ตู้จ้านเป็นใคร?
  มันคือ 1 ในอาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายหมื่นปีศาจ!
  เป็นตัวตนที่กระทั่งประมุขนิกายหมื่นปีศาจพบเจอ ยังต้องโค้งคารวะ!
  เรียกว่าบุคคลที่อยู่ ณ จุดสูงสุดของนิกายหมื่นปีศาจก็ไม่เกินเลย!
  ญาติของตัวตนระดับนี้ แม้จะเป็นตัวไร้ค่า ก็คงมีไม่กี่คนที่หาญกล้าตอแย
  “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเป็นถึงหลานชายของอาวุโสตู้จ้านแห่งนิกาหมื่นปีศาจ…”
  ใบหน้าเยว่ฉีฉายชัดถึงความขื่นขม ในแววตาคงเหลือแต่ความเสียใจ “หากข้ารู้ตัวตนของเจ้าแต่แรกก็ดี…”
  การเข้าสู่เทพซ่อนกับตัวตนระดับนี้ ไม่ต่างอะไรจากคิดแย่งเนื้อจากปากเสือ
  “คิดเสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว”
  ตู้เชียนจวินเอ่ยออกเสียงเรียบ
  “แล้วมันเล่า เป็นคนของนิกายหมื่นปีศาจด้วยรึ?”
  ทันใดนั้นเยว่ฉีก็นึกถึงซือหม่าหานขึ้นมา กระทั่งคนอย่างตู้เชียนจวินยังต้องเรียกหาซือหม่าหานว่า ‘นายน้อยหาน’ อย่างนอบน้อม บ่งบอกให้รู้ว่าฐานะของซือหม่าหานมันสูงถึงขนาดไหน
  พอได้ยินคำถามของเยว่ฉี ตู้เชียนจวินก็หันไปมองถามซือหม่าหานพลางถามด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยหาน ท่านจะบอกมันเองหรือให้ข้าบอก…”
  “เจ้าบอกมันไปเถอะ”
  ซือหม่าหานตอบเสียงเรียบ
  พอตู้เชียนจวินได้ยินดังนั้น มันก็ก้มลงมองเยว่ฉีที่มันเหยียบยอดอกอยู่ กล่าวคำด้วยน้ำเสียงเย้ยเยาะว่า “นายน้อยหานย่อมมิใช่คนของนิกายหมื่นปีศาจ”
  “เพราะในนิกายหมื่นปีศาจ ไม่มีใครหน้าไหนที่ทำให้ข้าตู้เชียนจวินต้องให้ความเคารพนับถือถึงเพียงนี้…”
  พอตู้เชียนจวินเกริ่นออกมา สีหน้าท่าทีเยว่ฉีก็เปลี่ยนไปทันที “แล้วที่แท้มันเป็นผู้ใดกันแน่?”
  ตู้เชียนจวินพูดมาขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าความเป็นมาของซือหม่าหานต้องน่ากลัวยิ่งกว่าแน่นอน
  ต้องทราบด้วยว่าแค่ตัวตนของตู้เชียนจวิน ก็ทำให้เยว่ฉีหวาดกลัวแล้ว
  พอตระหนักได้ว่าฐานะของซือหม่าหานยังเหนือกว่าตู้เชียนจินเสียอีก ใจเยว่ฉีก็สะท้านไปทันที และรู้สึกเสียใจที่เดินทางมายังเทพซ่อนแห่งนี้มาขึ้น
  “ชื่อจริงของนายน้อยหานก็คือ ‘ฉู่หาน’ นายน้อยเป็นศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ และอาจารย์ของนายน้อยหานก็คืออาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์!”
  (ขอเปลี่ยนจากนิกายจ้าวมังกรเป็น นิกายมังกรสวรรค์นะครับ…ต้นฉบับมันเปลี่ยน >_
  กล่าวถึงจุดนี้ เสียงของตู้เชียนจวินก็ดังขึ้น “ในขณะเดียวกัน อาจารย์ของนายน้อยหานก็เป็นศิษย์ผู้พี่ของของปู่ข้า ตู้จ้าน และในอดีตตอนยังเยาว์ก็เป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายหมื่นปีศาจเรา”
  พอตู้เชียนจวินกล่าวจบคำ สีหน้าเยว่ฉีก็ยิ่งซีดลง
  ศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์?!
  นิกายมังกรสวรรค์นั่นเป็นถึงขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ! และยังเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้ง 3 ที่อยู่ในละแวกนี้ กล่าวได้ว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่ถึงขั้นสามารถใช้หนึ่งมือบังฟ้าได้!
  ซือหม่าหาน…ไม่สิ ต้องเป็นฉู่หานคนนี้ ที่แท้เป็นถึงศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์!?
  จังหวะนี้เยว่ฉีก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที ว่าไฉนตู้เชียนจวินถึงได้ร่วมมือกับอีกฝ่าย ที่แท้ทั้งคู่กลับมีความสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าว
  ในแง่ลำดับอาวุโส ตู้เชียนจวินยังต้องเรียกหาฉู่หานว่าอาจารย์ลุงด้วยซ้ำ
  แน่นอนว่าหลังจากตู้เชียนจวินรับทราบตัวต้นที่แท้จริงของฉู่หาน มันก็เรียกหาฉู่หานว่าอาจารย์ลุงแล้ว แต่ฉู่หานไม่ชอบ เพราะทำให้มันรู้สึกแก่ ก็เลยบอกให้ตู้เชียนจวินเรียกหามันว่านายน้อยหานแทน
  เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังมีอายุน้อยกว่าตู้เชียนจวินหลายร้อยปี!
  “เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องที่เจ้าอยากรู้ข้าก็บอกออกไปหมดแล้ว…ถึงตอนนี้เจ้าคงบอกข้าได้แล้วกระมัง ว่าหวูอี้ซานนั่นมันเข้าอุโมงค์ไหน?”
  ตู้เชียนจวินมองไปยังเยว่ฉีใต้ฝ่าเท้า พลางถามเสียงเรียบ
  “แค่ก แค่ก…”
  เยว่ฉีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หลังจากไอจนเลือดกบปากไม่กี่คำ รอยยิ้มแปลกๆก็คลี่กางขึ้นบนใบหน้า “ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้หยอกล้อผู้ยิ่งใหญ่เช่นพวกเจ้าทั้ง 2 ได้แบบนี้ นับว่าข้าเยว่ฉีถึงตาย ก็ตายตาหลับแล้ว”
  “ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆๆๆๆ แค่ก แค่ก…”
  พอตู้เชียนจวินได้ยินคำพูดของเยว่ฉี มันก็ถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นสีหน้ามันก็เปลี่ยนไปทันที เพราะอยู่ๆทั่วร่างเยว่ฉีก็ปรากฏพลังเทพปะทุขึ้นมาอย่างแรง
  ตูมมมม!!
  ร่างเยว่ฉีได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ อย่างไรก็ตามเพราะมันบาดเจ็บสาหัส การระเบิดตัวเองครั้งนี้ แม้ตู้เชียนจวินจะอยู่ใกล้ๆ แต่ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองของมัน ย่อมสามารถเร่งเร้าพลังออกมาต้านทานได้ทัน
  ความแข็งแกร่งของเยว่ฉีเดิมทีก็อ่อนด้อยกว่ามันอยู่แล้ว
  แถมอีกฝ่ายยังได้รับบาดเจ็บสาหัส และไม่อาจใช้พลังออกได้เหมือนตอนสมบูรณ์พร้อม ดังนั้นถึงมันจะระเบิดตัวเอง ขอเพียงตู้เชียนจวินไหวตัวทัน ก็แทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
  “บัดซบ!”
  หลังจากเยว่ฉีตกตายร่างสลายเป็นเถ้าธุลี ตู้เชียนจวินก็โมโหจัด ก่นด่าออกมาเสียงดังปานฟ้าร้อง และเมื่อไม่มีเป้าหมายให้ระบาย มันก็ได้แต่กระทืบเท้าขวาย่ำพื้นอย่างหัวเสีย พาลให้โถงถ้ำสั่นสะเทือนเลือนลั่น
  “ก็แค่สวะไร้ราคาตัวหนึ่ง ไยเจ้าต้องหัวเสียนัก?”
  จนเมื่อฉู่หานเปิดปากกล่าวคำออกมา ตู้เชียนจวินจึงหยุดลง มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่กี่ครั้ง ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆว่า “เป็นนายน้อยหานกล่าวถูกแล้ว ทั้งหมดเพราะข้าไม่นิ่งพอ…”
  “ว่าแต่นายน้อยหาน ต่อไปพวกเราจะเอาอย่างไรกันต่อ?”
  ตู้เชียนจวินกล่าวถาม
  ด้านฉู่หานก็เดินไปชมดูอุโมงค้ำทั้ง 2 ที่นำไปสู่ที่ไหนไม่ทราบ
  หลังมันมองสำรวจพื้นดินบริเวณปากอุโมงค์ทั้ง 2 อยู่พักหนึ่ง ฉู่หานก็ส่ายหน้าไปมา “บริเวณปากอุโมงค์ไม่มีไม่ใช่พื้นดิน อีกทั้งยังสะอาดหมดจด…หาไม่แล้วหากเป็นพื้นดินย่อมมีฝุ่นละออง คงไม่ยากที่จะมองเห็นว่าหวูอี้ซานกับเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นไปทางไหน…”
  “แต่เท่าที่ข้าเห็น ภายในเทพซ่อนแห่งนี้ก็เหลือทางให้ไปต่อแค่ 2 ช่องทางเท่านั้น…พวกเรา 4 คนก็แยกกันไปคู่ละช่องทางเถอะ”
  “อย่างไรเสียก็เหลือแต่หวูอี้ซานกับเทพขั้นสูงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าสองคนหรือพวกข้า ก็มากพอจะฆ่าพวกมันได้ง่ายๆ”
  “หากพวกเรา 4 คนเลือกจะไปชองทางเดียวกัน ก็อาจจะพลาดของดีๆได้”
  ฉู่หานหันไปมองตู้เชียนจวินพลางออกความเห็น
  “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันนายน้อย”
  คำพูดของฉู่หาน ตู้เชียนจวินย่อมเห็นด้วย อันที่จริงแล้วมันก็ไม่อยากจะร่วมทางเดียวกับฉู่หานมากนัก เพราะไม่เพียงแต่พลังฝีมือของพวกฉู่หานจะไม่ด้อยไปกว่าพวกมัน ที่สำคัญก็คือฐานะของฉู่หานกดดันมันเกินไป หากมันกับฉู่หานพบของดีพร้อมๆกัน มันก็คงทำได้แค่มอบให้ฉู่หานก่อนเท่านั้น
  ดังนั้นหลังจากเข้ามาในเทพซ่อนแห่งนี้ มันก็ต้องการจะแยกทางกับฉู่หาน
  พออยู่ๆฉู่หานเสนอเรื่องนี้ออกมา ย่อมตรงกับสิ่งที่ใจมันต้องการพอดี
  “ใมนเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าก็เลือกอุโมงค์ที่จะไปเสีย ข้ากับศิษย์น้องเฉินค่อยไปอีกทาง”
  ฉู่หานคลี่ยิ้มกลางกล่าว และให้ตู้เชียนจวินเป็นฝ่ายเลือกก่อน
  “นายน้อยหาน เชิญท่านเลือกก่อนเถอะ”
  ตู้เชียนจวินย่อมยินดีมีสุขที่ฉู่หานเสนอเรื่องแยกทาง พอฉู่หานบอกให้มันเลือกทางก่อน แม้มันจะไม่ใช่คนหน้าบางแต่ก็เกรงใจไม่น้อย
  สุดท้ายแล้วในแง่ลำดับอาวุโสอีกฝ่ายก็เป็นถึงอาจารย์ลุงมัน
  “อย่าได้ปฏิเสธ ทางไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น เจ้าเลือกก่อนเถอะ”
  ฉู่หานส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
  สุดท้ายเมื่อเห็นฉู่หานยืนกราน ตู้เชียนจวินก็ไม่กล้าเซ้าซี้ จึงได้แต่พาชายวัยกลางคนมุ่งหน้าเข้าสู่อุโมงค์ทางหนึ่ง
  ไม่ทราบเหมือนกันว่าทางนี้จะนำไปสู่ที่ใด จะดีหรือร้ายก็ไม่อาจระบุ
  และอุโมงค์ถ้ำที่ตู้เชียนจวินเลือก ก็ไม่ใช่ช่องทางที่ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงเข้าไป อุโมงค์ที่เหลือไว้ให้ฉู่หานนั้น ถึงจะเป็นช่องทางที่ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงเข้าไป
  หลังร่างตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนหายลับไปในความมืดของอุโมงค์แล้ว ฉู่หานก็เรียกชายหนุ่มชุดแดงที่อยู่ข้างๆให้ติดตามมันเข้าสู่อุโมงค์ที่เหลือ
  …
  ด้านต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิง หลังจากที่เข้ามาในอุโมงค์แล้ว ตลอดการเดินทางก็ราบรื่นนักไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดๆ เพียงก็แค่อุโมงค์ทางแห่งนี้ช่างคดเคี้ยวเลี้ยวลดเหลือเกิน จนต้วนหลิงเทียนเองก็ยากจะบอกได้ว่าอุโมงค์แห่งนี้จะนำเขาไปสู่ที่ใดกันแน่
  และภายในอุโมงค์ก็มืดมิดไร้แสงใด แสงตะวันเองก็ไม่มีทางส่องลงมาได้ถึง
  ต้องทราบด้วยว่าหลังต้วนหลิงเทียนกับฉูเฟิงเข้ามาในอุโมงค์สักพัก ทั้งคู่ก็ตกอยู่ในความมืดมิดถึงขั้นไม่อาจเห็นแม้แต่นิ้วมือทั้ง 5 และต่างอยากได้คบเพลิงหรือแสงไฟส่องทางเหลือเกิน
  ในที่สุดก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่เข้าใจกฏแห่งไฟ เลือกจะโคจรพลังเทพผสานพลังธาตุไฟแผ่พลังเทพธาตุไฟออกไปส่องสว่างโดยรอบ อีกทั้งในเมื่อต้องการเพียงแค่แสงส่องทางไม่ได้จู่โจมรับมือสิ่งใด เช่นนั้นจึงไม่ได้สิ้นเปลืองพลังอะไรมากมาย
  กล่าวได้ว่าอัตรการสูญเสียพลังเทพไม่อาจนับเป็นอะไรได้สำหรับต้วนหลิงเทียน เรียกว่าอัตราฟื้นฟูยังสูงกว่าอัตราการใช้พลังเสียอีก
  “ศิษย์น้องต้วน ข้าเริ่มสังหรณ์ตงิดๆว่าความสงบของพวกเราตอนนี้มันเป็นความสงบก่อนพายุจะเข้า…เทพซ่อนแห่งนี้ไม่น่าจะง่ายดายขนาดนั้น”
  เมื่อเห็นแสงสว่างรำไรอยู่ปลายอุโมงค์ไกลๆ ฝีเท้าของหวูเฟิงก็เริ่มชะลอตัว ขณะเดียวกันมันก็กล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนออกมาเสียงขรึม
  “ข้าก็ว่างั้น ตอนนี้พวกเราเตรียมใจเจอดีไว้ได้เลย…”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้ตลอดเส้นทางหลังเข้ามาในเทพซ่อน พวกเราจะไม่พบเจออุปสรรคขัดขวางใดๆ…แต่พวกเราก็ยังไม่ได้อะไรเลยเช่นกัน”
  “หากคิดจะได้อะไรจากเทพซ่อนแห่งนี้ ข้าเชื่อว่าคงต้องผ่านบททดสอบสาหัสบางอย่าง…เหล่าตัวตนที่แข็งแกร่ง เมื่อรู้ว่าวาระสุดท้ายของตัวเองจะมาถึง ย่อมตั้งใจให้มรดกของตัวเองมีผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งพอตัว…กระทั่งยังสมควรมีโชคชะตามาเกี่ยวข้อง เห็นได้ชัดว่าคงยากที่จะปล่อยให้ใครได้มรดกชั่วชีวิตของตัวเองไปได้ง่ายๆแน่”
  “บางที หลังพวกเราไปถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั่น พวกเราอาจพบเจอบททดสอบของตัวตนอันทรงพลังที่ทิ้งเทพซ่อนแห่งนี้ไว้…เพียงแค่ยากจะบอกว่ามันทิ้งอะไรไว้ รวมถึงมีบททดสอบอะไรบ้าง”
  สองตาต้วนหลิงเทียนเริ่มฉายาแววคาดหวัง
  สุดท้ายแล้วเทพซ่อนแห่งนี้ก็ได้รับการยืนยันจาก ตู้เชียนจวิ้น ศิษย์ของนิกายหมื่นปีศาจถึงสองครั้ง ว่าเทพซ่อนแห่งนี้สมควรเป็นตัวตนระดับจักรพรรดิเทพสร้างทิ้งไว้
  สมบัติภายในเทพซ่อนที่ถูกตัวตนระดับจักรพรรดิเทพเหลือทิ้งไว้ ต้องไม่ใช่ของธรรมดาๆแน่นอน
  “เดี๋ยวพวกเราออกไปก็จะได้รู้กันแล้ว…”
  หวูเฟิงที่พึ่งชะลอฝีเท้าไปไม่นาน เริ่มเร่งความเร็วขึ้นมาอีกครั้ง
  ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็โผล่พ้นออกจากอุโมงค์ทางอันยาวไกลที่ใช้เวลาเดินทางพักใหญ่ และหลังออกจากอุโมงค์ทั้งคู่ก็มาถึงห้องโถงอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
  ภายในห้องโถงอันกว้างขวางใหญ่โตแห่งนี้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือรูปปั้นศิลาที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถง
  รูปปั้นดังกล่าว สมควรถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน และตัวรูปปั้นก็มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน
  ชายวัยกลางคนผู้นี้มาในชุดคลุมธรรมดาแลดูหลวมไม่พอดีตัว ใบหน้าเผยให้เห็นความแน่วแน่ หางคิ้วคู่ดาบของมันแทบจะทิ่มไปในขมับ สองตาเฉียบคมมองตรงไปด้านหน้า มือขวาที่ถือกระบี่เล่มหนึ่งชี้ตรงไปเบื้องหน้าอย่างดุดัน
  แม้จะเป็นเพียงรูปปั้นศิลา แต่ก็สมจริงราวกับมีชีวิต ชวนให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความประณีตพิถีพิถันของผู้สร้าง
  “รูปปั้นนี่มัน…คงไม่ใช่รูปปั้นของยอดฝีมือที่ทิ้งเทพซ่อนแห่งนี้ไว้หรอกนะ?”
  ฉูเฟิงเดินไปหยุดเบื้องหน้ารูปปั้นที่สูงใหญ่ปานภูเขาย่อมๆ กล่าวคาดเดาออกมาด้วยสองตาเป็นประกาย
  “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา จากนั้นเขาก็เริ่มเดินสำรวจรอบๆรูปปั้น
  ในห้องโถงอันกว้างใหญ่แห่งนี้ นอกจากอุโมงค์ทางที่พวกเขาพึ่งออกมาที่ริมผนังด้านหนึ่ง บริเวณอื่นๆก็มืดมิดไร้สิ่งใด
  ในห้องโถงที่ปิดสนิทแห่งนี้กล่าวได้ว่า นอกจากรูปปั้นที่เห็นอยู่ตรงหน้ามันก็ไม่มีอะไรอีกเลย
  “ศิษย์พี่หวูเฟิง ท่านคิดอย่างไร…ท่านว่าสมบัติจะถูกซ่อนไว้ในรูปปั้นที่พวกเราเห็นรึเปล่า? สำนึกเทวะของข้าไม่อาจชำแรกเข้าไปตรวจสอบสิ่งใดภายในรูปปั้นได้เลย…”
  หลังจากต้วนหลิงเทียนเดินวนรอบรูปปั้นครบรอบ เขาก็กลับมาหาหวูเฟิง “ท่านลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบดูรึยัง ถ้ายังท่านก็ลองดูเถอะ ไม่แน่สำนึกเทวะของขอบเขตราชาเทพอาจจะตรวจสอบภายในรูปปั้นได้”
  “ได้”
  หวูเฟิงรับคำ จากนั้นก็หันไปมองจ้องรูปปั้นเขม็ง
  อย่างไรก็ตามหลังผ่านไปครู่หนึ่งหวูเฟิงก็ส่ายหัวไปมา “ไม่ได้…บนรูปปั้นแห่งนี้สมควรมีอาคมบางอย่าง สามารถปิดกั้นสำนึกเทวะได้โดยสมบูรณ์”