หลังออกจากเมืองจวินหลิง ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็ไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งมี่ขนาดไม่ต่างอะไรจากเมืองวายุสวรรค์ที่เขาเคยอยู่มาก่อน รอคอยเวลานัดพบหวูเฟิงเพื่อเดินทางไปยังเทพซ่อน ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ
ตอนนี้ก็ยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งเดือน ก่อนจะถึงวันนัดหมายกับหวูเฟิง
แน่นอนว่าเวลา 10 กว่าวันที่เหลือ เขาก็เผื่อไว้ใช้เดินทางไปหาหวูเฟิงเช่นกัน
หลังจากลงทะเบียนเข้าพัก พอมาถึงห้องพักได้ไม่ทันไร เขาก็ได้รับข้อความจากถังอู๋เยียน
“เจ้า…เจ้ารู้จักหลิงหูชูยินหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนก็อดงุนงงไม่ได้ เมื่ออยู่ๆก็ได้รับข้อความจากถังอู๋เยียน แต่เขาก็ตอบกลับไปทันที “ข้าไม่รู้จัก”
พอรู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็เดาได้ไม่ยาก ว่าถังอู๋เยียนสมควรรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจวินหลิงเรียบร้อยแล้ว…
และในเมื่อถังอู๋เยียนรู้ เกรงว่าหลงเซียวก็อาจจะรู้หรืออีกไม่นานก็คงจะรู้เป็นแน่
“ไม่รู้จัก? เช่นนั้นเจ้า…ตกหลุมรักนางตั้งแต่แรกเห็นหรือ?”
ถังอู๋เยียนส่งข้อความมาถามต่อ และน้ำเสียงของนางก็ฟังดูเศร้าเล็กน้อย
คำถามดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่คิดจะตอบ “ตอนนี้ข้ากำลังจะปิดด่านบ่มเพาะ มีอะไรไว้คุยวันหลัง”
พอส่งข้อความตัดบทเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจข้อความที่ถังอู๋เยียนส่งมาอีกเลย
เขารู้ดีว่าตอนนี้ถังอู๋เยียนกำลังเข้าใจผิดอยู่
อย่างไรก็ตาม ถึงนางจะเข้าใจผิดเขาก็ไม่คิดจะอธิบาย
เพราะเขาเองก็หวังให้ถังอู๋เยียนห่างๆเขาหน่อย หาไม่แล้วก็คงต้องมาปวดหัวเรื่องหาทางตัดสัมพันโดยละมุนละม่อมกับนางภายหลัง เพราะตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจมาข้องแวะกับสตรีคนไหนจริงๆ
ถังอู๋เยียนที่อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่สนใจก็ขุ่นเคืองไม่น้อย จากนั้นก็ไม่คิดจะส่งข้อความไปหาต้วนหลิงเทียนอีก
“ข้าถังอู๋เยียนเองก็เป็นโฉมงามอันดับ 1 ของนิกายหมอกเร้นลับเหมือนกันนะ…แต่เจ้า ต้วนหลิงเทียนกลับไม่สนใจข้าเลยเหรอ?”
ถังอู๋เยียนอารมณ์เสียไม่น้อย ปกตินางล้วนเป็นที่ต้องการของทุกคน กระทั่งบุรุษมากมายังเห็นนางเป็นดั่งสมบัติเลอค่า แต่ในสายตาต้วนหลิงเทียนนางกลับเป็นบุปผาริมทาง? ยังเป็นดอกหญ้าริมทางไร้คนสนใจอีก…
ด้วยความถือดีในตัว เช่นนั้นถังอู๋เยียนก็ไม่คิดจะติดต่อกับต้วนหลิงเทียนอีก
ในเวลาเดียวกัน
ก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคาดไว้ไม่มีผิด กระทั่งถังอู๋เยียนยังได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจวินหลิง หลงเซียวเองก็รับทราบแล้วเช่นกัน
กระทั่งที่หลงเซียวได้รู้ ยังเป็นเพราะซั่งกวนฉงเฟิงคาบข่าวมาบอกด้วยตัวเอง “หลงเซียว ดูเหมือนเจ้าหนูนั่นมันก็แค่ตอบรับเข้าอย่างขอไปที…ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าหาตัวมันไม่เจอมาสักพัก ที่แท้มันวิ่งไปเมืองจวินหลิงนู่น”
ซั่งกวนฉงเฟิงมองหลงเซียวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มขี้เล่น “ดูเหมือนว่ามันจะไม่เห็นเจ้าอยู่สายตา หรือไม่ใส่ใจแม้แต่อาวุโสเหล่ยจริงๆ”
สีหน้าหลงเซียวตอนนี้เริ่มบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก
ครั้งก่อนมันเป็นคนพูดต่อหน้าซั่งกวนฉงเฟิงเสียดิบดี ว่าต้วนหลิงเทียนไม่พ้นต้องทำตามคำพูดของมันแน่ เรื่องคลานเข่าโขกหัวสิบลี้เพื่อร้องขอให้อาจารย์ของมันรับเป็นศิษย์…และพอถึงตอนนั้นต้วนหลิงเทียนต้องโดนอาจารย์ปฏิเสธแน่นอน จากนั้นมันก็จะทำให้ต้วนหลิงเทียนต้องอับอาย และถ้าต้วนหลิงเทียนเผยท่าทีคิดต่อต้าน มันก็จะฉวยโอกาสฆ่าทิ้งเสียเพื่อตัดปัญหาในภายภาคหน้า
ใครจะไปรู้ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ทำตามที่มันพูดด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายไม่เพียงไม่ไปคลานเข่าโขกหัวให้อาจารย์มัน 10 ลี้ กระทั่งคนยังหายไปไหนไม่ทราบ ถึงขั้นที่มันตามหาไม่เจอ ราวกับหายไปจากนิกายหมอกเร้นลับดื้อๆ
พอไปถามคนอื่น ก็ไม่มีใครรู้ว่าต้วนหลิงเทียนไปไหน
ด้วยเหตุนี้มันจึงทั้งโกรธทั้งขุ่นเคืองใจมาตลอดเดือน
มัน หลงเซียว ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่โดนล้อเล่นแบบนี้?
อย่างไรก็ตามในเมื่อหาต้วนหลิงเทียนในนิกายหมอกเร้นลับไม่เจอ ให้มันมีพลังมากแค่ไหนก็ไร้ที่ระบายออก
หลังผ่านไปเกือบ 2 เดือน อยู่ๆซั่งกวนฉงเฟิงก็มาหามันและคาบข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนมาบอก…ที่แท้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับด้วยซ้ำ แต่คนไปโผล่ที่เมืองจวินหลิงหน้าตาเฉย!
“ข้าจะรีบไปเมืองจวินหลิงเดี๋ยวนี้ เจอตัวมันเมื่อไหร่ข้าจะทรมานมันจนตาย!”
ได้ยินวาจาหยอกล้อของซั่งกวนฉงเฟิง ความโกรธทั้งขุ่นเคืองใจที่กักเก็บไว้มานานของหลงเซียวก็ปะทุออกมา อย่างไม่อาจควบคุม!
จากนั้นมันก็ไม่แม้แต่จะลาซั่งกวนฉงเฟิง คนพุ่งร่างหายไปจากสายตาซั่งกวนฉงเฟิงทันที พริบตาก็ออกจากนิกายหมอกเร้นลับ มุ่งหน้าไปยังเมืองจวินหลิงด้วยความเร็วสูงสุด!
ด้วยด่านพลังราชาเทพของหลงเซียว เมื่อมันใช้ออกด้วยความเร็วสูงสุด ในเวลาแค่หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน มันก็เดินทางมาถึงเมืองจวินหลิง
จากนั้นมันก็ตรงไปยังกิจการห้างร้านของนิกายหมอกเร้นลับในเมือง และเอ่ยถามเข้าเรื่องทันที “ต้วนหลิงเทียน ศิษย์หลักขอบเขตเทพคนใหม่ของพวกเรามันอยู่ไหน?”
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันพักที่ใด?”
อนิจจาต้วนหลิงเทียนไม่ได้ปังร้านรวงของนิกายหมอกเร้นลับเลยด้วยซ้ำ หลงเซียวจึงถูกลิขิตให้ผิดหวัง
อย่างไรก็ตาม หลงเซียวไม่คิดเลิกราแต่เพียงเท่านี้
มันวิ่งโร่ไปยังตระกูลราชาเทพใหญ่ๆของเมืองจวินหลิง จากนั้นก็สั่งให้ทุกตระกูลส่งคนออกไปตามหาตัวต้วนหลิงเทียนทันที และใครก็ตามที่ให้เบาะแสที่อยู่ของต้วนหลิงเทียนได้ มันจะจ่ายให้อย่างงาม
นอกจากนั้นมันยังไปหาคนของนิกายหมื่นปีศาจ และตระกูลหลิงหูที่อยู่ในเมืองจวินหลิง…และพอพบว่าหลงเซียวเป็นศิษย์ของอาวุโสเหล่ย แต่ละคนก็ให้ความร่วมมือกับมันอย่างดี
อาจกล่าวได้ว่าในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน หลงเซียวก็สามารถระดมกำลังทั่วเมืองจวินหลิง เพื่อตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน!
จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าอำนาจและอิทธิพลของอาวุโสเหล่ยมากมายแค่ไหน แม้แต่คนจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอื่นๆ ก็ให้หน้าและเต็มใจช่วยลูกศิษย์อย่างหลงเซียวเพื่อตามหาคน
อนิจจาหลงเซียวยังคงถูกกำหนดให้คว้าน้ำเหลว
เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้ออกจากเมืองจวินหลิงไปแต่แรก
ถึงแม้หลงเซียวยังคิดจะ ‘เฝ้ากระต่ายหน้าโพรง’ รั้งรออยู่ในเมืองจวินหลิง หากทว่าด้านต้วนหลิงเทียนนั้นเมื่อเห็นว่าเวลานัดพบใกล้มาถึง ในที่สุดก็ออกจากเมืองเล็กๆทางตอนเหนือของเมืองจวินหลิงที่มีขนาดพอๆกับเมืองวายุสวรรค์
ไม่นานนักก็ย้อนกลับมาถึงสถานที่ใกล้ๆนิกายหมอกเร้นลับ เพื่อพบกับหวูเฟิงตามนัด
ก่อนออกเดินทาง เป็นธรรมดาว่าเขาได้นัดหมายกับหวูเฟิงเรียบร้อยว่าจะไปพบกันที่ไหน สุดท้ายก็เลือกพบเจอกันบนยอดเขาแห่งหนึ่งนอกนิกายหมอกเร้นลับ
“ฮ่าๆๆ…ศิษย์น้องต้วน เมื่อวานหลังข้าออกจากการปิดด่านมา ข้าก็ได้ยินข่าวลือเรื่องเจ้าทันที”
พอได้เจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้ หวูเฟิงก็หัวเราะออกมาก่อนใดอื่น “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าถึงกับโดดไปขวางรถสัตว์อสูรผู้อื่น เพื่อขอพบหน้าโฉมงามแห่งตระกูลหลิงหูกลางถนนในเมืองจวินหลิงเชียวรึ?”
ต้วนหลิงเทียนได้ฟังคำแซวก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ “ศิษย์พี่หวู ท่านเองก็ได้ยินเรื่องนี้ด้วยหรือ…ท่าทางข่าวคงแพร่ไปทั่วนิกายแล้วกระมัง…”
ถึงแม้จะมีเตรียมใจไว้แล้ว แต่พอต้วนหลิงเทียนได้ฟังคำแซวของหวูเฟิง เขาก็อดเขินไม่ได้
หากเขาคิดจะไล่จีบโฉมงามอันดับหนึ่งของตระกูลหลิงหูจริงๆ คงไม่เป็นอะไร แต่ปัญหาคือเขาไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย ทั้งหมดที่เขาทำก็เพื่อจะยืนยันว่านางใช่เค่อเอ๋อภรรยาเขาจริงๆหรือไม่…
นอกจากนั้น จากสิ่งที่เขาเห็นและข้อมูลที่ได้ฟังมา โอกาสที่นางจะเป็นเค่อเอ๋อก็มีสูงมาก
ดังนั้นถึงวันก่อนเขาจะไม่มีโอกาสพบเจอหลิงหูชูยิน แต่วันหน้าเขาก็ตั้งใจจะหาทางพบนางให้จงได้ เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่านางใช่ภรรยาเขาหรือไม่…หากไม่อาจตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ เขาไม่มีวันเลิกราแน่
หากอีกฝ่ายเป็นภรรยาเขาที่สูญเสียความทรงจำไปจริงๆ วันหน้ามารู้ทีหลังเขาไม่เสียใจตายหรือ?
“ศิษย์น้องต้วน”
หวูเฟิงหันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาจริงจัง “ถึงแม้เจ้าจะคิดว่า โฉมงามพิลาศย่อมคู่ควรกับวีรบุรุษ แต่คราวนี้เจ้านับว่าวู่วามเกินไป…เจ้าอย่างไรก็เป็นถึงศิษย์หลักขอบเขตเทพคนแรกในรอบหมื่นปีของนิกายหมอกเร้นลับเรา และไม่ได้ด้อยกว่าอาวุโสเชวียไห่ชวนเมื่อหมื่นกว่าปีก่อนแม้แต่น้อย ทว่าการที่เจ้าทำเช่นนี้มันก็จะลดคุณค่าของเจ้าลง”
“ด้วยศักยภาพที่เจ้าเผยออกมาในปัจจุบัน วันหน้าต่อให้เข้าอยากตบแต่งกับบบุตรสาวแท้ๆของผู้นำตระกูลหลิงหู ยังไม่ใช่ปัญหาด้วยซ้ำ”
ฟังจากคำพูดของหวูเฟิง เห็นชัดว่าคิดดึงสติต้วนหลิงเทียน
“ศิษย์พี่หวู พวกเราค่อยคุยระหว่างเดินทางเถอะ…อันที่จริงเรื่องราวมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“หือ?”
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หวูเฟิงก็สงสัยไม่น้อย จากนั้นก็เริ่มนำทางและบอกให้ต้วนหลิงเทียนเล่าให้ฟัง
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังเรื่องนี้ เพียงบอกหวูเฟิงออกไปว่าหลิงหูชูยินคนนั้น หน้าตาเหมือนกับภรรยาที่พลัดพรากจากเขาไปเมื่อหลายปีก่อน
“ภรรยาข้าเคยบอกไว้แล้ว ว่านางไม่มีพี่น้องฝาแฝด และหลิงหูชูยินคนนั้นก็หน้าตาเหมือนภรราข้าราวกับแกะ แถมบุคลิกยังใกล้เคียงกัน”
“แต่ตอนที่นางสบตากับข้า เหมือนนางจะไม่รู้จักข้าเลย…ราวกับนางสูญเสียความทรงจำไป”
“นอกจากนั้นเท่าที่ข้าได้ยินมา เหมือนนายหญิงรองแห่งตระกูลหลิงหูก็พึ่งจะพาตัวนางกลับมายังตระกูลได้ 200 กว่าปีเท่านั้น…และภรรยาของข้าก็ได้หายไปตั้งแต่เมื่อ 600 กว่าปีก่อน”
“เวลามันเหมาะเจาะพอดี”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะบอกความจริง แต่เขาก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอย่างเรื่องที่เค่อเอ๋อถูกพาไปดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ และไม่ได้พูดเรื่องราวอะไรของเขาออกมา เพียงอธิบายให้หวูเฟิงรู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนั้นที่เมืองจวินหลิง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
หวูเฟิงก็ตระหนักได้ทันที “ข้าก็สงสัยอยู่แล้วเชียว กระทั่งโฉมงามอย่างศิษย์น้องอู๋เยียนเจ้ายังไม่เหลียวแล ไฉนอยู่ๆไปวิ่งไล่สตรีอื่นเช่นนี้ได้…ถึงอีกฝ่ายจะเป็นโฉมงามอันดับ 1 ของตระกูลหลิงหูและมีรูปลักษณ์งดงามกว่าศิษย์น้องอู๋เยียนจริง แต่ก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากอะไร ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง…”
“ให้ตายเถอะ! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ข้าคนเดียว แต่ทุกคนเข้าใจเจ้าผิดหมด!!”
หวูเฟิงโพล่งออกมา
“ช่างเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นสองตาก็ฉายแววมุ่งมั่น “สักวันข้าจะต้องหาทางพบเจอกับหลิงหูชูยินเพื่อยืนยันให้ได้ว่านางใช่ภรรยาข้าหรือไม่…หากใช่ก็เป็นเรื่องที่ดียิ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ข้าก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง”
“เหอะๆ ข้าเองก็ได้ยินจากอาวุโสถังชุนมาว่าช่วงนี้ศิษย์น้องอู๋เยียนแลดูหงอยๆซึมเซา…ที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง หากนางรู้ความจริง ข้าว่าอารมณ์นางต้องดีขึ้นแน่นอน”
หวูเฟิงยิ้ม
มันกับถังชุนก็สนิทสนมกันดี เช่นนั้นถังชุนก็เลยเล่าเรื่องระหว่างถังอู๋เยียนกับต้วนหลิงเทียนให้ฟังมากมาย จึงรู้ว่าถังอู๋เยียนน่าจะชอบต้วนหลิงเทียน
“ศิษย์พี่หวูเฟิง เรื่องนี้ขอท่านอย่าได้บอกอาวุโสถังชุนหรือถังอู๋เยียนเลย”
ได้ยินคำพูดของหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เร่งกล่าวดักอีกฝ่ายทันที เพราะเขากลัวว่าหวูเฟิงจะเอาเรื่องนี้ไปบอกถังชุนกับถังอู๋เยียน “ระหว่างข้ากับถังอู๋เยียนมันเป็นไปไม่ได้…แทนที่จะปล่อยให้นางมีหวังและเพ้อฝันไปเรื่อย มิสู้ใช้โอกาสนี้ทำให้นางหมดหวังตัดใจไปเลยดีกว่า”