“เจ้าไม่มีทางเลือก”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา ฉู่หานก็ได้แต่เงียบ
ก็อย่างที่คนตรงหน้าพูด จังหวะนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมก้มหัวทำตามอีกฝ่าย
“ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด”
ฉู่หานมองจ้องต้วนหลิงเทียนตาเขม็งเอ่ยคำเสียงหนัก
ในตอนนี้มันไม่กล้าดูเบาอีกฝ่ายเพราะเป็นแค่เทพขั้นสูงอีกต่อไป เพราะนี่คือเทพขั้นสูงที่มีความแข็งแกร่งเหนือกว่ามันเสียอีก เป็นตัวตนที่ร้ายกาจถึงขั้นต่อสู้ข้ามขอบเขตได้
ราชาเทพขั้นต่ำทั่วไป เกรงว่าคงไม่ใช่แม้แต่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
ท่ามกลางสายตาชมมองด้วยความอื้ออึงของหวูเฟิง ฉู่หานก็ได้ยกเลิกการผูกมัดแหวนพื้นที่ จากนั้นก็โยนทั้งแหวนกับกระบี่เทพขั้นกลางในมือไปให้ต้วนหลิงเทียนแต่โดยดี
ต้วนหลิงเทียนใช้พลังหอบหิ้วกกระบี่เอาไว้เบื้องหน้า ก่อนจะรีบหยดเลือดผูกพันธะครองแหวน จากนั้นก็มองดูสิ่งของด้านใน และไม่ได้ใส่ใจหินเทพที่กองเป็นภูเขาแม้แต่นิดเดียว เพราะถึงฉู่หานจะเป็นศิษย์สายในของนิกายมังกรสวรรค์ แต่ในแง่ความมั่งคั่งของหินเทพ ก็ไม่อาจสู้เขาได้
หินเทพที่เขามีนั้นมีมูลค่าหลายล้านตำลึง เทียบได้กับทรัพย์สินของตัวตนระดับจอมราชันเทพบางคนแล้วด้วยซ้ำ
เพราะครั้งก่อน ควาวจริงใจที่ตระกูลจ้งแห่งเมืองวายุสวรรค์มอบให้มา มันก็มีหินเทพนับล้านๆตำลึง บอกกับหินเทพที่เขามีแต่เดิม ทำให้เขาไม่ขาดหินเทพเลย
กระทั่งให้กวาดตามองเหล่าอาวุโสฝ่ายในของนิกายหมอกเร้นลับ เกรงว่าทรัพย์สินในแหวนพื้นที่ก็มีสู้เขาไม่ได้
และต้องทราบว่านั่นเป็นเหล่าราชาเทพขั้นสูง กระทั่งบางคนยังเป็นยอดฝีมือในบรรดาราชาเทพขั้นสูงอีกด้วย
“ไม่มีโอสถเสริมโชคอยู่เลย…”
ที่ต้วนหลิงเทียนสนใจแหวนพื้นที่ของฉู่หาน ไม่ใช่เพราะสนใจทรัพย์สมบัติใดๆของมัน เพียงแค่อยากรู้ว่าในแหวนพื้นที่ของฉู่หานจะมีโอสถเสริมโชคเก็บไว้บ้างหรือไม่ แม้จะมีโอสถเสริมโชคแค่เม็ดเดียว ก็มากพอจะทำให้เขาทะลวงผ่านขอบเขตเทพขั้นสูง บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้แล้ว…
อนิจจา หลังจากเปิดขวดโอสถทุกขวดในแหวนพื้นที่ของฉู่หานดู เขาก็พบว่าไม่มีขวดไหนเก็บโอสถเสริมโชคไว้เลย ไม่มีแม้แต่เม็ดเดียว…
“น่าเสียดายจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางโยนแหวนพื้นที่ของฉู่หานขึ้นลงรากับจะชั่งน้ำหนัก จากนั้นก็โยนแหวนพื้นที่ดังกล่าวพร้อมกระบี่เทพขั้นกลางส่งคืนให้ฉู่หานหน้าตาเฉย
ด้านฉู่หานพอเห็นฉากดังกล่าวก็อดตะลึงไม่ได้ ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวคำต่อออกมาว่า “ข้าคืนให้เจ้าแล้วกัน พอดีข้าเปลี่ยนใจแล้ว”
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ในขณะที่ฉู่หานหรี่ตาลงและรีบพุ่งมือออกไปหมายคว้ากระบี่เทพขั้นกลางนั้นเอง…
ต้วนหลิงเทียนก็ได้งมือออกมา!
ฟั่ฟ!!
กระบี่เทพขั้นกลางตวัดฟันออกมาฉับไว รังสีกระบี่อันน่ากลัวที่เกิดจากพลังของกฏมิติและพื้นฐานมรรคากระบี่มิติ ก็ได้สับมือของฉู่หานที่พุ่งออกมาหมายความกระบี่เทพขั้นกลาง จากนั้นรังสีกระบี่ดังกล่าวยังพุ่งเข่นฆ่าไปต่อก่อนจะผ่าร่างฉู่หานอย่างอำมหิต!
ทุกเรื่องราวมันอุบัติขึ้นในฉับพลัน ที่สำคัญความเร็วในการโคจรเร่งเร้าพลังของฉู่หานก็สู้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่แล้ว จึงไม่อาจต้านทานรับกระบี่นี้ของต้วนหลิงเทียนได้เลย…
ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงชิงลงมือก่อน ยังลงมือในจังหวะที่มันตะลึง เรียกว่าทุกสิ่งเสมือนอยู่ในกำมือหมดสิ้น…
ควบคู่ไปกับชีพจรสวรรค์ 99 จุดสายในร่าง การเร่งเร้าพลังเทพของต้วนหลิงเทียนจวบจนออกกระบวนท่านั้น มันไวยิ่งกว่าฟ้าผ่าเสียอีก ฉู่หานไม่ทันได้คว้ากระบี่เทพขั้นกลางด้วยซ้ำก็โดนเล่นงานซะแล้ว
“เจ้าล้อข้าเล่น!!”
เสียงคำรามปานฟ้าร้องของฉู่หานดังขึ้น ในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความคับแค้นใจถึงที่สุด
พริบตาต่อมา
ปงงงง!!
ซัวว!
…
พายุมิติอันน่ากลัวที่ไล่หลังรังสีกระบี่มา ก็ได้ป่นปี้ร่างฉู่หานที่ถูกรังสีกระบี่ผ่ากลางจนร่างคนทั้งคนสลายหายไปอย่างง่ายดายเดินตามรอยเท้าศิษย์น้องเฉินของมันไปติดๆ คงเหลือไว้ก็แต่หมอกโลหิต กับแหวนพื้นที่และกระบี่ที่ยังลอยไปตามแรงเฉื่อย…
ทุกเรื่องราวมันอุบัติขึ้นในพริบตา
หวูเฟิงที่ชมดูเรื่องราวอยู่อีกด้านถึงกับอึ้งค้างไปราวตัวโง่งม
เดิมทีตอนที่ต้วนหลิงเทียนพูดว่าจะไว้ชีวิตฉู่หาน ในใจมันก็อดไม่ได้ที่จะเต้นระส่ำขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว เพราะถ้าต้วนหลิงเทียนปล่อยให้ฉู่หานรอดชีวิตไปได้จริงๆ เกรงว่าสักวันต้องนำภัยพิบัติใหญ่หลวงมาสู่ตัวมันแน่
แต่พอเห็นเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในที่สุดมันก็เข้าใจเจตนาของต้วนหลิงเทียนแล้ว
ที่แท้ศิษย์น้องต้วนผู้นี้ ก็แค่อยากได้ทุกสิ่งที่ฉู่หานมี จึงหลอกหล่อให้ฉู่หานส่งแหวนพื้นที่กับกระบี่เทพขั้นกลางออกมา และฉู่หานที่ไร้กระบี่เทพขั้นกลาง กับถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว จะมีปัญญาต่อต้านอะไรได้
“ศิษย์น้องต้วนเจ้า! เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก!!”
พอกลับมารู้สึกตัว หวูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งให้ต้วนหลิงเทียน “หากเจ้าไม่มาไม้นี้ ปล่อยให้ฉู่หานมันสู้ตายกับพวกเรา เกรงว่าพวกเราเองก็ต้องลงแรงอยู่บ้าง อย่างน้อยๆเจ้าก็ต้องวุ่นวายอยู่หลายกระบี่…”
“แต่พอเจ้าทำแบบนี้ จ้วงเดียวมารดาฉู่หานมันก็ดับดิ้นแล้ว!”
“นับถือๆ!!”
โดนหวูเฟิงกล่าวชมมาระรัว ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มเคอะเขิน “ศิษย์พี่หวู อันที่จริงข้าก็แค่อยากลองดูเท่านั้น เผื่อในแหวนพื้นที่มันจะมีโอสถเสริมโชคเก็บไว้ แม้จะแค่เม็ดเดียวก็ยังดี…”
“น่าเสียดายที่ในแหวนมันกลับไม่มีโอสถเสริมโชคแม้แต่เม็ดเดียว”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนใช้พลังหอบหิ้วแหวนพื้นที่กับกระบี่เทพขั้นกลางกลับมาอีกครั้ง หลังเก็บกระบี่เทพขั้นกลางลงแหวนตัวเองแล้ว เขาก็โยนแหวนพื้นที่ของฉู่หานเล่น กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจว่า “ต่อให้แลกทุกสิ่งในแหวนพื้นที่วงนี้กับโอสถเสริมโชคแค่เม็ดเดียวข้าก็ยอม…”
หวูเฟิงหลังได้ยินคำกล่าวด้วยความเสียดายของต้วนหลิงเทียน สองตาก็หรี่ลงเพราะตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง “ศิษย์น้องต้วนเจ้า…หรือว่าหากได้โอสถเสริมโชคอีกแค่เม็ดเดียว เจ้าก็จะทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ?”
“เป็นเช่นนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ในสายตาเขาเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“มิน่าล่ะ คราวที่แล้วเจ้าถึงได้ยอมแลกกระบี่เทพขั้นกลางกับโอสถเสริมโชคของข้าแค่ 2 เม็ด…ที่แท้เพราโอสถเสริมโชค 2 เม็ดนั่นมันก็ทำให้ระดับพลังเจ้ามาถึงสุดปลายขอบเขตเทพขั้นสูงแล้วนี่เอง”
หวูเฟิงกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ซับซ้อน
อย่างไรก็ตาม หลังได้ยินหวูเฟิงเอ่ยถึงโอสถเสริมโชค 2 เม็ดนั้น ลูกตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลงทั้งเผยประกายแหลมคม ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวว่า “ศิษย์พี่หวู โอสถเสริมโชค 2 เม็ดของท่านที่ข้าแลกมา…ข้าไม่ได้กินมันหรอก”
“หากข้าได้กินมัน…ป่านนี้ข้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพไปนานแล้ว”
พอต้วนหลิงเทียนพูดแบบนี้ออกมา หวูเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง “อ่าว ไฉนเป็นเช่นนั้นเล่าศิษย์น้องต้วน หรือเจ้ารีบเอาไปมอบให้ผู้อื่น?”
“ข้าไม่ได้เอาไปมอบให้ใครหรอก…”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา สองตาฉายแววเยียบเย็นอีกรอบ “แต่ข้าถูกปล้น”
“ฮะ? ถูกปล้น?”
หวูเฟิงตกใจ ยังเอ่ยถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “ในนิกายเราน่ะหรือ?”
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
ได้ยินดังนั้น สีหน้าหวูเฟิงจมลงโดยพลัน “ผู้ใดมันช่างกล้านัก? ศิษย์น้องต้วน อย่างไรเจ้าก็เป็นศิษย์หลักของนิกายแล้ว หากมีผู้ใดปล้นชิงสิ่งของไปจากเจ้า เจ้าสามารถไปร้องเรียนกับตำหนักคุมกฏ ให้นิกายคืนความเป็นธรรมให้เจ้า! ข้าเชื่อว่าท่านประมุขย่อมช่วยนำโอสถเสริมโชคกลับมาให้เจ้าแน่!!”
“ศิษย์พี่หวู…คนที่ปล้นโอสถเสริมโชคของข้าไป ก็คือซั่งกวนฉงเฟิง ศิษย์คนโตของอาวุโสฟง…”
ต้วนหลิงเทียนมองกล่าวกับหวูเฟิงเสียงเรียบ “ท่านว่าหากข้านำเรื่องนี้ไปร้องเรียน ทางนิกายจะทวงความเป็นธรรมให้ข้าหรือไม่เล่า?”
ซั่งกวนฉงเฟิง!
พอต้วนหลิงเทียนเอ่ยชื่อนี้ออกมา หวูเฟิงก็สะอึกไปทันที
ซั่งกวนฉงเฟิง ศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ แม้ด่านพลังจะมีแค่ราชาเทพขั้นกลาง แต่พลังฝีมือของมันนั้นยังร้ายกาจกว่าอาวุโสฝ่ายในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงบางคนเสียอีก พลังฝีมือนับว่าติด 1 ใน 3 อันดับแรกท่ามกลางศิษย์หลักนิกายหมอกเร้นลับ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นก็คือ…อาจารย์ของซั่งกวนฉงเฟิงก็คืออาวุโสฟง 1 ใน 4 อาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับ!
ซั่งกวนฉงเฟิงยังเป็นศิษย์คนโตของอาวุโสฟง ที่อาวุโสฟงรักและเอ็นดูไม่ต่างอะไรจากลูกชายแท้ๆ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับในนิกายหมอกเร้นลับเลย
“ศิษย์น้องต้วน โอสถเสริมโชค 2 เม็ดนั่น ศิษย์พี่…เอ่อ ซั่งกวนฉงเฟิง มันปล้นเจ้าไปหรือ?”
เดิมทีหวูเฟิงก็คิดจะเรียกหาซั่งกวนฉงเฟิงด้วยความเคารพว่า ‘ศิษย์พี่’ โดยไม่รู้ตัว แต่พอคิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายทำอะไรกับต้วนหลิงเทียน มันก็บังเกิดความรังเกียจและเปลี่ยนคำเรียกหาเป็นเรียกชื่อห้วนๆแทน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ทำไมเล่า?”
หวูเฟิงกล่าวถามด้วยความไม่เข้าใจ “ซั่งกวนฉงเฟิงนั่นมันก็ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพตั้งนานแล้ว แถมเป็นราชาเทพขั้นกลางไปแล้วด้วย…ไม่ใช่ว่าโอสถเสริมโชคก็ไม่มีค่าอะไรสำหรับมันหรือไร?”
ได้ยินคำถามด้วยความงุนงงของหวูเฟิง สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมา “ศิษย์พี่หวู ท่านจดจำได้หรือไม่ ว่าอาวุโสเหล่ยเคยอยากรับข้าเป็นศิษย์ ก็เลยส่งศิษย์นามฉือถงหมิงมาชวนข้า แต่ข้าปฏิเสธ…”
“ซั่งกวนฉงเฟิงนั่น ข้าได้ยินมาว่ามันสนิทกับหลงเซียว ศิษย์คนโตของอาวุโสเหล่ย…”
“หากให้ข้าเดา ไม่พ้นเรื่องที่ซั่งกวนฉงเฟิงมาปล้นโอสถเสริมโชคไปจากข้า หลงเซียวผู้นั้นต้องอยู่เบื้องหลังแน่ๆ…เพราะหลังจากเกิดเรื่องได้ไม่ทันไร หลงเซียวมันก็มาหาข้าเป็นการส่วนตัว ทำทีเป็นชี้แนะให้ข้าเริ่มคลานเข่าโขกหัวห่างจากบ้านอาวุโสเหล่ย 10 ลี้ เพื่อแสดงความจริงใจ อาวุโสเหล่ยจะได้รับข้าเป็นศิษย์…และพอถึงตอนนั้นมันจะช่วยข้าทวงคืนโอสถเสริมโชคทั้ง 2 จากซ่างกวนฉงเฟิง”
กล่าวถึงจุดนี้ ลึกลงไปในแววตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายแววเย็นชาวูบวาบ
“ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุนี้”
หลังได้ยินเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเล่า ก็ไม่ยากที่หวูเฟิงจะเข้าใจเรื่องราวกระจ่าง สีหน้าท่าทียังเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจัง “ศิษย์น้องต้วน อย่าได้บอกข้าว่าที่อยู่ๆเจ้าออกจากนิกายมา ก็เพราะสาเหตุนี้?”
“หลังจากนั้นเจ้าก็ไปยังเมืองจวินหลิง จนไปพบเจอหลิงหูชูยินที่เจ้าสงสัยว่าอาจจะเป้นภรรยาที่พลัดพรากไปของเจ้า?”
หวูเฟิงยังคาดเดาเรื่องราวเพิ่มได้มากมาย
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “เพราะหลงเซียวมันมาหาข้า และแสร้งชี้แนะให้ข้าคลานเข่าโขกหัว 10 ลี้นั่น หากข้าไม่ทำตาม มันไม่พ้นต้องมาหาเรื่องข้าอีกแน่ และข้าย่อมรู้ว่าต่อให้มันฆ่าข้า ตัวข้าก็มีแต่จะตายเปล่า…ก็เลยชิงออกจากนิกาย หมายทะลวงผ่านขอบเขตราชาเทพก่อนแล้วค่อยกลับไป”
สีหน้าหวูเฟิงเริ่มกลายเป็นขึงขัง “ศิษย์น้องต้วน หลงเซียวกับซั่งกวนฉงเฟิงนั่นไม่ง่ายเลย แม้พวกมันจะเป็นราชาเทพขั้นกลาง แต่พวกมันก็จัดเป็นราชาเทพขั้นกลางชนชั้นยอดฝีมือ”
“นอกจากนั้น พวกมันยังไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าราชาเทพขั้นสูงทั่วไปด้วยซ้ำ…”
“โดยเฉพาะซั่งกวนฉงเฟิงนั่น มันยังร้ายกาจกว่าหลงเซียวเสียอีก…”
“ถึงเจ้าจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้จริง แต่เจ้ามั่นใจหรือว่าจะป้องกันตัวจากพวกมันได้ หากได้ก็ดีไป แต่หากเจ้ายังไม่มั่นใจ ข้าว่าเจ้าควรรอให้ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง แล้วค่อยคิดเรื่องกลับไปนิกายดีกว่า”
หวูเฟิงกล่าวชี้แนะ
“ตราบใดที่ข้าสามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ แม้จะเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำ ข้าก็ไม่กลัวพวกมันแม้แต่นิดเดียว…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ “สิ่งที่ข้ากลัวจริงๆ เป็นอาจารย์ที่อยู่เบื้องหลังพวกมันมากกว่า”
“หากอาจารย์ของพวกมันคิดออกหน้า หลังข้าสะสางเรื่องราว อย่าว่าแต่ข้าที่พึ่งเป็นราชาเทพขั้นต่ำเลย ต่อให้ข้าเป็นราชาเทพขั้นกลางหรือราชาเทพขั้นสูง ก็ไร้ประโยชน์…”
“อาวุโสสูงสุดของนิกายหมอกเร้นลับที่อยู่เบื้องหลังซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียว อาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยนั่น ข้าไม่อาจไม่กลัวจริงๆ” กล่าวถึงจุดนี้สีหน้าของต้วนหลิงเทียนก็ไม่เหลือความมั่นใจอีกต่อไป จะมีก็แต่ความกลัว
“ศิษย์น้องต้วน เป็นเจ้าคิดมากเกินไปแล้ว…”
หวูเฟิงส่ายหัวพลางกล่าว “ถึงแม้อาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยอาจจะให้ท้ายพวกมันจริง แต่ก็ไม่อาจเข้าข้างศิษย์ได้ออกหน้าออกตานักหรอก”
“ตราบใดที่เจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ และเผยพลังฝีมือที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลงเซียวกับซั่งกวนฉงเฟิงออกมาล่ะก็ ถึงตอนนั้นขอแค่เจ้าไม่ทำผิดกฏนิกายซะอย่าง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 จะเล่นงานเจ้า”
“เจ้าอย่าได้ลืมไปเสียเล่า…ว่าในนิกายหมอกเร้นลับเรายังมีอาวุโสสูงสุดที่ทรงอำนาจอยู่อีก 2 คน”
“ขอเพียงเจ้าเผยศักยภาพและพรสวรรค์มากพอ ต่อให้เจ้าจะไม่คิดกราบผู้ใดเป็นอาจารย์ แต่เรื่องเป็นศิษย์แต่ในนามเล่า…เจ้าคงไม่ขัดข้องกระมัง?”