“หรือ…พวกเราลองซัดรูปปั้นนี้ดู?”
หวูเฟิงมองรูปปั้นเบื้องหน้าด้วยสายตากระเหี้ยนกระหือรือ เพราะมันเริ่มรู้สึกว่าสมบัติล้ำค่าน่าจะถูกซ่อนเอาไว้ในรูปปั้นจริงๆ
รูปปั้นมันมีขนาดใหญ่โตมโหราฬแบบนี้ ย่อมสามารถเก็บสมบัติไว้ด้านในได้ทุกชนิด!
“ศิษย์พี่หวู หากรูปปั้นนี้มีอาคมสังหารจารึกไว้เล่า…และอาคมนั่นมันจะเริ่มทำงานเมื่อถูกแรงกระตุ้นภายนอก ถึงตอนนั้นพวกเราจะทำอย่างไร?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
ได้ยินดังนั้น หวูเฟิงก็นิ่งไปทันที
“พวกเราลองหาดูรอบๆให้ทั่วก่อนดีกว่า”
ต้วนหลิงเทียนเสนอ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปสำรวจทุกซอกทุกมุมของห้องโถง นอกจากแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ยังยกมือตบๆไปตามผนังทั้งเอาเท้าย่ำๆพื้น เผื่อว่าจะพบเจอกลไกลับบางอย่าง
อนิจจาหลังจากค้นหาทุกซอกทุกมุมแล้ว ก็ยังไม่พบเจอร่องรอยหรือเบาะแสใดๆ
“เฮ่อ…ดูเหมือนตอนนี้พวกเราจะไม่มีทางเลือกแล้วสิ”
หวูเฟิงคลี่ยิ้มเหยเกพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอับจน “ตอนนี้พวกเราทำได้แค่โจมตีรูปปั้นนี่เท่านั้น…หาไม่แล้วพวกเราก็ได้แต่ย้อนกลับทางเดิมเพื่อไปยังอีกช่องทางที่เหลือ แต่ไม่แน่ว่าสถานการณ์ทางนั้นก็จะเป็นแบบนี้”
คำพูดของหวูเฟิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนนิ่งคิดไปสักพัก
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เริ่มมองตรวจสอบรูปปั้นเบื้องหน้าอีกครั้งอย่างละเอียด กระทั่งยังลองเหินร่างไปตบๆบริเวณจุดที่ปลายกระบี่ของรูปปั้นชี้ออกไป ยังชักกระบี่เทพขั้นต่ำเล่มหนึ่งออกมาจ้วงผนังผาจุดนั้นดู…
อนิจจาหลังลองทุกอย่างแล้วก็ไม่เกิดผลอะไร
“เอาล่ะ ดูเหมือนพวกเราจะทำได้แค่ลองทุบรูปปั้นนี้ดูจริงๆ…”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพลางกล่าว
เพราะตอนนี้มีแค่ 2 ทางเท่านั้นให้เลือก
วิธีแรกคือย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อไปดูสถานการณ์ของอุโมงค์อีกแห่ง
วิธีที่สองก็คือเสี่ยงจู่โจมรูปปั้นเบื้องหน้า
“มีคนกำลังมา!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ากล่าว หวูเฟิงคล้ายสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สีหน้ามันยังเปลี่ยนไปทันที
สุดท้ายแล้วระดับพลังฝึกปรือของหวูเฟิงก็คือราชาเทพขั้นต่ำ ซึ่งเหนือกว่าขอบเขตเทพขั้นสูงของต้วนหลิงเทียน แม้พลังฝีมือที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ด้อยกว่ามัน แต่บางจุดก็ด้อยกว่าหวูเฟิงเพราะระดับพลังฝึกปรือ
นอกจากนั้นความสนใจทั้งหมดของต้วนหลิงเทียนก็พุ่งหยุดลงที่รูปปั้น เช่นนั้นหลังจากได้ยินคำเตือนของหวูเฟิง พอดึงสติกลับมา เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งกำลังดังออกจากช่องทางที่พวกเขาออกมาทันที
“เป็นผู้ใดกัน?”
หวูเฟิงกับต้วนหลิงเทียนหันหน้ามามองสบตากันปราดหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่ก็มองจ้องไปยังปากอุโมงค์ “จะใช่เยว่ฉีกับสหายของมันหรือไม่?”
ไม่ใช่ว่าทั้งคู่จะไม่ทันคิดเรื่องลอบโจมตีอีกฝ่ายขณะที่ออกจากอุโมงค์ แต่พอคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีทางสำเร็จ เพราะอีกฝ่ายไม่พ้นต้องแผ่สำนึกออกมาตรวจสอบสถานการณ์ก่อนจะออกมาอยู่แล้ว มีแต่ยืนยันได้ว่าทางออกปลอดภัยเท่านั้นถึงจะออกมา…
ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายแผ่สำนึกเทวะมาตรวจสอบพบ ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงจึงตัดสินใจล่าถอยออกมาห่างๆ และอาศัยความสามารถในการปิดกั้นสำนึกเทวะของรูปปั้นให้เป็นประโยชน์
ไม่นานนัก ปากอุโมงค์ก็ปรากฏร่าง 2 ร่างก้าวออกมา
อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของร่างทั้ง 2 ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงแปลกใจอยู่บ้าง “ที่แท้เป็นพวกมัน!”
ร่างที่ปรากฏตัวออกมาตอนนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นซือหม่าหานกับชายหนุ่มชุดแดงที่อยู่ข้างกายมัน
“หวูอี้ซาน”
หลังซือหม่าหานออกมา มันก็สังเกตเห็นหวูเฟิงกับต้วนหลิงเทียนที่หลบอยู่ด้านหลังรูปปั้นมหึมาไกลๆ เพียงแต่สายตาของมันสนใจก็แต่หวูเฟิงเท่านั้น ไม่ได้เหลือบแลต้วนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว
“ซือหม่าหาน มีแค่พวกเจ้า 2 คนที่มางั้นเหรอ?”
หวูเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบไปมองยังอุโมงค์ด้านหลังซือหม่าหาน ราวกับรอดูว่าจะมีใครออกมาอีกรึเปล่า
“ไม่ต้องดูแล้ว มีแค่พวกข้า 2 คน”
หลังเห็นสายตาของหวูเฟิง ซือหม่าหานก็เอ่ยคำเสียงเรียบ “จะว่าไป พวกเจ้าก็ต้องขอบคุณข้ากับตู้เชียนจวิน…เพราะพวกเราได้ช่วยลดคู่แข่งให้พวกเจ้าไป 4 คน”
พอซือหม่าหานกล่าวประโยคนี้ออกมา นอกจากต้วนหลิงเทียนแล้วสีหน้าหวูเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที “เจ้ากับตู้เชียนจวินฆ่าพวกมัน 4 คนไปแล้ว?”
“ไม่ผิด”
ซือหม่าหานพยักหน้า “หวูอี้ซาน…เรื่องนี้จะว่าไปต้องขอบคุณสหายเจ้า…หากไม่ใช่เพราะสหายเจ้ายยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้แต่แรก บางทีเจ้าหวูอี้ซานอาจโชคร้ายถึงขั้นไม่มีโอกาสเข้ามาในเทพซ่อนด้วยซ้ำ”
“ซือหม่าหาน…เจ้าไม่ใช่ว่าเป็นผู้ฝึกตนอิสระหรือไร? ไฉนถึงไปร่วมมือกับตู้เชียนจวินได้?”
หวูเฟิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าอึมครึม
ซือหม่าหานคลี่ยิ้มบางๆ “ออกไปนอกบ้าน คำพูดคนนอก ไหนเลยจะยึดถือเป็นจริงจังได้หมด…หรือเรื่องนี้อาวุโสของเจ้าไม่เคยสอนสั่ง?”
“เจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่?”
ถึงแม้ว่าหวูเฟิงจะเตรียมใจไว้แล้วหลังได้ยินข้อสันนิษฐานของต้วนหลิงเทียน แต่พอมันรับทราบว่าพวกหลิวตงหมิงกับเยว่ฉีตกตายหมดสิ้น หวูเฟิงก็รู้สึกยากยอมรับอยู่บ้าง
เห็นๆกันอยู่ว่าเดิมทีซือหม่าหานกับพวกอยู่ฝ่ายเดียวกันกับพวกหลิวตงหมิงและเยว่ฉีชัดๆ ไฉนถึงเปลี่ยนฝ่ายไปอยู่กับตู้เชียนจวินได้?
“ดูเหมือนเจ้าจะอยากรู้เรื่องนี้มากสินะ…”
ซือหม่าหานมองลึกไปทางหวูเฟิง “ช่างเถอะ…ไหนๆเจ้าก็จะตายแล้ว ให้เจ้ารู้ความจริงก่อนตายจะได้ไม่เป็นผีโง่งม”
เห็นได้ชัดว่าซือหม่าหานเห็นหวูเฟิงไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว
หวูเฟิงพอได้ยินคำพูดอีกฝ่าย สีหน้าก็มืดลงทันที
“ชื่อจริงของข้าเรียกว่า ฉู่หาน”
ซือหม่าหานหรือที่แท้ก็คือฉู่หานชักสีหน้าล้อเลียน ค่อยกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่า “ข้าเป็นศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์…และอาจารย์ของข้าก็เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์”
ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์!
พอฉู่หานเปิดเผยฐานะออกมา สีหน้าหวูเฟิงก็อึ้งค้างไปทันที จากนั้นแววตาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์รึ?”
ต้วนหลิงเทียนที่เดิมมีสีหน้าสงบ แต่พอได้ยินฉู่หานเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ใบหน้าสงบนิ่งของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดจะลอกอารมณ์เล็กน้อย
ซือหม่าหานหรือก็คือฉู่หานคนนี้ เป็นศิษย์ของนิกายระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจ แล้วก็ตระกูลหลิงหู?
ต้วนหลิงเทียนเองที่คิดแสวงหาความก้าวหน้าให้เร็วที่สุด ย่อมล่วงรู้ข้อมูลนี้แต่แรก กระทั่งตอนปฏิเสธไม่คิดกราบใครในนิกายหมอกเร้นลับเป็นอาจารย์ เขาก็ยกนิกายมังกรสวรรค์มาอ้าง…
นอกจากนั้นเขายังรู้อีกว่า มีอัจฉริยะของนิกายหมอกเร้นลับไม่น้อยที่ถูกส่งตัวไปนิกายมังกรสวรรค์ และบุตรแห่งสวรรค์แทบทุกรุ่นของนิกายหมื่นปีศาจก็ล้วนเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ทั้งสิ้น ด้านตระกูลหลิงหูเองก็มีทายาทสายโลหิตหลักและอัจฉริยะที่โดดเด่นเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์มากพอสมควร
สำหรับนิกายหมอกเร้นลับ ก็อย่างเช่น เชวียไห่ชวน อัจฉริยะที่ผ่านการทดสอบศิษย์หลักตั้งแต่ด่านพลังอยู่ในขอบเขตเทพเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ตอนนี้ก็กลายเป็นชนชั้นอาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์ไปแล้ว ตำนานของอีกฝ่ายยังถูกผู้คนเล่าขานถึงวันนี้
เชวียไห่ชวนถือเป็นตัวตนที่ค่อยข้างมีชื่อเสียงโด่งดังแม้กกระทั่งในเขตคฤหาสน์ตงหลิง หลังจากออกจากนิกายหมอกเร้นลับและไปเข้าร่วมกับนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ก็ทำผลงานได้ดีจนโด่งดังพอตัว
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะพอคาดเดาได้บ้าง ว่าฉู่หานอาจจะเป็นศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์…แต่พอมันเปิดเผยความจริงออกมาเอง อารมณ์ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
“ส่วนเรื่องที่ไฉนข้าถึงร่วมมือกับตู้เชียนจวินนั้น…”
กล่าวถึงจุดนี้ฉู่หานก็หยุดลงครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “ตอนนั้น ก่อนที่พวกเราจะได้รับกุญแจไขประตูสู่เทพซ่อน…มีคนในกลุ่มล่าสัตว์อสูรค่อนข้างเยอะ ข้าจึงไม่ทันได้ให้ความสนใจกับตู้เชียนจวินที่ใช้นามแฝงว่าตู้เหยียนมากนัก…ก็เลยไม่ได้ดูหน้าค่าตามันให้ชัดๆ”
“มาวันนี้ พอมีคนน้อยลง ข้าก็สังเกตตู้เชียนจวินอย่างละเอียด และพบว่าหน้าตาของมันละม้ายคล้ายชายหนุ่มในรูปเหมือนที่อยู่ในห้องนอนอาจารย์ข้าหลายส่วน”
“และชายหนุ่มในรูปเหมือนที่ห้อยแขวนที่ห้องนอนอาจารย์ข้า…ก็คือศิษย์น้องที่สนิทสนมมากที่สุดสมัยท่านอาจารย์ยังอยู่นิกายหมื่นปีศาจ…”
พอฉู่หานกล่าวถึงจุดนี้ หวูเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าศิษย์น้องของอาจารย์ที่ฉู่หานกล่าวถึงเป็นใคร ตู้จ้าน อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายหมื่นปีศาจ!
ตู้เชียนจวินเป็นหลายชายของตู้จ้าน!
“เช่นนั้นข้าก็เลยคาดเดาตัวตนของมันได้ไม่ยาก เพราะอาจารย์เองก็เคยเล่าถึงอาจารย์อาให้ข้าฟังบ่อยๆ และจากระดับพลังของตู้เหยียน มันก็มีแต่จะเป็นตู้เชียนจวินเท่านั้น…”
“แน่นอนว่า ข้ายังได้ส่งเสียงผ่านพลังไปหามันเพื่อยืนยันเรื่องราว”
“ตอนนั้นที่ข้าส่งเสียงผ่านพลังไปโดยเรียกชื่อจริงของมัน…มันยังคิดว่าพวกเจ้าเป็นคนที่ ‘ขาย’ มันด้วยซ้ำ จนเมื่อข้าอธิบายเรื่องราวให้มันฟัง มันถึงรู้ว่าไม่ใช่พวกเจ้าที่ขายมัน แต่เป็นเพราะอาจารย์ข้าเป็นศิษย์พี่ของปู่มัน และข้าก็เห็นว่ามันหน้าคล้ายรูปปู่มันสมัยยังหนุ่ม…”
กล่าวถึงจุดนี้ ฉู่หานก็ละสาตาออกจากหวูเฟิงก่อนจะหันมาหยุดลงที่ต้วนหลิงเทียน “ตอนนั้นข้าหารือกับตู้เชียนจวินแล้ว ว่าจะปล่อยให้อีก 6 คนไปก่อนโดยมีข้ากับมันรั้งท้าย หรือไม่ก็ปล่อยให้พวกเจ้ากับตู้เชียนจวินไปกับอีกคู่หนึ่ง…”
“อย่างแรกนั้น ในขณะที่พวกเจ้าเริ่มเข้าไปได้ไม่กี่คน ข้ากับตู้เชียนจวินรวมกับอีก 2 คนจะลงมือจู่โจมพวกเจ้าตอนหันหลังให้ทันที…อย่างที่สองก็ให้ตู้เชียนจวินร่วมมือกับพวกเจ้าฆ่าอีกคู่ที่เข้าไปก่อนส่วนข้าก็จะจัดการอีกคู่ด้านนอก”
“ด้วยวิธีนี้พวกเราก็จะมีคู่แข่งลดลงอย่างน้อยๆ 4 คนทันที…”
“กล่าวได้ว่าหากทำตามแผนเดิมของข้า เผลอๆเจ้ากับหวูอี้ซานอาจจะตกตายตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าเทพซ่อน…หรือไม่พวกเจ้าก็ต้องตายหลังจากเข้ามาด้านในเทพซ่อนได้ไม่ทันไร…”
“อนิจจาแผนที่ข้าคิดไว้ดิบดี กลับถูกเจ้าก่อกวนทำลายจนหมดสิ้น…”
“แต่กระนั้นหลังเจ้ากับหวูชานรวมถึงพวกเยว่ฉีเข้ามาแล้ว ข้ากับตู้เชียนจินก็ทำได้แค่เก็บพวกหลิวตงหมิงไปก่อนเท่านั้น…”
“ต่อมาพอพวกเราเข้ามาด้านในและพบว่าเยว่ฉียังโง่งมรออยู่ที่จุดเริ่ม สิ่งนี้นับว่าทำให้พวกเรา 4 คนแปลกใจอยู่บ้าง…”
“ไร้ข้อผิดพลาดใด…พวกเราส่งพวกเยว่ฉีตามรอยพวกหลิวตงหมิงทันที”
พอฉู่หานกล่าวถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามว่า “จากนั้นเจ้ากับพวกตู้เชียนจวินก็เลยแยกกันเข้าอุโมงค์มาสินะ…”
“เพียงแค่ อุโมงค์ที่พวกเจ้าเลือกดันบังเอิญเป็นอุโมงค์เดียวกับพวกเรา…”
ต้วนหลิงเทียนมองถามฉู่หานเสียงเรียบ สองตาเขายิ่งมายิ่งฉายแววลึกล้ำ
“เป็นเช่นนั้น”
ฉู่หานพยักหน้า จากนั้นก็เลิกสนใจและหันไปมองหวู่เฟิงด้วยรอยยิ้ม “หวูอี้ซาน ทุกอย่างข้าบอกให้เจ้ารู้หมดแล้ว…ตอนนี้เจ้าก็สมควรนอนตายตาหลับได้แล้วกระมัง?”
สองตาหวูเฟิงฉายแววลี้ลับวูบวาบ จากนั้นก็กล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลง “เจ้ามั่นใจว่าสามารถจัดการพวกเราได้งั้นหรือ?”
“อาศัยพวกเจ้าแค่ 2 คนเท่านั้น?”
“ต้องทราบด้วยว่าตอนนี้ตู่เชียนจวินกับคนของมันไปอีกอุโมงค์ เกรงว่าคงไม่มีทางที่มันจะตามมาช่วยพวกเจ้าได้…”
กล่าวถึงจุดนี้ เสียงของหวูเฟิงก็หนักนัก
“หวูเฟิง เจ้าอย่าทำเป็นเข้มอีกเลย…ข้าจดจำได้ว่าเจ้าไม่มีแม้แต่อุปกรณ์เทพขั้นกลางด้วยซ้ำ…หากวันนี้เจ้าไม่อาจหยิบควักอุปกรณ์เทพขั้นกลางออกมาใช้ได้ อาศัยข้าคนเดียวก็จัดการเจ้าได้ถมเถ…”
ฉู่หานหัวเราะร่า จากนั้นพลังเทพของมันก็เริ่มแผ่ซ่านออกมาทั่วร่าง กลิ่นอายพลังเริ่มกำจายไปในโถง อีกทั้งยังหอบไอเย็นยะเยือกเสียดสะท้านไปในบรรยากาศ ชวนให้รู้สึกถึงความหนาวเย็นเสียดกระดูก
ธาตุน้ำแข็งซึ่งเป็นความลึกซึ้งเบื้องต้นของกฏน้ำแข็ง พอผสานเข้ากับพลังเทพ มันก็เริ่มปลดปล่อยพลังอานุภาพอันเยียบเย็นออกมา ราวกับจะสามาถแช่สรรพสิ่งในรัศมีพันลี้ให้จับตัวเป็นน้ำแข็ง…
แม้แต่อากาศในโถงถ้ำเองก็คล้ายจะเริ่มจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง อุณหภูมิลดต่ำลงหลายองศาในฉับพลัน!
“ดูเหมือนว่าทุกคนจะถูกเจ้าตบตากันหมด ที่แท้กฏที่เจ้าเชี่ยวชาญมากที่สุดไม่ใช่กฏแห่งน้ำ แต่เป็นกฏน้ำแข็ง!”
ลูกตาหวูเฟิงหดเล็กลงทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็พึ่งชักสีหน้าแปลกใจออกมา เพราะจากข้อมูลของฉู่หานที่หวูเฟิงเล่าให้เขาฟัง อีกฝ่ายสมควรใช้กฏแห่งน้ำ ไม่คิดว่าอยู่ๆอีกฝ่ายจะใช้กฏน้ำแข็งออกมา แถมความเข้าใจยังไม่ต่ำอีกด้วย
“อย่างไรก็ตาม มีเรื่องหนึ่งที่ข้าเกรงว่าเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว…ครั้งก่อนข้าไม่อาจหยิบควักอุปกรณ์เทพขั้นกลางออกมาได้จริงๆ แต่วันนี้…ขออภัยด้วย ข้ามี!”
กล่าวถึงจุดนี้ หวูเฟิงก็เรียกกระบี่เทพขั้นกลางที่ต้วนหลิงเทียนนำมาแลกกับโอสถเสริมโชค 2 เม็ดออกมาถือไว้ทันที…
จากนั้นหวูเฟิงก็เริ่มเร่งเร้าพลังเทพขึ้นมาเตรียมพร้อมสู้รบ
“โฮ่? คิดไม่ถึงจริงๆว่าที่แท้เจ้าจะมีอุปกรณ์เทพขั้นกลางด้วย ดูเหมือนว่าที่แท้ฐานะเจ้าในนิกายหมอกเร้นลับ ก็ไม่ได้ต่ำต้อยกระมัง…”
แววตาของฉู่หานฉายความประหลาดใจให้เห็น อย่างไรก็ตามไม่ทันไรก็กลายเป็นแววตาล้อเลียน มุมปากยังยกยิ้มแสยะออกมาอย่างเย้ยหยัน “น่าเสียดาย ที่ต่อให้เจ้าจะมีอุปกรณ์เทพขั้นกลางใช้ แต่เจ้าก็ไม่อาจสู้ข้าได้อยู่ดี…”
“และพอดีว่าศิษย์น้องเฉินที่มากับข้า ก็มีพลังฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย…”
“เป็นไปได้หรือไม่ ที่ตอนนี้เจ้ากำลังแอบหวังลมแล้งๆอยู่…ว่าสหายขอบเขตเทพขั้นสูงที่เจ้าพามา จะมีปัญญาสามารถช่วยเจ้าได้?”
��