้นสูงก็ฆ่าถูเฟิงที่เป็นราชาเทพขั้นต่ำได้แล้ว หากเจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำล่ะก็…”
“แน่นอนถึงจุดนี้เจ้าคงเดาได้แล้ว ว่าข้าบังเกิดความเห็นแก่ตัว…คิดพึ่งพาพลังฝีมือของเจ้าที่สูงล้ำกว่าในการหาผลประโยชน์”
ในสายตาของถูเฟิง ศิษย์น้องต้วนที่อยู่เบื้องหน้า อาศัยแค่ด่านพลังเทพขั้นสูงก็ฆ่าถูเฟิงที่พลังฝีมือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามันได้ง่ายๆแล้ว หากอีกฝ่ายทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำล่ะก็ พลังฝีมือต้องสูงล้ำกว่ามันไปมากมาย
ถึงตอนนั้น เกรงว่าผู้คนที่อยู่ในเขตคฤหาสน์ตงหลิง นอกจากเหล่าอัจฉริยะจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพแล้ว คงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้ต้วนหลิงเทียนได้อีก
และอีก 4 คนที่บังเอิญพบเจอ ‘เทพซ่อน’ ที่คาดว่าน่าจะเป็นมรดกสถานของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพนั่น ก็เป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเหมือนนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้น
‘เทพซ่อน? ฟังดูนึกว่าเป็นเทพที่ซ่อนตัวอะไรเสียอีก แต่เป็นสถานที่ๆน่าจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพงั้นหรือ?’
สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ต้องบอกเลยว่าเขาบังเกิดความสนใจไม่น้อย
ในระนาบเทพนั้น ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพ ก็มากพอจะปกครองพื้นที่บางส่วนในระนาบเทพได้แล้ว และต่ำๆก็ต้องมาจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ!
และในระนาบเทพ ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ ก็เป็นรองแต่ขุมกำลังระดับอริยะเทพเท่านั้น
และในเขตคฤหาสน์ตงหลิง ที่นิกายหมอกเร้นลับตั้งอยู่ ในพื้นที่ก็ไม่มีขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพใดๆ ที่แข็งแกร่งหน่อยก็คือขุมกำลังระดับจอมราชันเทพที่มีตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพมากหน่อยเท่านั้น…กล่าวได้ว่าตัวตนระดับจักรพรรดิเทพ คือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตคฤหาสน์ตงหลิงแน่นอน
กับตัวตนเช่นนี้ มรดกสถานที่ทิ้งไว้จะธรรมดาได้หรือ?
‘กับศาสตราเทพนั้นข้าคงไม่สนใจ…เพราะอย่างไรก็มีกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอยู่แล้ว’
‘อย่างไรก็ตามหากมันเป็นมรดกสถานจริง เช่นนั้นก็ต้องมีผไม้เทพ สมุนไพรเทพ โอสถเทพ หรืออะไรก็ตามที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะไม่ก็ความเข้าใจในกฏให้ผู้ที่สืบทอดที่จะมาพบเจอแน่นอน สำหรับข้าในตอนนี้นั่นเป็นสมบัติที่ดีที่สุด’
ในขณะที่หัวใจต้วนหลิงเทียนเริ่มเต้นรัวขึ้นมา เขาก็หันไปมองหวูเฟิงด้วยสายตาประทับใจพลางกล่าวผ่านพลังว่า “ศิษย์พี่หวูเฟิง ข้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพเมื่อไหร่ข้าจะส่งข้อความไปหาท่านทันที…”
“และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ภายใน 2 เดือนนี้ข้าต้องทะลวงผ่านแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เช่นนั้นย่อมประเสริฐ! แล้วข้าจะรอเจ้าติดต่อมา!!”
หวูเฟิงรีบตอบรับ “ข้ายังคิดว่า…ถึงภายใน 2 เดือนนี้เจ้าจะยังไม่อาจทะลวงผ่านได้ เจ้าก็ไปกับข้าด้วยเลยเถอะ”
“เพราะถึงเจ้าจะไม่ใช่ราชาเทพขั้นต่ำ…แต่บอกตามตรง เจ้ายังร้ายกาจกว่าข้าเสียอีก”
“คนอื่นๆที่จะเข้าไปด้วย 4 คนนั้นพลังฝีมือก็พอๆกับข้า และพวกมันก็ไม่น่าจะหาราชาเทพขั้นต่ำที่ร้ายกาจอะไรมากมายไปด้วย…หากเจ้าทะลวงผ่านย่อมประเสริฐสุด แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา และอันที่จริงสถานที่ๆพวกเราจะเข้าไปและคาดว่าเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพนั้น ก็ไม่ได้จำกัดพลังบ่มเพาะอะไร เป็นพวกเราตกลงกันเองเท่านั้น”
ได้ยินคำพูดของหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะกล่าวตอบรับ
เพราะถึงเขาจะมีความมั่นใจในระดับหนึ่ง แต่เขาก็กลัวว่าประสิทธิภาพของโอสถเสริมโชคมันอาจจะไม่ได้เลิศล้ำสมคำร่ำลือ และอาจเกิดปัญหาติดจุดรอคอยอะไร จนไม่อาจทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตราชาเทพได้ในคราวเดียว
และถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ ก็เกรงว่าในเวลาแค่ 2 เดือนเขาคงทะลวงด่านไม่ทันแน่
แต่เป็นธรรมดาว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาด อาศัยโอสถเสริมโชค 2 เม็ดย่อมทำให้เข้าทะลวงผ่านได้แน่
“ยิ่งไปกว่านั้น หากเจ้าไปกับข้าทั้งๆที่ยังอยู่ในขอบเขตเทพขั้นสูงล่ะก็ นี่จะลดทอนความระวังตัวของพวกมันและทำให้พวกมันประมาทมากขึ้น เพราะพวกมันไม่พ้นต้องดูถูกเจ้าแน่ และดูถูกคู่พวกเรา…ถึงตอนนั้นพวกมันอาจคิดไม่ซื่อคิดจัดการพวกเรา…”
หวูเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพได้ย่อมดีที่สุด”
หลังคุยกับหวูเฟิงต่อไม่กี่คำ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวลาอีกฝ่าย จากนั้นก็ออกกจากตำหนักแลกเปลี่ยนกับถังขุน มุ่งหน้าไปดำเนินการทำเรื่องเป็นศิษย์หลักต่อ
ขั้นตอนการทำเรื่องเป็นศิษย์หลักก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร
เมื่อมาถึงสถานที่ ด้วยมีถังชุนคอยช่วยตามเรื่อง ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ได้ป้ายประจำตัวป้ายใหม่มา จากนั้นก็มอบป้าประจำตัวศิษย์สายในคืนไป
“หลังยกระดับเป็นศิษย์หลักได้สำเร็จ ทางนิกายจะมอบของรางวัลให้ชิ้นหนึ่ง…เจ้าต้องการรับมันตอนนี้เลยหรือไม่?”
ผู้อาวุโสหลักที่รับผิดชอบขั้นตอนการลงทะเบียนเป็นศิษย์หลักให้ต้วนหลิงเทียน เอ่ยถาม
อาวุโสหลักคนนี้ก็คือ อาวุโส 17 ของนิกายหมอกเร้นลับ แม้แต่ถังชุนเองก็ต้องให้ความเคารพไม่กล้าละเลย
อาวุโส 17 มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดผ้าไหมเนื้อดี รูปร่างแลดูอ้วนท้วมพอสมควร ไม่ได้ให้ความรู้สึกกของยอดฝีมือขอบเขตราชาเทพแม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนพ่อค้าร่ำรวยมากกว่า
แต่ในเมื่อเป็นถึงอาวุโสหลักได้ ย่อมไม่ใช่ราชาเทพทั่วไปแน่
และกล่าวไป พลังฝีมือของอาวุโสร่างอ้วนคนนี้ ยังแข็งแกร่งเป็นอันดับต้นๆของราชาเทพขั้นสูงในนิกายหมอกเร้นลับด้วยซ้ำ และห่างจากขอบเขตจอมราชันเทพอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ให้เทียบกับอาวุโส 2 อย่างอู่ฟงหยินแล้ว ก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่นิดเดียว
ผู้อาวุโสหลักนอกจากผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเพียงไม่กี่คนแล้ว ที่เหลือก็มีพลังฝีมือพอๆกันหมด
ลำดับนั้นไม่ได้บ่งบอกถึงพลังฝีมือแต่อย่างไร และอาวุโสหลักเบื้องหน้าก็แข็งแกร่งกว่าอาวุโสหลักที่มีลำดับสูงกว่าแล้ว
“รับเลย”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ จากนั้นภายใต้การนำทางของอีกฝ่าย ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็ติดตามอีกฝ่ายมาถึงห้องลับแห่งหนึ่ง
ด้านถังชุนนั้น ก็ได้กล่าวลาต้วนหลิงเทีนและจากไปก่อน
ส่วนเรื่องที่จะไปยังสถานที่พักของศิษย์หลักหลังจากนี้ อาวุโส 17 จะให้คนพาต้วนหลิงเทียนไปส่งเอง ไม่จำเป็นต้องให้ถังชุนนำทางอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะจากไป ถังชุนก็ไม่ลืมกล่าวแนะนำต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน หากไม่มีสิ่งใดที่เจ้าต้องการเป็นพิเศษ ก็เลือกอุปกรณ์เทพขั้นกลางมาเสีย…ถึงแม้มันจะไร้ประโยชน์ แต่อย่างน้อยๆมันก็มีมูลค่ามากพอให้เจ้านำไปแลกเปลี่ยนได้”
“หากเจ้าโชคดี ยังอาจจะแลกโอสถเสริมโชคได้เพิ่มอีกหลายเม็ด”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เก็บคำแนะนำของถังชุนมาใส่ใจ
เพราะเขารู้ดีว่าสุดท้ายคนที่ตัดสินใจเลือกคือเขา และต่อให้มันเป็นสมบัติที่มีมูลค่าด้อยกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลาง ขอเพียงเขาอยากได้ เขาก็จะเลือกมัน
เพราะเขาไม่ขาดแคลนอุปกรณ์เทพขั้นกลางเลย
เอาอุปกรณ์เทพขั้นกลางไปแลกกับอย่างอื่น?
เขาไม่คิดเสียเวลาไปรอแลกอะไรแบบนั้น
หาไม่แล้ว ก่อนหน้าเขาคงไม่พอใจกับการแลกกระบี่เทพขั้นกลางเล่มหนึ่งกับโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของหวูเฟิง เพราะถ้าเขาเลือกที่จะรออย่างน้อยๆเขาอาจจะได้โอสถเสริมโชคถึง 4 เม็ดเป็นอย่างต่ำ…
“ต้วนหลิงเทียน ข้าได้ยินเรื่องเจ้ามาไม่น้อย เห็นว่าเจ้าปฏิเสธคำชวนของอาวุโสเหล่ยรึ?”
ระหว่างเดินทางไปห้องลับ อาวุโส 17 ก็หยีตากล่าวถามต้วนหลิงเทียนออกมา
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “พอดีข้ามีอาจารย์อยู่ในระนาบเทวโลก จึงไม่สะดวกคารวะผู้ใดเป็นอาจารย์อีก”
แน่นอนว่าคำพูดที่ต้วนหลิงเทียนยกอ้างออกมานั้น เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งนั้น
ตอนที่เขายังอยู่ในระนาบเทวโลก เขาเคยพูดคุยกับฟงชิงหยางเรื่องนี้แล้ว และฟงชิงหยางก็บอกเขาว่าไม่ต้องยึดถือเรื่องนี้มากนัก หากรู้สึกว่ามันมีประโยชน์กับเขาจริงๆ เรื่องจะคารวะอาจารย์อีกคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร และฟงชิงหยางก็ไม่ถือสา
เทียบกับเรื่องหยุมหยิมแล้ว ฟงชิงหยางสนใจแต่ตำแหน่งในใจของต้วนหลิงเทียนมากกว่า
หลายคนถึงกับฆ่าอาจารย์ตัวเองเพื่อผลประโยชน์
ต่อให้คนแบบนี้มีอาจารย์คนเดียวแล้วอย่างไร?
ไม่ใช่สุดท้ายอาจารย์เพียงคนเดียวที่ว่า ก็จบไม่สวยหรือไร?
และถึงแม้บางคนจะมีอาจารย์หลายคน แต่ทว่ากลับให้ความเคารพนับถือและให้ความสำคัญกับอาจารย์ทุกคน ไม่ดูแคลนอาจารย์คนแรกๆเพียงเพราะพลังฝีมือเหนือกว่า