ตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนข้างกายนั้น ก็ได้เดินทางมาถึงสุดปลายอุโมงค์เช่นกัน
และปลายอุโมงค์มันก็พบโถงถ้ำอันกว้างขวางที่มีรูปปั้นมหึมาตั้งอยู่ตรงกลางไม่ต่าง
เรียกว่าทุกประการเหมือนกันกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงพบเจอ ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
ตอนแรกตู้เชียนจวินก็ลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบรูปปั้นแล้ว แต่มันก็พบว่าสำนึกเทวะไม่อาจชำแรกผ่านเข้าไปในรูปปั้นได้
ต่อมาตู้เชียนจวินก็คิดใช้พลังเทพจู่โจมใส่รูปปั้น แต่มันก็กังวลเรื่องเดียวกับต้วนหลิงเทียน แต่หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดมันก็ตัดสินใจลงมือ
หากทว่ารูปปั้นก็ไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ
แถมพลังเทพที่มันซัดไปยังเสมือนถมทะเล หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยไม่เกิดอะไรขึ้นเลย
“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดี?”
“หรือจะย้อนกลับเพื่อไปอีกทาง…”
ตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนไม่ถอดใจง่ายๆ พากันระดมพลังเทพซัดใส่รูปปั้นไม่หยุด อนิจจาแม้จะใช้พลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่เกิดผล จึงบังเกิดความคิดจะเดินย้อนกลับไป
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มันกับชายวัยกลางคนกำลังจะเหินร่างกลับ พวกมันก็พบว่าอยู่ๆอุโมงค์ที่มาได้ปิดตัวลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ
ราวกับมันไม่เคยมีอุโมงค์มาก่อน!
“ดูเหมือนจะไม่มีทางให้ย้อนกลับ…”
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ตู้เชียนจวินก็ได้แต่พาชายวัยกลางคนข้างกายกลับไปใจกลางโถงถ้ำ มองจ้องรูปปั้นขนาดใหญ่อย่างละเอียด พยายามหาเบาะแสไปทั่ว
ครืนน!!
ครืนน!!
…
และทันใดนั้นเอง อยู่ดีๆรูปปั้นศิลาขนาดใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาราวกับมีชีวิต ทำให้ตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนอดสะดุ้งตกใจไม่ได้
รูปปั้นศิลาไร้ชีวิต…อยู่ๆก็ขยับได้ราวกับมีชีวิตขึ้นมา?
“ถนนสายเดียวกัน สถานที่เดียวกัน วิธีกระตุ้นค่ายกลดุจเดียวกัน…เพียงแต่ พวกเจ้าช้ากว่าผู้อื่นไปก้าวหนึ่ง คงกล่าวได้ว่าพวกเจ้ากับข้า ฉินหวู่ ไร้วาสนาต่อกัน”
“อย่างไรก็ตาม ในเมื่อพวกเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว ก็คงให้พวกเจ้ากลับไปพร้อมความสงสัยไม่ได้…”
“อย่างน้อยๆตามมารยาท ข้าก็จักนำตัวเองให้พวกเจ้ารู้จัก”
“ข้าเรียกว่า ฉินหวู่ เป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดที่เดินรอนแรมเดินทางมาจากแดนไกล และสุดท้ายก็มาใช้บั้นปลายในชีวิตที่เขตคฤหาสน์ตงหลิง ในอดีตข้าเองก็เคยเข้าร่วมขุมกำลังมาบ้าง…”
หลังจากนั้นสิ่งที่รูปปั้นพูดออกมา ก็เหมือนกับที่เคยพูดให้ต้วนหลิงเทียนและหวูเฟิงฟังไม่มีผิด สุดท้ายก็จบลงด้วยประโยค “ชีวิตข้า สุดท้ายก็จบลงที่ขอบเขตจักรพรรดิเทพขั้นต่ำ…”
ส่วนด้านตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนนั้น แทบไม่ได้ฟังเลยด้วยซ้ำ เพราะสีหน้าพวกมันบิดเบี้ยวอัปลักษณ์ตั้งแต่ได้ยินคำว่า ‘พวกเจ้าช้ากว่าผู้อื่นไปก้าวหนึ่ง คงกล่าวได้ว่าพวกเจ้ากับข้า ฉินหวู่ ไร้วาสนาต่อกัน’ เพราะนั่นทำให้พวกมันตระหนักได้ว่า พวกมันพลาดสิ่งดีๆในเทพซ่อนแห่งนี้ไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเทพซ่อนที่พวกมันเข้ามาครั้งนี้ มีโอกาสได้รับมรดกทั้ง 2 ทาง
ยังมีแค่ 2 ช่องทางให้เลือกเดิน
พวกมันก็เลือกช่องทางหนึ่ง
อนิจจาตอนนี้ผู้ที่เลือกอีกช่องทางกลับกระตุ้นเทพซ่อนได้ก่อน ทำให้พวกมันพลาดการรับมรดกไป
“เอาล่ะ ข้าจักส่งพวกเจ้าออกไป…”
จากนั้นหลังได้ยินประโยคสุดท้ายของรูปปั้น กระบี่ในมือรูปปั้นก็จ้วงแทงไปยังความว่างเปล่า และไม่มีการกล่าวคำร่ำลาใดๆอีกต่อไป วังวนมิติที่ปรากฏขึ้นได้เปล่งพลังดูดรั้งกวาดมาทางตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนทันที
“ไม่! ข้าจะไม่ออกไปหากไม่ได้รับมรดก!!”
ตู้เชียนจวินย่อมไม่เต็มใจถูกส่งตัวกลับออกไปมือเปล่า
อนิจจาก่อนที่มันจะทันได้ขยับตัวหลบ พลังดูดรั้งที่แผ่พุ่งออกมาจากวังวนมิติก็ได้ปกคลุมไปทั่วร่างของมันกับชายวัยกลางคนข้างๆเสียแล้ว จากนั้นก็ส่งตัวพวกมันออกจากเทพซ่อนโดยตรง ปล่อยให้พวกมันไปปรากฏตัวด้านนอกตำหนัก
และในปัจจุบัน ประตูตำหนักที่เคยเปิดออกเผยให้เห็นวังวนมิติ ก็ปิดตัวลงไปเรียบร้อย กุญแจทั้ง 5 ดอกที่เสียบคารูก่อนหน้า ก็หายไปไหนไม่ทราบ…
“เวรเอ๊ย!!”
หลังตู้เชียนจวินกลับมารู้สึกตัว และคิดจะเปิดตำหนักอีกครั้ง แต่ไม่ว่ามันจะลงมืออย่างไรประตูตำหนักก็ไม่แม้แต่จะมีรอยขีดข่วน แถมไม่มีวี่แววว่าจะเปิดออกอีกครั้งเลย
จังหวะนี้สีหน้าตู้เชียนจวินถึงกับบิดเบี้ยวเหยเกนัก
สุดท้ายเมื่อตระหนักได้ว่ามันสิ้นโอกาสใดๆในเทพซ่อนแห่งนี้แล้ว มันก็ค่อยๆสงบลงเริ่มกลับมามีสติแจ่มใสอีกครั้ง
“รูปปั้นมนุษย์ตัวเขื่องนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นรูปปั้นของผู้ที่สร้างเทพซ่อนแห่งนี้”
“และฟังจากที่มันพูดมาก่อนหน้า มันก็เป็นจักรพรรดิเทพขั้นต่ำ…”
คิดถึงจุดนี้ ตู้เชียนจวินก็ปวดแปลบขึ้นมาในอกอีกรอบ รู้สึกเสมือนมีคนคว้านหัวใจออกไปอย่างไรอย่างนั้น มรดกชั่วชีวิตที่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพขั้นต่ำเหลือทิ้งไว้ แต่ตอนนี้มันกลับถูกส่งตัวออกมา ไม่แม้แต่จะได้มีโอกาสเห็นอะไรด้วยซ้ำ
“นอกจากนั้น รูปปั้นมันบอกว่าคนในอีกช่องทางได้กระตุ้นค่ายกลและมีโอกาสได้รับมรดกก่อน…”
สองตาตู้เชียนจวินเป็นประกายขึ้นมา “ใช่นายน้อยหานกับสหายหรือไม่?”
ในสายตาของตู้เชียนจวิน ในเมื่อเส้นทางที่มันเลือกไม่พบเจอพวกหวูอี้ซาน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องเลือกอีกช่องทาง…และช่องทางดังกล่าวก็เป็นฉู่หานกับผู้ติดตามเข้าไป
ในเมื่อเป็นช่องทางเดียวกัน หมายความว่าพวกหวูเฟิงคงพบเจอพวกฉู่หานแล้ว
เมื่อทั้ง 4 ปะทะกัน ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรก็ชัดเจน
หวูอี้ซานกับพวก ต้องถูกฉู่หานกับชายหนุ่มชุดแดงฆ่าทิ้งแน่
“ดูเหมือนว่ามรดกในเทพซ่อน จะถูกนายน้อยหานรับไป…”
ตู้เชียนจวินได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน จากนั้นมุมปากก็เริ่มคลี่ยิ้มขื่นขม และเริ่มแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบในแหวนพื้นที่โดยไม่รู้ตัว เพื่อมองดูลูกแก้ววิญญาณที่ฉู่หานแลกกับมัน
อย่างไรก็ตาม หลังตรวจดูแล้ว ร่างมันก็ชะงักค้างไปทันที
“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
เพราะตอนนี้ ลูกแก้ววิญญาณที่มันคิดตรวจสอบไม่มีแล้ว…
กล่าวให้ชัดคือ ลูกแก้ววิญญาณที่มันคิดตรวจสอบ ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป!
กับกลายเป็นเศษลูกแก้วกองหนึ่ง…
ลูกแก้ววิญญาณแตกสลาย!
ตู้เชียนจวินย่อมรู้ดีว่าลูกแก้ววิญญาณแตกสลายหมายความว่าอะไร “น้อยนายหาน…ตายแล้ว?”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”
ตู้เชียนจวินย่อมไม่เข้าใจ ว่าไฉนฉู่หานถึงตายได้ “พวกหวูอี้ซานนั่นไม่ใช่คู่มือของนายน้อยหานแน่นอน…เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลังจากกระตุ้นค่ายกลในรูปปั้นได้แล้ว คนข้างกายนายน้อยหานจะบังเกิดความโลภจึงลอบลงมือต่อนายน้อยหาน?”
“คนๆนั้นเหมือนจะเป็นศิษย์น้องของนายน้อยหาน จำได้ว่าแซ่เฉิน!”
พอคิดถึงจุดนี้ลูกตาตู้เชียนจวินก็หดเล็กลง ใบหน้าเริ่มเผยความจริงจัง “หากนายน้อยหานได้รับมรดกทั้งหมดไป ก็ดี…เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็เป็นดั่งอาจารย์ลุงของข้า”
“แต่ถ้าเกิดผู้แซ่เฉินนั่นมันลอบสังหารนายน้อยหานเพราะโลภในมรดก ข้าไม่มีวันปล่อยให้มันรอดไปได้ง่ายๆ!”
“ข้าต้องรีบออกไปบอกเรื่องนี้กับท่านปู่!”
“แต่เพราะคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ คงไม่อาจบอกรายละเอียดเรื่องเทพซ่อนได้…อย่างไรก็ตามข้าแค่แต่งเรื่อง และบอกว่าผู้แซ่เฉินนั่นอาจจะเป็นคนฆ่านายน้อยหานก็พอ”
“ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้แซ่เฉินนั่นมันย้อนกลับไปนิกายมังกรสวรรค์ มันต้องจบไม่สวยแน่”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ตู้เชียนจวินก็เรียกชายวัยกลางคนข้างกาย จากนั้นก็พากันออกจากระนาบอิสระโดยใช้ประตูมิติที่เข้ามา ย้อนกลับไปยังถ้ำใต้ดินลึกลงไปในภูเขาทันที
หลังมันออกมาจากถ้ำ มันก็นำเรือเหาะระดับราชาเทพออกมา แล้วรีบบึ่งกลับนิกายหมื่นปีศาจด้วยความเร็วสูงสุดทันที
ขณะเดินทางมันก็ไม่ลืมส่งข้อความไปแจ้งเรื่องราวให้ปู่มันทราบ “ท่านปู่ ลูกศิษย์ของศิษย์พี่ท่าน ฉู่หาน ตายแล้ว!”
และหลังจากตู้เชียนจวินส่งข้อความไปหาปู่มันได้ไม่ทันไร ปู่ของมัน ตู้จ้าน อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายหมื่นปีศาจก็เร่งส่งข้อความกลับมาเร็วไว “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร เรื่องพรรค์นี้ใช่เจ้าพูดเล่นได้หรือ!?”
“หากให้อาจารย์ลุงของเจ้าล่วงรู้ว่าเจ้ากล่าวหาว่าผู้อื่นตกตายเช่นนี้ ผู้อื่นได้ทุบตีเจ้าแน่!”
ในขณะที่ตู้จ้านส่งข้อความกลับไปหาตู้เชียนจวิน น้ำเสียงของมันก็ดุนัก แต่ที่มากกว่าคือความกังวล “แล้วนี่เจ้าแอบหนีออกไปตั้งแต่เมื่อใด เจ้าไปซนอยู่ที่ไหน รีบกลับมาเสีย!”
“ท่านปู่…”
ตู้เชียนจวินได้แต่คลี่ยิ้มเหยเก ก่อนจะเร่งส่งข้อความไปหาปู่มันต่อ “ข้าอยู่ที่ไหน เกรงว่าข้าคงไม่อาจบอกท่านได้เพราะติดคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ…แต่ที่ข้าบอกได้คือ ข้าได้พบกับอาจารย์ลุง ฉู่หาน และได้แลกเปลี่ยนลูกแก้ววิญญาณกับอาจารย์ลุง”
“แต่ตอนนี้ลูกแก้ววิญญาณของอาจารย์ลุงแตกแล้ว”
พอตู้เชียนจวิรส่งข้อความนี้ไป ด้านตู้จ้านก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ค่อยส่งข้อความถามกลับมาว่า “เจ้าไม่เคยพบเจออาจารย์ลุง แล้วเจ้าไปรู้จักกับอาจารย์ลุงได้อย่างไร?”
“ก็หลังจากอาจารย์ลุงล่วงรู้ว่าข้ามาจากนิกายหมื่นปีศาจ อาจารย์ลุงก็เดาฐานะข้าได้ เพราะเห็นว่าหน้าตาข้าละม้ายคล้ายรูปเหมือนท่านปู่สมัยหนุ่มๆ ที่แขวนอยู่ในห้องนอนของศิษย์พี่ท่านปู่”
ตู้เชียนจวินกล่าว
“ว่าอะไร?!”
คราวนี้ตู้จ้านไม่อาจสงบอยู่ได้แล้วจริงๆ
ตู้จ้านีท่อยยู่ในนิกายหมื่นปีศาจ แม้ด่านพลังของมันจะบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางแล้ว แต่ตอนนี้สีหน้าท่าทีก็แลดูกระวนกระวาย ใจเต็มไปด้วยความกังวลทั้งลังเล
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายมันก็กัดฟันส่งข้อความไปหาศิษย์พี่ของมัน ซึ่งเป็นอาจารย์ของฉู่หานทันที
“ศิษย์พี่…ฉู่หาน ศิษย์ท่านเกิดเรื่องอะไรหรือไม่?”
ตู้จ้านเอ่ยถามเข้าเรื่องทันที
“ศิษย์น้อง เจ้าก็รู้หรือ?”
และแทบจะทันทีที่ตู้จ้านส่งข้อความออกไป อีกฝ่ายก็ส่งข้อความกลับมาว่า “มิผิด ศิษย์ข้าฉู่หานตายแล้ว ตอนนี้ข้าเองก็กำลังเร่งสืบหายสาเหตุการตายของมันอยู่ ยังไม่ว่างบอกรายละเอียด ไว้ข้าจะไปหาเจ้าภายหลังเมื่อจบเรื่อง”
“ศิษย์พี่…”
ตู้จ้านคลี่ยิ้มขื่นขม ถึงแม้น้ำเสียงศิษย์พี่ยามส่งข้อความมาจะฟังดูสงบ แต่มันก็สัมผัสได้ถึงความหดหู่ใจอยู่บ้างจากน้ำเสียงอีกฝ่า
“ข้ายังไม่ควรบอกศิษย์พี่ เรื่องที่เชียนจวินพูด…สุดท้าย ก็ยังไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
“รอเจ้าเด็กนั่นกลับมาก่อนค่อยว่ากัน…”
…
หลังจากรูปปั้นมนุษย์เปิดช่องว่างมิติด้วยกระบี่ ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็เข้าไปอย่างไม่รอช้า
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็มาถึงสถานที่ๆจักรพรรดิเทพขั้นต่ำ ฉินหวู่ ได้ทิ้งมรดกชั่วชีวิตเอาไว้ ก่อนที่จะตายตก เป็นส่วนหลักของมรดกสถานมัน
“ฟังจากที่จักรพรรดิเทพขั้นต่ำผู้นี้กล่าว เห็นว่ายังทิ้งอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้วเอาไว้…ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าไม่อาจข้ามผ่านหายนะสวรรค์ได้แล้วจริงๆ”
ทันทีที่เข้ามาถึงส่วนหลักของมรดกสถาน หวูเฟิงก็หันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียน พลางกวาดตามองดูทุกสิ่งรอบกาย
“ภัยพิบัติครั้งสุดท้ายที่เจอ บางทีอาจทำให้จักรพรรดิเทพขั้นต่ำคนนั้นบาดเจ็บสาหัส และไม่อาจฟื้นฟูรักษาได้ในเวลาแค่พันปี จึงทำให้รู้ว่าไร้หนทางข้ามผ่านหายนะครั้งต่อไป…เช่นนี้ไม่ว่าจะเตรียมตัวมากแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไร จึงเลือกจะเหลือของไว้ไม่ให้เสียหายประเสริฐกว่า”
“สุดท้ายอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว หากนำไปเผชิญกับภัยพิบัติด้วยกัน ไม่เพียงแต่ตัวอุปกรณ์เทพขั้นสูงจะโดนทำลาย แต่จิตวิญญาณที่พึ่งตั้งครรภ์ก็เกรงว่าจะสลายหายไปด้วย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
เนื่องจากเขาเองก็มีอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่มีจิตวิญญาณ เขาจึงรู้เรื่องนี้ดีกว่าคนทั่วไป
“อุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณ…ในสายตาจักรพรรดิเทพฉินหวู่ ที่ตัวคนเดียว ข้าเกรงว่าคงไม่ต่างอะไรกับลูกแท้ๆ…”
ต้วนหลิงเทียนย้อนนึกถึงถ้อคำที่รูปปั้นกล่าว เขาก็ยังจำได้ดีว่าในขณะที่อีกฝ่ายกล่าวถึงเรื่องอุปกรณ์เทพขั้นสูงตั้งครรภ์วิญญาณแล้ว น้ำเสียงอีกฝ่ายก็ฟังดูอ่อนโยนนัก ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงความห่วงใยต่อบิดาที่มีต่อบุตร