ใบหน้าหลงเซียวเต็มไปด้วยความชอบธรรม ราวกับมันคิดจะทำเพื่อต้วนหลิงเทียนจริงๆ
อย่างไรก็ตามในสายตาของต้วนหลิงเทียนแล้ว หลงเซียวไม่ต่างอะไรจาก ‘ตัวตลก’ ที่โดดออกมาเล่นจำอวดเลย
“ข้าขอฟังรายละเอียดได้หรือไม่?”
หลังจากได้ยินหลงเซียวบอกว่าจะชี้ทางสว่างให้ ต้วนหลิงเทียนก็ชักสีหน้าจริงจังทำทีเป็นสนใจขึ้นมา
“ก็แค่กราบอาจารย์ข้า และกลายเป็นศิษย์น้องของข้า…”
พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเหมือนจะสนใจ ลูกตาหลงเซียวก็ทอประกายสว่างจ้าเร่งกล่าวเข้าประเด็นทันที “อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ของข้า ในฐานะที่เป็นถึง 1 ใน 4 อาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ เมื่อถูกเจ้าปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง หากเจ้าคิดจะกราบอาจารย์ข้าเพื่อเป็นศิษย์อีกครั้ง เกรงว่าท่านอาจารย์คงไม่ตอบรับแน่นอน”
“อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไปเริ่มคุกเข่าลงห่างจากที่พักของท่านอาจารย์ข้า 10 ลี้ จากนั้นก็คลานเข่าไปก้าวหนึ่งโขกหัวคารวะครั้งหนึ่งจนไปถึงบ้านพักท่านอาจารย์ล่ะก็ ท่านอาจารย์ต้องยอมรับเจ้าเป็นศิษย์แน่”
“เพราะสิ่งที่เจ้าทำไม่ต่างอะไรจากแสดงความ ‘จริงใจ’ ออกมา และเมื่อท่านอาจารย์ข้าเห็นความจริงใจของเจ้าล่ะก็ ต้องไม่มีทางปฏิเสธเจ้าแน่นอน”
“และ…แต่ละก้าวีท่เจ้าคลานเข่าไป หากโขกหัวให้เลือดโชกได้ จะดียิ่ง เพราะสิ่งนี้จะยิ่งทำให้ท่านอาจารย์ข้าใจอ่อนลงหลายส่วน”
หลงเซียวกล่าวด้วยท่าทีน้ำเสียงจริงจัง
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ชี้แนะ”
ต้วนหลิงเทียนพักหน้ารับ สีหน้าท่าทีไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “ข้าจะเก็บไว้พิจารณา”
เป็นธรรมดาว่าต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวตอบอย่างขอไปทีเท่านั้น เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับคำพูดของหลงเซียวแม้แต่น้อย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้หลงเซียวประพฤติตัวดั่งสุนัขจนตรอก โดนข้ามกำแพง เขาจึงคิดมาตราการรับมือมันอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ กันไม่ให้มันลงมือจัดการเขาอย่างอุกอาจเหมือนซั่งกวนฉงเฟิง
ฟังจากที่อาวุโสจางจิ่นเล่ามา ถึงแม้พลังฝีมือของหลงเซียวจะไม่ได้ร้ายกาจเท่าซั่งกวนฉงเฟิง แต่มันก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากนัก กล่าวไปพลังฝีมือของมัน ยังจัดว่าติด 1 ใน 5 อันดับศิษย์หลักที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
แถมมันยังสามารถเอาชนะอาวุโสฝ่ายในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงได้ ทั้งๆที่ด่านพลังของมันอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง
นอกจากนั้นอาจารย์ของหลงเซียว 1 ใน 4 อาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ เห็นได้ชัดว่าต้องปกป้องให้ท้ายมันแน่ ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดว่าเขาจะจัดการมันได้ง่ายๆอย่างไร้ปัญหา
“อืม เจ้าคิดให้ดี”
หลงเซียวพยักหน้า “หากเจ้าทำตามที่ข้าบอก เจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ และเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า…ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปขอคำอธิบายจากซั่งกวนฉงเฟิง และให้มันคายโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของเจ้าออกมา!”
พอกล่าวจบ หลงเซียวก็เหินร่างจากไปทันที
ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนก็ไม่รีบกลับจวนด้านล่าง เพียงครุ่นคิดแผนการในใจ ‘ดูท่าจากนี้ไปคืนวันอันดีของข้าในนิกายหมอกเร้นลับจะจบลง…ข้าหาทางออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปก่อนที่พวกมันจะหาโอกาสเล่นงานข้าดีกว่า’
‘ทั้งหมดเป็นเพราะพลังของข้ายังอ่อนด้อยเกินไป…’
‘อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่ต้องสละตำแหน่งศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับเพราะเรื่องนี้…แค่จากไปก่อนแล้วค่อยย้อนกลับมาตอนมีกำลังมากพอ’
หลังครุ่นคิดไปสักพักสองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายจ้า ไม่คิดจะกลับเข้าจวนอีกต่อไป แต่เลือกจะหันหลังจากไปอีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่ใช่แค่ออกจากเขตที่พักศิษย์หลักเท่านั้น ยังออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปเลย
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะจากไป เขาไปหาจ้งเทียนอู่ก่อน และบอกให้มันส่งข่าวถึงตระกูลจ้งให้เตรียมโอสถเสริมโชคให้เขาทันที เพราะเขามีธุระต้องออกไปนอกนิกาย
ด้านจ้งเทียนอู่ก็ไม่กล้ารอช้า เร่งติดต่อไปหา จ้งต้า บิดาบุญธรรมของมันที่เป็นผู้นำตระกูลจ้งคนปัจจุบัน
ยังบอกจ้งต้าตามคำพูดของต้วนหลิงเทียน ว่าให้คนนำโอสถเสริมโชคไปรอหน้าประตูเมืองวายุสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนจะไปรับมันด้วยตัวเอง
“ศิษย์พี่หวูเฟิง”
หลังเสร็จธุระกับจ้งเทียนอู่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมติดต่อไปหาหวูเฟิง “ข้าจะออกไปทำธุระด้านนอกสักระยะ และจะกลับมาในอีก 2 เดือนให้หลัง ถึงตอนนั้นข้ากับท่านค่อยนัดพบกันนอกนิกายเลยก็ได้”
เขาย่อมไม่ลืมข้อตกลงระหว่างเขากับหวูเฟิง อีก 2 เดือนหลังจากนี้จะเดินทางไปยัง ‘เทพซ่อน’ สถานที่ๆคาดว่าน่าจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ!
“ได้สิ”
หวูเฟิงย่อมไม่รู้สถานการณ์ของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน จึงเห็นด้วยอย่างไม่คิดอะไรมาก
หลังจากได้รับข้อความตอบกลับของหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากนิกายหมอกเร้นลับทันที
ด้วยมีป้ายศิษย์หลัก ทำให้เขาผ่านม่านหมอก 99 ชั้นได้อย่างราบรื่น
เมื่อออกจากนิกายหมอกเร้นลับแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เร่งรุดมุ่งหน้าไปยังเมืองวายุสวรรค์ด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนจะพบเจอคนของตระกูลจ้งที่นำโอสถเสริมโชคมารอส่งมอบให้เขาหน้าประตูเมือง
พอได้โอสถเสริมโชคมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างจากไปทันที ไม่คิดจะเข้าเมืองวายุสวรรค์แต่อย่างใด
และทิศทางที่ต้วนหลิงเทียนมุ่งหน้าไปก็คือทิศตะวันตก เพราะเท่าที่เขาทราบมา นิกายอันเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก…ทำให้เขตพื้นที่ทางตะวันตก มีนิกายน้อยใหญ่มากมาย แถมเมืองในพื้นที่แถบนั้นก็เจริญรุ่งเรืองมาก
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็คิดไปหาที่พักในเมืองแถวนั้น
‘ไปเมืองจวินหลิงดีกว่า’
เมืองจวินหลิง จัดว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างใหญ่ และยังเป็นหนึ่งในหลายๆเมืองที่อยู่ใต้อาณัติของขุมกำลังระดับจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับ แม้จะไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุดก็ตามแต่นับว่าเจริญรุ่งเรืองพอสมควร ส่วนเมืองที่ใหญ่ที่สุดนั้นก็คือเมืองที่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิดังกล่าวปกครองโดยตรง ไม่เพียงจะใหญ่กว่ายังเจริญรุ่งเรืองกว่ากันมากอีกด้วย
เหตุไฉนที่ต้วนหลิงเทียนไม่ไปเมืองใหญ่เช่นนั้นเลย เพราะเมืองนั้นมันอยู่ไกลเกินไป กว่าจะเดินทางไปถึงด้วยความเร็วของเขาในปัจจุบันคาดว่าต้องใช้เวลาเกือบเดือน เช่นนั้นเวลาที่เขาจะได้อยู่ในเมืองเกรงว่าคงมีแค่ไม่กี่วัน
และต้วนหลิงเทียนที่คิดจะหาโอสถเสริมโชคอีกเม็ด ก็จำต้องใช้เวลาในเมืองสักระยะเพื่อหาข่าว
เช่นนั้นการเดินทางไปยังเมืองจวินหลิง ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของต้วนหลิงเทียน
เป็นเมืองที่เจริญพอสมควร และอยู่ไม่ไกลมากนัก
นอกจากนั้นเหตุผลหลักที่ไฉนต้วนหลิงเทียนเลือกจะเดินทางไปเมืองจวินหลิง เพราะเขาทราบมาว่าเส้นทางไปเมืองจวินหลิงนั้น ไม่มีขุมกำลังอันธพาลที่ร้ายกาจจนเกินไป เพราะพื้นที่ละแวกนี้ยังอยู่ในพื้นที่อำนาจของนิกายหมอกเร้นลับ ขุมกำลังอันธพาลย่อมไม่กล้าหากินโจ่งแจ้ง
อีกทั้งในเมืองจวินหลิงยังมีกิจการห้างร้านของนิกายหมอกเร้นลับมากมาย
ซัวววว!
ต้วนหลิงเทียนที่เร่งรุดเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด ใช้เวลาไป 5 วัน 5 คืนก็เดินทางถึงเมืองจวินหลิงโดยสวัสดิภาพ และเมืองจวินหลิงก็มีขนาดใหญ่โตกว่าเมืองวายุสวรรค์ที่เขาเคยไปมาหลายเท่า
อีกทั้งเมืองจวินหลิงยังตั้งอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง แถมล้อมรอบด้วยแนวเทือกเขาสูงชัน ราวกับปราการธรรมชาติ หากไม่เหาะอยู่ในเพดานบินที่สูงพอ เกรงว่าคงไม่อาจแลเห็นเมืองจวินหลิงที่อยู่ด้านหลังแนวเทือกเขาได้
หากเมืองนี้ไปปรากฏในสมัยโบราณของโลกเก่าที่ต้วนหลิงเทียนเคยอยู่เมื่อชาติก่อน มันสมควรเป็นเมืองที่ไม่มีวันถูกใครตีแตกแน่นอน เพราะปราการธรรมชาติอันเลิศล้ำเช่นนี้ เป็นอะไรที่ง่ายป้องกันยากจู่โจมนัก
‘จากเมืองจวินหลิงแห่งนี้…หากมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกสืบต่อก็จะเป็นตำแหน่งที่ตั้งขุมกงำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับ…ส่วนอีก 3 ทิศที่เหลือ ก็จะเหมือนๆกับนิกายหมอกเร้นลับที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง ทิศเหนือกับทิศใต้ก็มีตระกูลระดับจอมราชันเทพ กับนิกายระดับจอมราชันเทพตั้งอยู่’
‘ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้ง 3 รวมถึงนิกายหมอกเร้นลับ ล้วนมีกิจการห้างร้านในนิหายจวินหลิงทั้งนั้น’
เมืองจวินหลิงนั้น เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้ง 3 อันได้แก่ นิกายหมอกเร้นลับ และขุมกำลังจอมราชันเทพอื่นๆที่อยู่ใต้ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเดียวกัน ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองใหญ่ที่อยู่ในละแวกขุมกำลังระดับจักรพรรดิมากนัก
ฟุ่บ!
พริบตาต่อมา ร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏตัขึ้นนอกเมืองจวินหลิง
กวาดตามองลงไปเขาก็พบผู้คนมากมายกำลังเดินทางเข้าออกเมืองจวินหลิงกันคับคั่ง ราวกับฝูงปลาหลีข้ามลำห้วย กระทั่งยังมีผู้คนเหินร่างผ่านเขาไปเพื่อเข้าเมืองจวินหลิงไม่น้อย
หลังมองฉากเมืองที่มีอาคารปลูกสร้างเก่าแก่ให้ความรู้สึกราวกับผ่านวันเวลามาเนิ่นนานสักพัก สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายขึ้นวาบหนึ่ง เตรียมตัวจะเดินทางเข้าเมือง
ทว่าทันใดนั้นเอง
“หลีกทาง!!”
เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศฉับไวที่กำลังมุ่งหน้ามาทางเขา เช่นนั้นร่างเขาจึงวูบหลบออกข้างไปโดยไม่รู้ตัว จากนั้นพอหันไปมองก็พบสัตว์ประหลาดรูปร่างพิลึกแลดูน่ากลัวตัวใหญ่ยักษ์ 3 ตัว กำลังลากรถข้ามฟ้ามาด้วยความเร็วสูง
คนขับรถม้าที่ใช้สัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวใหญ่เทียมแทนม้า มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าดูหนักแน่นมั่นคง มีรอยแผลเป็นเด่นชัดบริเวณเหนือคิ้ว
ด้านหลังมันก็มีห้องที่ไม่ต่างอะไรจากรถม้าในยุคเก่า และหน้าต่างทุกบานปกคลุมไปด้วยผ้าผืนบาง
“รีบหลบเร็วเข้า! นั่นมันคนของตระกูลโอวหยาง!!”
ในขณะที่รถสัตว์ประหลาดคล้ารถม้าเหินผ่านหน้าต้วนหลิงเทียนไป เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากโดยรอบ
ผู้คนมากมายก็หันมาให้ความสนใจน่านฟ้าบริเวณนี้ทันที
“คนของตระกูลโอวหยาง?”
ต้วนหลิงเทียนจำได้ว่าเมื่อครู่เหมือนจะมีอักขระ 3 ตัวข้างๆรถม้า แต่เนื่องจากตัวอักษรแบบพิเศษ ทำให้ต้วนหลิงเทียนจดจำได้เฉพาะอักษรตัวสุดท้ายเท่านั้น
ตอนนี้ฟังจากเสียงอุทานของผู้คนที่เหาะอยู่รอบๆไม่ไกล เขาจึงเชื่อว่า 2 ตัวอักษรด้านหน้าสมควรอ่านว่าโอวหยางไม่ผิดแน่
“คนของตระกูลโอวหยางจะอวดเบ่งเกินไปแล้ว น่านฟ้าเป็นบิดาพวกมันสร้างขึ้นหรือไร ใช่มีไว้ให้พวกมันซิ่งรถเช่นนี้ได้ตามอำเภอใจรึ?”
ในบรรดาผู้ที่หลีกทางอย่างจ้าละหวั่น ย่อมมีบางคนไม่พอใจเป็นธรรมดา
“เฮ่อ พวกมันอวดเบ่งเพราะมีกำลังให้อวดเบ่ง แม้บิดามันไม่ได้สร้างน่านฟ้าอย่างเจ้าว่า แต่บิดาพวกมันร้ายกาจมากพอจะทุบตีพวกเราเป็นเศษเนื้อได้ง่ายๆ…”
อีกคนส่ายหัวพลางกล่าว “ตระกูลโอวหยางอย่างไรก็เป็นตระกูลราชาเทพ แถมยังเป็นตระกูลราชาเทพที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง…ที่สำคัญคือนายน้อยคนโตของตระกูลโอวหยางได้กราบอาวุโส 2 ของนิกายหมื่นปีศาจเป็นอาจารย์! แถมเห็นว่าอาวุโส 2 ยังเอ็นดูมันเป็นที่สุด เช่นนั้นเจ้าว่าพวกมันมีดีให้อวดเบ่งหรือไม่เล่า?”
“จริง ด้วยมีสัมพันธ์ระดับนี้ จุดยืนของตระกูลโอวหยางในเมืองจวินหลิงนั้น กล่าวว่ามั่นคงพอๆกับขุนเขาใหญ่ก็ไม่เกินเลย”
…
พอได้ยินบทสนทนาของผู้คนรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นในใจเขาพลันปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมา
ในอดีตที่งานประมูลของตระกูลโจวแห่งเมืองวายุสวรรค์ คนที่คิดจะมาหาเรื่องต้วนเฉียวอวี่ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นอาวุโส 2 ของนิกายหมื่นปีศาจหรือไร? หากจำไม่ผิดเหมือนจะชื่อหานลี่กังอะไรสักอย่าง…จากนั้นมันก็เลยโดนอวี๋ชิวซวน โฉมงามที่ติดตามข้างกายต้วนเฉียนอวี่ ตัวตนระดับจอมราชันเทพอันทรงพลัง ลงมือทำลายแขนมันทิ้งไปข้างหนึ่ง…
จากนั้นหานลี่กังก็เร่งรุดขอขมาต้วนเฉียนอวี่ด้วยความอัปยศอดสูทันที
ฉากเรื่องราวดังกล่าวยังอยู่ในใจต้วนหลิงเทียนชัดเจน
‘นายน้อยคนโตของตระกูลโอวหยาง…เป็นศิษย์หานลี่กังคนนั้น?’
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายแววแปลกๆขึ้นมา สุดท้ายเขาก็เห็นท่าทางขลาดกลัวร้องขอชีวิตอย่างน่าอัปยศอดสูของหานลี่กังที่ว่ามากับตา…
แต่รถเทียมสัตว์ประหลาดของตระกูลโอวหยางที่แลดูกร่างนั่น กลับมาอวดเบ่งกับผู้อื่นราวกับเป็นจ้าวชีวิต สิ่งนี้ไม่น่าตลกหรือไร?
แต่พริบตาต้วนหลิงเทียนก็เลิกสนใจฉากเล็กๆที่เกิดขึ้น
สุดท้ายมันก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง และไม่ได้ทำให้เขาสนใจอะไร ที่สำคัญหากหลีกเลี่ยงความขัดแย้งได้ก็เป็นดี สุดท้ายพลังของเขาในปัจจุบันก็ไม่สูงพอให้เขาไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใดหรือหยิ่งเข้ากระดูกอะไรแบบนั้น
แต่ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่เห็นว่าเรื่องนี้มันสำคัญอะไร
หากเป็นเรื่องสำคัญและเขาสนใจ ถึงแม้พลังของเขาจะไม่สูงพอ แต่เขาก็จะหาทางจัดการมันให้ได้!
ดุจเดียวกับ อวิ๋นชิงเหยียน จากตระกูลอวิ๋นแห่งดินแดนการล่มสลายของทวยเทพที่พรากเค่อเอ๋อไปจากเขา แม้เขาจะสู้ไม่ได้แต่เขาก็สู้ยิบตาอย่างกล้าหาญ
‘เข้าไปในเมือง หาโรงเตี๊ยมที่พัก กินโอสถเสริมโชคแล้วดูดซับพลังของมันก่อน’
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆไหลตามสายธารผู้คนเข้าเมืองจวินหลิง ไม่นานก็พบเจอโรงเตี๊ยมเล็กๆแลดูสงบไม่วุ่นวาย เขาขอห้องพักที่อยู่ห่างไกล แล้วก็เข้าไปพักทันที
กินโอสถเสริมโชค เตรียมดูดซับ
‘โอสถเสริมโชคเพียงเม็ดเดียวไม่พอทำให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ…แต่น่าจะทำให้ระดับพลังในร่างข้าอยู่สุดปลายขอบเขตเทพ ไม่แน่ก็อาจเพิ่มถึงจุดรอคอยสุดท้าย…’
ภายในห้องพัก ต้วนหลิงเทียนที่นั่งลงบนเตียง หลังกินโอสถเสริมโชคแล้ว เขาก็เริ่มดูดซับพลังของมันทันที
พลังของโอสถเสริมโชคที่พุ่งพล่านในร่าง ก็ถูกเขาดูดซับได้หมดจดไม่มีเสียเปล่า
พลังเทพในร่างเขายังเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วสูง ถึงขั้นเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า…