“ศิษย์แต่ในนาม?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาเบาๆ “ศิษย์พี่หวู เท่าที่ข้าทราบมาอาวุโสสูงสุดเหล่านั้นไม่เคยรับศิษย์แต่ในนามเลยนี่…”
“นั่นเพราะศิษย์แต่ในนามไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริง…ทว่ากลับได้รับทรัพยากรพอๆกับศิษย์ที่แท้จริงปกติ เช่นนั้นหากเลือกได้ไม่ว่าใครก็เลือกที่จะรับศิษย์ที่แท้จริงมากกว่า ไม่มีคนคิดอยากจะรับศิษย์แต่ในนามมากนัก”
หวูเฟิงกล่าวอธิบาย “แต่เจ้าแตกต่าง…หากเจ้าบรรรลุถึงราชาเทพขั้นต่ำแล้วแต่มีพลังสามารถเอาชนะหลงเซียวกับซั่งกวนฉงเฟิงได้จริงๆ นั่นเท่ากับว่าเจ้าก็มีพลังมากพอจะต่อกรกับราชาเทพขั้นสูงทั่วไป…”
“ที่สำคัญคือเจ้ายังอายุไม่ถึง 3,000 ปี…กล่าวได้ว่าอนาคตของเจ้ามันไร้ขีดจำกัด”
“อัจฉริยะเช่นเจ้า ถูกลิขิตให้กลายเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ในวันหน้า ด้วยสาเหตุนี้ข้าเชื่อว่าอาวุโสอวิ๋นกับอาวุโสหวู่ย่อมไม่รังเกียจเรื่องที่เจ้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์แต่ในนามแน่”
“เพราะต่อไปความสำเร็จที่เจ้าได้รับ ก็จะกลายเป็นความสำเร็จและเกียรติยศของพวกอาวุโส…ถึงแม้เจ้าจะเป็นแค่ศิษย์แต่ในนามก็ตาม”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาหวูเฟิงก็เป็นประกายขึ้นมา “และเมื่อศิษย์น้องต้วนได้เป็นศิษย์แต่ในนามของอาวุโสอวิ๋นหรืออาวุโสหวู่ล่ะก็ ย่อมต้องได้รับความคุ้มครอง! ทีนี้ไม่ว่าผลลัพธ์การประมือกับหลงเซียวและซั่งกวนฉงเฟิงจะเป็นเช่นไร ก็ถือว่าเป็นเรื่องของชนรุ่นหลัง หากอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยคิดสอดมือเข้ามายุ่ง อาวุโสอวิ๋นหรืออาวุโสหวู่ย่อมต้องออกหน้าปกป้องเจ้าแน่”
“นอกจากนั้นเท่าที่ข้ารู้มา…อาวุโสสูงสุดทั้ง 4 ก็ใช่ว่าจะสนิทสนมกลมเกลียว อาวุโสฟงนั้นสนิทกับอาวุโสเหล่ย แต่กับอาวุโสอวิ๋นและอาวุโสหวู่นั้นไม่ได้สนิทอะไรกันเลย กระทั่งยังเป็นศัตรูกันตั้งแต่ยังเยาว์ด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องที่ตอนนี้จะละวางความบาดหมางในอดีตแล้วหรือไม่ ก็เกรงว่ามีแต่พวกอาวุโสเท่านั้นที่รู้ดี”
“แน่นอนว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาวุโสอวิ๋นกับอาวุโสหวู่ค่อนข้างดี หากเจ้ากลายเป็นศิษย์แต่ในนามของใครคนใดคนหนึ่ง อีกคนก็ต้องดูแลเจ้าเช่นกัน”
หวูเฟิงกล่าว
หลังได้ยินคำอธิบายของหวูเฟิง ใจต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเต้นแรงขึ้นสองตายังเป็นประกายขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ไม่นานเขาก็สงบลง ‘คิดจะให้อาวุโสอวิ๋นกับอาวุโสหวู่เห็นคุณค่าและยอมรับเป็นศิษย์แต่ในนาม สุดท้ายก็ต้องแสดงฝีมือให้เห็นก่อน กล่าวได้ว่าอย่างน้อยๆข้าต้องทะลวงให้ถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ จากนั้นก็ต้องเอาชนะซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวนั่น’
‘สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือทะลวงผ่านไปยังราชาเทพขั้นต่ำ!’
พอคิดถึงจุดนี้ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเผยให้เห็นความคาดหวัง ‘หวังว่าครั้งนี้จะมีโอกาสให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ…กระทั่งหากมีทรัพยากรส่งเสริมให้บรรลุถึงราชาเทพขั้นกลางโดยเร็วยิ่งดี’
“ศิษย์น้องต้วน หลังพวกเราออกจากเทพซ่อนแล้ว ข้าจะช่วยหาโอสถเสริมโชคให้เจ้าอีกแรง…ข้าเองก็ออกไปทำภารกิจด้านนอกบ่อย มีคนรู้จักทั้งสหายก็ไม่น้อย ไว้ข้าจะถามทุกคนให้หลังออกไป”
หวูเฟิงกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
“ขอบคุณศิษย์พี่หวูมาก”
ต้วนหลิงเทียนเร่งกล่าวขอบคุณหวูเฟิงทันที จากนั้นก็หันกลับมาให้ความสนใจรูปปั้นขนาดใหญ่เบื้องหน้าอีกครั้ง “แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้รับอะไรดีๆจากที่นี่เลย เทพซ่อนแห่งนี้ไม่ทราบจะมีอะไรจากตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพเหลือทิ้งไว้บ้าง…ไม่แน่หากมีอะไรดีๆจริง ข้าอาจมีโอกาสทะลวงผ่านได้ง่ายๆหลังกลับออกไป”
“หากเป็นแบบนั้นได้ย่อมดีที่สุด”
หวูเฟิงยิ้ม
ขณะเดียวกันหวูเฟิงก็หันไปมองตามสายตาต้วนหลิงเทียน หลังพินิจรูปปั้นต่อสักพักก็ย่นคิ้วกล่าวออกมาว่า “ศิษย์น้องต้วน ข้าว่าพวกเราลองโจมตีรูปปั้นดูเถอะ…พวกเราเริ่มจากใช้พลังเพียงเล็กน้อยก็ได้ แม้อาจจะกระตุ้นการทำงาของค่ายกลหรืออาคมอะไรจริง มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นฆ่าพวกเราได้ทันทีหรอก”
“เรื่องนี้พึงระวังให้มากเป็นดี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงขรึม “ศิษย์พี่หวู หากจะทำแบบนั้นจริง ข้าว่าพวกเราล่าถอยไปหน้าปากอุโมงค์ค่อนเถอะ แล้วลองโจมตีมันจากไกลๆดู…หากมีอะไรผิดท่า อย่างน้อยๆพวกเราจะได้ถอยทัน”
“เอาสิ”
ความเห็นของต้วนหลิงเทียนหวูเฟิงย่อมเห็นด้วย จากนัน้ทั้งคู่ก็พากันมาลอยตัวอยู่ด้านหน้าอุโมงค์และเตรียมจะซัดพลังใส่รูปปั้นแต่ไกล
“ศิษย์น้องต้วน เจ้าดูที่พื้นเร็ว!”
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงพึ่งล่าถอยมาถึงหน้าอุโมงค์ ขณะที่ต้วนหลิงเทียนยังคงจับจ้องไปยังรูปปั้น เสียงหวูเฟิงพลันดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองตามสายตาหวูเฟิง จึงพบว่าบัดนี้ที่พื้นปรากฏหยดเลือดมากมายกำลังเคลื่อนไปรวมตัวกันด้วยความเร็ว และไม่ทันไรก็กลายเป็นสายธารโลหิต!
จากนั้นสายธารโลหิตดังกล่าวก็เริ่มไหลไปยังรูปปั้น
“เป็นเลือดของฉู่หานกับแซ่เฉินนั่น!”
หวูเฟิงกล่าว
ด้านต้วนหลิงเทียนเองก็ได้กลิ่นคาวเลือดแต่แรก จึงบอกได้ทันทีว่าหยดแดงๆที่มารวมตัวกัน เกิดจากละอองโลหิตของฉู่หานและชายหนุ่มชุดแดงที่ตกตายก่อนหน้า
และตอนนี้เลือดของพวกมันทั้งคู่ก็เริ่มมารวมตัวกันอย่างแปลกประหลาด ก่อเกิดเป็นสายธารเล็กๆ ไหลไปตามร่องพื้นโถงถ้ำ ไม่นานก็ไปถึงฐานรูปปั้นมหึมา
“นี่มันอะไรกัน…”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัย ธารหิตที่ไหลไปถึงฐานรูปปั้น ก็เริ่มวนรอบเท้ารูปปั้น ไม่นานก็เริ่มไหลขึ้นไปยังรูปปั้นอย่างอัศจรรย์ และแพร่กระจายออกไปทั่ว
จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงที่จับตาดูรูปปั้นอยู่ ก็พบว่าเลือดที่ไหลไปทั่วรูปปั้นเริ่มเปล่งแสงสีแดงฉาน!
และพอรูปปั้นถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงฉานแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็พบว่าโถงถ้ำเริ่มสั่นสะเทือน แถมรูปปั้นเองก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แสงสีแดงก่อนหน้าก็เริ่มสว่างมากขึ้นทุกขณะ และสุดท้ายอยู่ๆก็ดับหายไป
แต่ในขณะเดียวกันกับที่แสงสีแดงหายไป ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่า
รูปปั้นมหึมานั่น ตอนนี้มันเริ่มแปลสภาพไปจนเหมือนผู้คนมากขึ้นทุกขณะ แมท้มันจะยังเป็นรูปปั้นอยู่ แต่ก็ทวีความสมจริงขึ้นมามาก
“ยินดีด้วยที่พวกเจ้าสามารถเปิดเทพซ่อนที่ข้าทิ้งไว้ได้สำเร็จ”
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้น เพราะอยู่ๆรูปปั้นเบื้องหน้าก็กล่าวคำออกมา เสียงแหบพร่ายังดังเข้าหูทั้งคู่ชัดเจน
“เอ่อ…”
หวูเฟิงที่ลอยร่างข้างๆต้วนหลิงเทียน ตอนนี้ตกตะลึงตาตั้งไปแล้ว
“ข้าเรียกว่า ฉินหวู่ เป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดที่เดินรอนแรมมาจากแดนไกล และสุดท้ายก็มาใช้บั้นปลายในชีวิตที่เขตคฤหาสน์ตงหลิง ในอดีตข้าเองก็เคยเข้าร่วมขุมกำลังมาบ้าง แต่สุดท้ายก็ออกมาและไม่คิดจะเข้าร่วมขุมกำลังใดๆอีกเลย เพราะข้าชมชอบอิสระเสรี…”
“และเมื่อบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว ข้าก็เหมือนกับราชาเทพคนอื่นๆที่ต้องต่อสู้กับสวรรค์ ดิ้นรนเอาชนะหายนะภัยพิบัติทุกรอบพันปี สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันให้ข้าดิ้นรนบ่มเพาะเพิ่มพูนพลังไม่หยุด กระทั่งไม่กล้าหยุด”
รูปปั้นเริ่มกล่าวคำออกมาอีกครั้ง และเป็นการเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของตัวเอง
“ข้ารอดจากหายนะภัยพิบัติมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคราที่ด่านพลังฝึกปรือก้าวหน้าข้าก็โล่งใจนัก”
“กล่าวไปแล้ว ในชีวิตของข้า นอกจากจะไม่มีผู้ใดที่เป็นสหายกันด้วยใจ ยังไร้ลูกศิษย์และครอบครัว แต่ข้าก็มีความสุขในแบบของข้าดี…และด้วยความเป็นมาของข้า การก้าวมาถึงจุดนี้ได้ ข้าก็นับว่าพึงพอใจมากแล้ว”
“สาเหตุที่ทำให้ข้าเริ่มสร้างเทพซ่อนแห่งนี้ เพราะข้าสัมผัสได้ว่าหายนะสวรรค์ที่จะมาถึงในอีก 30 ปีข้างหน้า ข้าไม่อาจข้ามผ่านมันได้…เช่นนั้นข้าจึงตัดสินใจทิ้งทุกสิ่งที่ข้ามีชั่วชีวิตไว้ให้แก่ผู้ที่มีโชคชะตาและวาสนากับข้า”
“ชีวิตข้า สุดท้ายก็จบลงที่ขอบเขตจักรพรรดิเทพขั้นต่ำ”
…
หลังรูปปั้นกล่าวคำถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็หันมามองหน้ากันทันที จากนั้นก็แลเห็นความตื่นเต้นดีใจในแวตากันและกัน “เป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพจริงๆ!!”
ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพ แม้จะเป็นเพียงผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด แต่ทรัพย์สินชั่วชีวิตที่มี ก็ไม่ใชอะไรที่คนธรรมดาจะจินตนาการได้ออก
ขณะเดียวกัน รูปปั้นยังพูดต่อว่า “หินเทพที่ข้ามีล้วนถูกนำไปใช้ขับเคลื่อนค่ายกลทั้งหมดในเทพซ่อนแห่งนี้หมดแล้ว…เช่นนั้นหากผู้มีวาสนาคิดว่าจะร่ำรวยเพราะหินเทพของข้า เกรงว่าคงต้องผิดหวัง”
“ทั้งหมดที่ข้าเหลือไว้ ก็มีเพียงทรัพยากรและสมบัติที่ข้าสะสมมาชั่วชีวิต ยังมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่อยู่กับข้ามาหลายปี…และบบัดนี้มันก็เริ่มตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว ข้าเองไม่อาจอยู่รอจนถึงวันที่วิญญาณกำเนิด เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ข้าเสียใจที่สุดแล้ว”
“นอกจากนั้นข้ายังได้ทิ้งเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ข้าเคยพบเจอไว้หลายเคล็ด…ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับจักรพรรดิเทพที่ไม่สมบูรณ์ ตัวข้าเองก็อาศัยเคล็ดวิชานั้นบ่มเพาะมาถึงจักรพรรดิเทพขั้นต่ำ”
“หากให้เวลาข้าอีกสัก 2-3 พันปี ข้ามั่นใจว่าสามารถทะลวงถึงจักรพรรดิเทพขั้นกลางได้แน่…อนิจจาหายนะสวรรค์ไม่เคยรอใคร สุดท้ายอัตราก้าวหน้าของข้าก็ไม่อาจไล่ตามความเร็วของหายนะสวรรค์ได้ทัน”
“เอาล่ะ ข้ากล่าวไร้สาระมามากแล้ว คงต้องหยุดลงเสียที…แต่นี่ก็ช่วยไม่ได้ข้าแม้อยู่มานานมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ในอดีตแทบไม่ได้สุงสิงกับผู้ใด พอใกล้ตายก็เลยอดกล่าวให้มากหน่อยไม่ไหว”
“เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันเลยเถอะ”
“หลังจากเข้าสู่ตำหนักมรดกของข้า พวกเจ้าคงพบเห็นช่องทาง 2 สายแล้วกระมัง แม้ว่าเส้นทางทั้ง 2 สายจะนำไปสู่ทิศทางที่แตกต่างกัน แต่สุดท้ายจุดหมายปลายทางก็ไม่มีอะไรแตกต่าง”
“และไม่ว่าไปยังช่องทางใด ก็สามารถย้อนกลับไปยังเส้นทางอื่นได้ตลอดเวลา”
“หากว่ามีผู้คนเข้าไปทั้ง 2 เส้นทาง ไม่ว่าทางไหนก็ตามหากสามารถกระตุ้นค่ายกลที่รูปปั้นข้าได้ก่อน ก็จะมีโอกาสได้รับทรัพย์สมบัติและทุกสิ่งที่ข้าทิ้งไว้ชั่วชีวิต…ส่วนผู้คนในช่องทางอื่นก็จะถูกบังคับส่งตัวออกไปด้านนอกทันที”
“สมบัติชั่วชีวิตของข้า ได้ถูกซ่อนเอาไว้ภายในตำหนักมรดกแห่งนี้…และไม่ว่ารูปปั้นช่องทางไหนกระตุ้นการทำงานได้ก่อน มันก็จะถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายมาเพื่อตระเตรียมมอบให้แก่ผู้ที่กระตุ้นการทำงานค่ายกลในรูปปั้นทันที”
พอเสียงพูดของรูปปั้นหยุดลง กระบี่ในมือของรูปปั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว จากนั้นก็แทงไปยังความว่างเปล่าเบาๆ
แรกแทงออกไปก็ไม่เป็นอะไร หากทว่าหลังแทงออกไปได้ครู่หนึ่ง บริเวณปลากระบี่ก็เริ่มปรากฏวังวนมิติสีดำ มองไปคล้ายกับวังวนมิติที่เห็นยามประตูตำหนักเปิดออกไม่มีผิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันกำลังเปิดช่องทางมิติอะไรบางอย่าง
“เช่นนั้น…พวกตู้เชียนจวินที่อยู่อีกทางก็ถูกค่ายกลบังคับส่งตัวออกไปแล้วหรือ?!”
หวูเฟิงที่อึ้งไปแต่แรกในที่สุดก็ดึงสติกลับมาได้ หลังได้ยินวาจาประโยคท้ายของรูปปั้น สองตายังลุกวาวจ้า ใบหน้าฉายชัดถึงความปิติยินดีเป็นที่สุด! เรียกว่ามีความสุขในความทุกข์ของผู้อื่นจับใจ!!
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า จากนั้นก็มองไปยังวังวนมิติที่ก่อตัวขึ้นด้วยสายตาซับซ้อน “ข้าไม่คิดเลยว่าพวกเราจะโชคดีเพราะพวกฉู่หานมันตามมา ถึงได้มีโอกาสกระตุ้นค่ายกลรูปปั้นและได้รับโอกาสสืบทอดมรดกจักรพรรดิเทพแบบนี้”
“ฮ่าๆๆ…หากทางด้านตู้เชียนจวินมันพบว่าเป็นพวกเราที่ได้มรดกไป ข้าเกรงว่ามันคงกระอักเลือดตายเลยกระมัง!”
หวูเฟิงคลี่ยิ้มร่า
และในขณะที่หวูเฟิงคลี่ยิ้มร่านั้นเอง
ปลายทางอุโมงค์อีกช่องทางหนึ่ง ตู้เชียนจวินที่มาถึงโถงถ้ำขนาดใหญ่แล้วเหมือนกัน พอพบว่าไม่พบเจอสมบัติอะไรเลยก็หงุดหงิดไม่น้อย และหลังลองจู่โจมรูปปั้นอยู่นานก็ไม่เกิดอะไรขึ้น หากทว่าอยู่ๆรูปปั้นก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมาทำให้พวกมันตกใจไม่น้อย
“รูปปั้นนี้…อยู่ๆก็มีชีวิตขึ้นมาหรือ?!”
สีหน้าตู้เชียนจวินอดไม่ได้ที่เผยความตกใจออกมา และแม้แต่ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆก็ตกใจไม่ต่าง