สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว การเข้าใจกฏสายฟ้านับเป็นผลพลอยได้อันน่ายินดี
  ถึงแม้การเข้าใจกฏสายฟ้าจะไม่ได้ทำให้ความแข็งแกร่งเขาเพิ่มขึ้น แต่ก็นับเป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย สุดท้ายก็เข้าใจความหมายเบื้องต้นของกฏๆหนึ่งโดยไม่ต้องเสียเวลาอะไร
  ‘กินโอสถชิงเหยียนทั้ง 6 เม็ดนั่นให้หมดและบ่มเพาะพลังต่อสักพัก หลังจากดูดซับพลังของโอสถหมดแล้ว ค่อยดูว่าจะกลับไปนิกายหมอกเร้นลับเลย หรือไปตระกูลหลิงหูก่อน’
  หลังทำลายหายนะสวรรค์ของราชาเทพในหมัดเดียว ร่างต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปอีกครั้ง ไม่นานนักก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือป่ารกชัดที่อยู่ห่างจากหุบเขาก่อนหน้าพอสมควร
  หุบเขาเล็กๆที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจรั้งอยู่ได้อีกต่อไป ความเคลื่อนไหวจากการทำลายหายนะสวรรค์เมื่อครู่ไม่ได้เล็กน้อย มันอาจจะดึงดูดความสนใจของผู้คนให้มาดูกันได้
  อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ใช่ว่าจะเดินทางไปไหนไกลนัก หลังเดินทางอยู่วันหนึ่ง เขาก็ไปขุดถ้ำที่ผนังผาแห่งหนึ่งเพื่อใช้เป็นสถานที่พักบ่มเพาะ
  ‘โอสถชิงเหยียนแม้หลังใช้ไป 3 เม็ดแล้ว เม็ดอื่นๆจะให้ผลน้อยลงมาก…แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีล่ะนะ’
  หลังจากนั่งลง ต้วนหลิงเทียนก็นำขวดโอสถชิงเหยียน 1 ในสมบัติที่ได้จากมรดกสถานของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ออกมาเปิดเท ก่อนจะกลืนเม็ดยาทั้ง 6 ลงท้องรวดเดียว
  จากนั้นเขาก็เริ่มบ่มเพาะพลัง
  ด้วยมีหวงเอ้อเป็นผู้พิทักษ์ ต้วนหลิงเทียนก็ได้อุทิศตัวให้กับการดูดซับพลังของโอสถชิงเหยียนทั้ง 6 และบ่มเพาะพลังเพื่อให้บรรลุถึงราชาเทพขั้นกลาง
  ในระหว่างการบ่มเพาะฝึกฝน ต้วนหลิงเทียนก็ลืมเลือนวันเวลาไปโดยสิ้นเชิง
  พริบตาวันเวลาก็ล่วงเลยไปอีกเดือน
  ณ นิกายหมื่นปีศาจ
  “ท่านประมุข สายที่พวกเราให้แฝงตัวอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับได้ส่งข่าวมาว่า…หวูเฟิงได้กลับมาถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว”
  อาวุโสของนิกายหมื่นปีศาจคนหนึ่ง เร่งรุดเข้ามารายงานเรื่องราวให้ หลานชิง ประมุขนิกายหมื่นปีศาจรับทราบ
  หลานชิง อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วเป็นปมหลวม “แล้วต้วนหลิงเทียนเล่า?”
  “ยังไม่มีข่าวอันใด”
  อาวุโสนิกายหมื่นปีศาจส่ายหัว “อย่างไรก็ตาม หลายวันก่อนสายสืบของเราได้ส่งรายงานกลับมา ว่ามันยังมีชีวิตอยู่”
  “เว้นเสียแต่ มันจะถูกฆ่าเมื่อไม่กี่วันก่อน…ทำให้ไม่อาจกลับมาได้แล้ว”
  นิกายหมื่นปีศาจได้ส่งคนไปแฝงตัวเป็นสายอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ และสายเหล่านั้นก็พบแต่แรกว่าหวูเฟิงยังมีชีวิตอยู่ อนิจจาคนที่มีลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนมันมีแค่ไม่กี่คน หลังจากพยายามอยู่สักพัก ในที่สุดหลายวันก่อนจึงได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย
  “ไม่น่าจะเป็นไปได้”
  หลานชิงส่ายหัวไปมา ต้วนหลิงเทียนคนนั้นเป็นถึงศิษย์หลักขอบเขตเทพในรอบหมื่นปีของนิกายหมอกเร้นลับ แถมยังรอดชีวิตกลับออกมาจากเทพซ่อนได้ เช่นนั้นอยู่ๆจะมาตกตายเมื่อไม่กี่วันก่อนได้อย่างไร?
  “สมควรเป็นเพราะมันไม่คิดย้อนกลับมานิกายหมอกเร้นลับพร้อมกับหวูเฟิงมากกว่า”
  พอคิดถึงจุดนี้สองตาหลานชิงก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับอาวุโสว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าให้สายของพวกเราทำการยืนยันอีกรอบ ว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนยังอยู่หรือตายกันแน่”
  “ทราบแล้วท่านประมุข”
  หลังอาวุโสนิกายหมื่นปีศาจรับคำสั่ง หลานชิงก็โบกมือให้มันออกไป จากนั้นก็ออกจากโถงหลักมุ่งหน้าไปยังสถานที่พักของอาวุโสสูงสุดนิกายหมื่นปีศาจ ตู้จ้าน
  เป็นธรรมดาว่ามันไม่ได้มาหาตู้จ้าน
  มันมาหา กวงเทียนเจิ้ง
  อย่างไรก็ตามถึงแม้มันจะไม่ได้มาหาตู้จ้าน แต่ในเมื่อเป็นสถานที่พักบ่มเพาะของตู้จ้าน เช่นนั้นพอมันมาถึงไม่ทันไร ตู้จ้านก็ปรากฏตัวออกมาทันที “เป็นเช่นไร ได้เรื่องหรือไม่?”
  “อาจารย์อา”
  หลานชิงประสานมือคารวะตคู้จ้านก่อน ค่อยพยักหน้าตอบ “ได้เรื่องแล้ว”
  “ไปพบศิษย์พี่กับข้า”
  ตู้จ้านชวนหลานชิงเข้าไปพบศิษย์พี่ของมันทันที
  กวงเทียนเจิ้งที่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิเงียบๆในลานบ้าน พอตู้จ้านกับหลานชิงมาถึง มันก็ลืมตาขึ้นทันที
  “ศิษย์พี่ เจ้าหนูหลานชิงได้ข่าวมาแล้ว”
  ตู้จ้านที่มาถึงด้านนอกลานก็เอ่ยทักออกไปทันที
  “เข้ามาเถอะ”
  พอกวงเทียนเจิ้งตอบ ตู้จ้านกับหลานชิงที่หยุดลงนอกลาน ก็เข้ามาในลานทันที
  “พวกมันทั้งคู่ กลับนิกายหมอกเร้นลับแล้วรึ?”
  พอทั้งสองคนเข้ามา กวงเทียนเจิ้งก็มองถามหลานชิงเร็วไว สองตายังฉายแววเยียบเย็นขึ้นมา เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าฟันอันน่ากลัวนัก
  ถึงแม้เจตนาฆ่าฟันจะไม่ได้มุ่งเป้าไปที่หลานชิง แต่ก็ทำให้หลานชิงรู้สึกเสมือนตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง
  แม้ว่ามันจะเป็นจอมราชันเทพคนหนึ่ง แต่ก็ยังเป็นแค่จอมราชันเทพขั้นต่ำเท่านั้น
  แต่อาจารย์อาของมันคนนี้เป็นถึงจอมราชันเทพขั้นกลาง
  ในด่านพลังจอมราชันเทพ แม้จะเป็นแค่ขั้นย่อย แต่ความแตกต่างก็ประหนึ่งหุบเหวลึกยากข้ามผ่าน
  ต้องมาเผชิญหน้าตรงๆแบบนี้ มันย่อมรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา
  “อาจารย์อา หวูเฟิงกลับมาถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว”
  หลานชิงกล่าวตอบออกไปทันที
  “หวูเฟิง?”
  กวงเทียนเจิ้ง่นคิ้ว “แค่มันรึ?”
  “ใช่”
  หลานชิงพยักหน้า “มีแค่มันคนเดียวที่กลับมา ส่วนต้วนหลิงเทียนนั่นไม่ได้กลับมากับมัน”
  “ข้าเดาว่าต้วนหลิงเทียนมีธุระด้านนอกที่ต้องไปสะสางก็เลยยังไม่กลับ…แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่มันจะตกตายอยู่ด้านนอกเมื่อไม่กี่วันก่อนเช่นกัน”
  หลานชิงกล่าว
  “ตาย? ไม่กี่วันก่อน?”
  กวงเทียนเจิ้งส่ายหัวไปมา “ข้าคิดว่าเรื่องเช่นนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เจ้าให้สายที่แฝงตัวในนิกายหมอกเร้นลับสืบมาให้แน่ชัดเถอะ ว่ามันอยู่หรือตาย”
  “อาจารย์อา ข้าให้คนไปสืบข่าวแล้ว”
  พอหลานชิงกล่าวตอบ มันก็มองถามกวงเทียนเจิ้งด้วยสงสัยว่า “อาจารย์อา ในเมื่อหวูเฟิงกลับมานิกายหมอกเร้นลับแล้ว…ท่านจะลงมือจัดการมันเลยหรือไม่ หรือท่านจะรอให้ต้วนหลิงเทียนกลับมาก่อน”
  “ต้องรอให้ต้วนหลิงเทียนกลับมาก่อนเป็นธรรมดา”
  กวงเทียนเจิ้งกล่าวออกมาตรงๆ “หากไปนิกายหมอกเร้นลับตอนนี้ จะไปเพื่อฆ่าหวูเฟิก็ดีหรือเค้นความก็ดี แต่พวกเรามุ่งเป้าไปที่หวูเฟิงเช่นนั้น ไยมิใช่แหวกหญ้าให้งูตื่น ต้วนหลิงเทียนนั่นไม่พ้นต้องไหวตัวทันแน่”
  “รอยยืนยันจากสายเถอะ…หากต้วนหลิงเทียนนั่นตายไปแล้ว ข้าจะไปจัดการหวูเฟิงนั่นทันที แต่ถ้าต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย เช่นนั้นก็รอจัดการพวกมันพร้อมๆกัน”
  ท่าทีของกวงเทียนเจิ้งนั้นชัดเจนนัก
  ด้วยเหตุนี้ กวงเทียนเจิ้งกับคนอื่นๆ ก็ได้แต่เฝ้ารอให้สายในนิกายหมอกเร้นลับส่งข่าวเรื่องต้วนหลิงเทียนกลับมา
  และพวกมันก็ไม่ต้องรอนาน เพราะแค่ไม่กี่วัน ในที่สุดสายที่นิกายหมื่นปีศาจส่งไปแฝงตัวในนิกายหมอกเร้นลับ ก็ได้ส่งข้อความกลับมารายงานอีกครั้ง
  “ต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย!”
  เนื่องจากต้วนหลิงเทียนยังไม่ตาย เช่นนั้นสิ่งที่พวกมันต้องทำก็ชัดเจน
  รอ…
  รอฆ่าทั้งคู่พร้อมๆกัน!
  …
  ด้านต้วนหลิงเทียนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ไม่เพียงแต่ไม่ทราบเลยว่าวิกฤตกำลังรอคอยเขาอยู่ที่นิกายหมอกเร้นลับไม่ได้มีแต่หลงเซียวเท่านั้น แต่ยังมีอาวุโสฝ่ายในจากนิกายมังกรสวรรค์ ที่เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับอีกด้วย…
  ภายในถ้ำที่ขุดไว้ริมผา ต้วนหลิงเทียนยังคงบ่มเพาะพลังอย่างเงียบงัน มุ่งเน้นไปกับการย่อยและดูดซับพลังของโอสถชิงเหยียน
  และโอสถชิงเหยียนทั้ง 6 เม็ดที่เขากลืนลงท้องไป 3 เม็ดแรกนั้นใช้เวลาย่อยและดูดซับนานกว่า
  ส่วนโอสถชิงเหยียนอีก 3 เม็ดที่เหลือ เวลาที่ใช้ย่อยและดูดซับมัน ยังมีไม่ถึง 1 ใน 10 ของ 3 เม็ดแรกด้วยซ้ำ
  แม้แต่พลังที่ได้จากโอสถชิงเหยียน 3 เม็ดหลังยังน้อยนิดนัก น้อยถึงขั้น…ต้วนหลิงเทียนที่ย่อยพลังเสร็จแล้ว พอลืมตาขึ้นมาก็ได้แค่คลี่ยิ้มแหยๆกล่าวบ่นทันที “หากรู้ว่าพลังของโอสถชิงเหยียนที่จะได้หลังใช้ไป 3 เม็ดแล้วมันน้อยจนน่าอนาถขนาดนี้ ข้าไม่น่ากินลงไปให้เสียของจริงๆ…”
  เรื่องนี้เขาคิดไม่ถึงจริงๆ
  เดิมทีเขาคิดว่า จะเลวร้ายแค่ไหน แต่โอสถชิงเหยียนเม็ดที่ 4 ขึ้นไป ก็น่าจะมอบพลังให้เขาได้บ้าง พอรวมๆกัน 3 เม็ดก็น่าจะทำให้ระดับพลังในร่างเขาสูงขึ้นพอสมควร
  อนิจจาความฝันนั้นเลิศหรู แต่พอดูความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก
  แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ไม่ทันไรก็เลิกสนใจ เพราะสุดท้ายแล้วจะให้เสียดายหรือเสียใจไปแค่ไหน ของก็กินไปแล้ว ไม่อาจย้อนคืน
  เช่นนั้นคิดไปก็ป่วยการเปล่าๆ
  ‘จะอย่างไรก็ตาม หลังจากทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว คิดจะบ่มเพาะสั่งสมพลังเพื่อทะลวงด่านกลับทำได้ช้ากว่าเดิมมาก แม้จะใช้โอสถชิงเหยียนไปแล้ว 6 เม็ด แต่ระดับพลังในร่างของข้ายังไม่ถึงครึ่งก่อนที่จะเริ่มทะลวงจุดรอคอยสุดท้ายสู่ราชาเทพขั้นกลางด้วยซ้ำ อย่างดีก็มีแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น’
  ‘แถมนี่ยังเป็นโอสถชิงเหยียน ที่ร่ำลือกันว่าเป็น 1 ใน 3 โอสถที่ดีที่สุด ที่คนในขอบเขตราชาเทพสามารถใช้ในการบ่มเพาะพลังแล้ว…’
  หลังต้วนหลิงเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขาก็หันไปถามจิตวิญญาณกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนอย่างหวงเอ้อว่า “หวงเอ้อ คราวนี้ข้าปิดด่านบ่มเพาะไปนานแค่ไหนหรือ?”
  “3 เดือนกับ 21 วัน”
  หวงเอ้อก็กล่าวตอบต้วนหลิงเทียนที่ที ยังบอกละเอียดถึงหน่วยวัน
  “เกือบ 4 เดือนเลยหรือ?”
  ต้วนหลิงเทียนตกใจอยู่บ้าง เพราะเขาไม่คิดเลยว่าการปิดด่านบ่มเพาะพลังครั้งนี้จะกินเวลานาน
  ต้องทราบด้วยว่าในตอนที่เขาใช้ผลเทพโชคลาภก็ดี หรือใช้โอสถกู้เปิ่นเพื่อควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงก็ดี แต่ละอย่างใช้เวลาแค่เพียงวันเดียวเท่านั้น แถมผลที่ได้ยังไม่ต่างอะไรจากเดินทางพันลี้ในพริบตา…
  แต่อันที่จริงแล้ว ผลลัพธ์จากการปิดด่านครั้งนี้ มันไม่ได้นานอะไรเลย แค่ต้วนหลิงเทียนคิดว่ามันนานเท่านั้น
  ‘ดูเหมือนว่าเส้นทางการบ่มเพาะในขอบเขตราชาเทพ จะใช้เวลานานเกินกว่าขอบเขตเทพจะเทียบได้…’
  ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนเองก็เคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้มาแล้ว แต่พอมาประสบถึงความต่างกับตัว ยังอดตกใจไม่ได้
  ไม่น่าแปลกใจเลย ที่ในระนาบเทพ มีก็แต่ตัวตนระดับราชาเทพเท่านั้น ที่ถือว่าเป็น ‘ผู้เข้มแข็ง’
  ในเมื่อไม่มีโอสถชิงเหยียนหรือทรัพยากรช่วยบ่มเพาะอื่นๆแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะบ่มเพาะพลังต่อ
  ‘ตอนนี้จะกลับไปนิกายหมอกเร้นลับเลยดี…หรือว่าจะไปหาที่พักใกล้ๆตระกูลหลิงหูเพื่อสืบข่าว กระทั่งหาโอกาสเข้าพบหลิงหูชูยินคนนั้นก่อนดี?’
  ต้วนหลิงเทียนนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ทันไร เขาก็ตัดสินใจได้ทันที
  ไปพักใกล้ๆตระกูลหลิงหูก่อน!
  พอคิดว่าหลิงหูชูยิน อาจเป็นเค่อเอ๋อที่สูญเสียความทรงจำ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจสงบจิตใจได้
  …
  ตระกูลหลิงหูเป็นตระกูลระดับจอมราชันเทพ พลังอำนาจก็ไม่ได้ด้อยไปกว่านิกาหมอกเร้นลับกับบนิกายหมื่นปีศาจแต่อย่างใด
  หากยึดจากเมืองจวินหลิงที่ต้วนหลิงเทียนเคยไป นิกายหมอกเร้นลับจะตั้งอยู่ทางตะวันออก นิกายหมื่นปีศาจจะตั้งอยู่ทิศใต้ และตระกูลหลิงหูจะอยู่ทิศเหนือ
  ส่วนทางทิศตะวันตกนั้น หากมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ไม่นานก็จะพบเจอนิกายมังกรสวรรค์
  และนิกายมังกรสวรรค์ยังเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจรวมถึงตระกูลหลิงหู ทั้ง 3 ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพได้ส่งอัจฉริยะเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์มานานแล้ว
  ด้วยเหตุนี้ ไม่ได้มีแต่นิกายหมอกเร้นลับกับนิกายหมื่นปีศาจเท่านั้น ที่มีผู้สนับสนุนอันแข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ตระกูลหลิงหูเองก็ไม่ต่างกัน
  อย่างไรก็ตามในเมื่อมันเป็นขุมกำลังประเภทตระกูล เช่นนั้นสถานที่ตั้งของตระกูลหลิงหูก็แตกต่างจากสถานที่ตั้งนิกายหมื่นปีศาจกับนิกายหมอกเร้นลับที่ตั้งอยู่ในสถานที่โดดเดี่ยว เพราะมันตั้งอยู่ในเมืองอันคึกคักเมืองหนึ่ง
  และเมืองแห่งนี้ก็มีชื่อว่า เมืองหลิงหู!
  อันที่จริงเมืองนี้ ก็เป็นตระกูลหลิงหูสร้างขึ้น ช่วงแรกๆยังเริ่มขยับขยายเป็นเมืองโดยยึดตระกูลหลิงหูเป็นศูนย์กลาง
  ในแง่ของขนาดเมืองแล้ว เมืองหลิงหูก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองจวินหลิงแม้แต่นิดเดียว และมีขนาดใหญ่กว่าเมืองวายุสวรรค์หรือเมืองอื่นๆในระนาบเทพที่ต้วนหลิงเทียนเคยไปมาก่อนหลายเท่าตัว
  “ตระกูลหลิงหู…”
  ด้วยความเร็วในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน เขาใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ครึ่งเดือนก็บรรลุถึงเมืองหลิงหูแล้ว
  หลังจากที่มาถึงเมืองหลิงหู สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนกระทำก็คือยืนยันสถานที่ตั้งของตระกูลหลิงหูในเมือง
  หลังจากสอบถามไปซักพัก ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ว่า
  ตระกูลหลิงหูนั้นถือว่าตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของเมืองหลิงหู และจวนของตระกูลหลิงหูก็กินพื้นที่ไปถึง 1 ใน 5 ของพื้นที่เมืองหลิงหู!