ตอนที่ 3,726 : ต้วนหลิงเทียนเล่าเรื่อง
“ให้ข้าลองไหม?”
พอได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน ทุกคนในโรงน้ำชาก็ผะไปทันที
กระทั่งหลิงหูอวิ๋น นายน้อย 4 แห่งตระกูลหลิงหู กับชายชราผู้ติดตามที่นั่งอยู่ในห้องกั้นอีกด้านของโถงก็อดไม่ได้ที่จะผงะไปเล็กน้อย กับเรื่องราวที่อยู่ๆก็เกิดขึ้นด้านนอก
จนเมื่อต้วนหลิงเทียนขึ้นไปนั่งไขว่ห้างบนเวทีเล็กๆแล้วทุกคนค่อยดึงสติกลับมาได้
“เจ้าหนุ่มนั่นบอกว่าจะลองรึ?”
“มันจะเล่าเรื่องให้พวกเราฟัง?”
…
ภายในโรงน้ำชาท่องเมฆ ทุกสายตาล้วนจับจ้องมองไปยังร่างต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาแปลกๆ ยังสงสัยกันไม่น้อย
เพราะชายหนุ่มในชุดสีม่วงคนนี้หน้าตาหล่อเหลา ลักษณะแลดูไม่ธรรมดาสามัญเลย ไหนจะแลดูมอซอเหมือนเหล่าวณิพกพเนจรที่ถูกจ้างมาให้เล่าเรื่องราวในโรงน้ำชา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทุกคนจะสงสัยแคลงใจขนาดไหน ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเล่าเรื่องราวออกมาแล้ว “กาลครั้งหนึ่งในสมัยบรรพกาล ก่อนที่สรรพสิ่งจะถือกำเนิด มีก็แต่ความโกลหล…จนวันหนึ่ง ในที่สุดก็อุบัติยักษ์นามผานกู่ขึ้นมาท่ามกลางความโกลาหลแรกเริ่ม…ผานกู่อาศัยหนึ่งขวานเบิกฟ้า สับผ่านความโกลาหลจนแยกตัวออกเป็นฟ้าดิน…”
“หลังใช้หนึ่งขวานเบิกฟ้า จนอุบัติฟ้าดินแล้ว ผ่านกู่ก็ได้ร่วงหล่น…เลือดของมันกลายเป็นขุนเขา ทะเล…ฯลฯ”
พอต้วนหลิงเทียนเปิดปากเล่าเรื่อง เขาก็เกริ่นเรื่องผานกู่สร้างโลกในชีวิตก่อนออกมาทันที และพอเขาเริ่มเล่าเรื่องราวออกมา สายตาคลางแคลงสงสัยของทุกคนก็หายไป ถูกความเพลิดเพลินเข้ามาแทนที่
หลังผ่านไปครึ่งชั่วโมง ต้วนหลิงเทียนก็เล่าเรื่องผานกู่สร้างโลกจบ และถึงเรื่องที่เขาเล่าจะเป็นแค่เรื่องคร่าวๆ แต่ทุกคนในโรงน้ำชายังคงหลงใหลในเรื่องราว จนเหม่อคิดจินตนาการไปเรื่อย
หนึ่งขวานเบิกฟ้า?
ร่างกายที่ร่วงหล่นก่อเกิดสรรพสิ่งในโลก?
นี่มันความสำเร็จระดับไหน?
บุรุษทุกคนย่อมมีความใฝ่ฝันอยากเป็นวีรบุรุษผู้กล้า หมายทิ้งนามไว้ทั้งนั้น พอพวกมันลองนึกภาพตัวเองเป็นผานกู่ ก็ทำให้ทั่วร่างเต็มไปด้วยความฮึกเหิมขึ้นมาทันที
สุดท้ายหลังจากสูดลมหายใจเข้าไม่กี่ครั้ง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ตบโต๊ะดัง ‘ปัง’ ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ต้วนหลิงเทียน “เล่าได้ดี!!”
“น้องชาย ไม่คิดเลยว่าเจ้าที่แลดูหนุ่มแน่นทั้งหล่อเหลาไม่คล้ายวณิพกพเนจรอันใด แต่กลับเล่าเรื่องราวได้วิเศษนัก!”
“ใช่ๆๆ!”
คนอื่นๆก็ถูกเสียงตบโต๊ะของชายวัยกลางคนปลุกสติให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นก็เริ่มซุบซิบคุยกัน “เกิดเป็นชายชาติ สมควรเอาเยี่ยงผานกู่! เบิกฟ้า สร้างโลก ก่อเกิดสรรพสิ่ง!!”
“มารดามัน พอดีอาวุธที่ข้าใช้ก็เป็นขวานด้วย ดูเหมือนข้านับว่ามองการณ์ไกลไม่น้อย ฮ่าๆๆ…มองยย้อนกลับไปในอดีตครั้งข้ายังหนุ่ม ข้าก็ได้สร้างกระบวนท่าของข้าเองเรียกว่า ขวานสะบั้นฟ้าดิน!”
“เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ก็นับว่าสร้างแรงบันดาลใจขยายจินตนาการ ทำให้รู้สึกเลือดในกายมันพุ่งพล่านขึ้นมานัก!”
…
อันที่จริงเรื่องผานกู่สร้างโลกที่ต้วนหลิงเทียนเล่าออกมา ก็เป็นเพียงความคิดชั่ววูบของต้วนหลิงเทียนเท่านั้น และมันถือเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ผลตอบรับมันดีเกินคาด
แม้แต่ชายวัยกลางคนที่เป็นเถ้าแก่โรงน้ำชาเอง ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคึกคักขึ้นมา จากนั้นคล้ายมันฉุกคิดอะไรได้ จึงหันกลับไปมองยังห้องด้านหนึ่งของโถงที่กั้นไว้ด้วยม่านผ้าโดยไม่รู้ตัว
เพราะในตอนนี้เอง นายน้อย 4 แห่งตระกูลหลิงหูของมัน หลิงหูอวิ๋น ได้ส่งเสียงผ่านพลังมาถึงมันว่า “เจ้าให้ผู้อื่นเล่าเรื่องต่อเร็ว หากยังรักษาความน่าสนุกของเรื่องราวเช่นนี้ไว้ได้…พวกเราก็ให้เงินเดือนมันเป็น 3 เท่าของปกติเถอะ”
“ทราบแล้วนายน้อย”
เถ้าแก่วัยกลางคนรีบรับคำด้วยเคารพ จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มสดใสว่า “สหายน้อยท่านนี้ ยังมีเรื่องใดอีกหรือไม่?”
“มีสิ”
เผชิญกับความกระตือรือร้นของเถ้าแก่วัยกลางคน ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มรับ จากนั้นก็หันไปมองห้องที่กั้นไว้ด้วยผ่าม้าโดยไม่รู้ตัว และเพราะมันกั้นไว้ด้วยม่านผ้าบางๆ ทำให้ต้วนหลิงเทียนพอจะแลเห็น 2 คนด้านในได้
หลังจากนั้น ท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคนในโรงน้ำชาท่องเมฆ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเล่าเรื่องออกมาสืบต่อ
และคราวนี้เรื่องที่เขาเล่าก็เป็นเรื่องยาว เพราะมันเป็นนิยายที่แต่งโดยนักเขียนคนโปรดในชีวิตที่แล้วของเขา ซึ่งเล่าขานเรื่องราวของเซียนอมตะในตำนานหนึ่ง จนหลังจากได้มีโอกาสใช้ชีวิตที่ 2 เขาก็เริ่มคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องจริง
เพราะทุกสิ่งอย่างในนิยาย กลับมีร่องรอยของผู้ฝึกตนที่ประสบความสำเร็จอยู่
หากทุกอย่างเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นไม่แน่บางทีเขาอาจจะได้พบเจอตัวตนในเรื่องราว
และท่ามกลางสายตาคาดหวังของทุกคน ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเล่าเรื่องราวออกมา “ในระนาบโลกียะแห่งหนึ่ง มีดาวเคราะห์เล็กๆที่เรียกว่า ‘โลก’ มันเป็นดาวเคราะห์สีฟ้าที่งดงามดังมณี อยู่มาวันหนึ่งปรากฏชายชราในชุดนักพรตท่องทะยานข้ามผ่านท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยหมู่ดาว เดินทางจากดาวเคราะห์อันไกลห่างมากับชายหนุ่มคนหนึ่ง…หลังจากนั้นนักพรตเต๋าก็ให้ชายหนุ่มได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ผันผ่านความงดงามและความขมขื่นทุกข์ระทมของชีวิตบนโลก…อย่างไรก็ตามในที่สุดชายหนุ่มก็ได้ฟันฝ่าข้ามผ่านวันเวลานับพันปี จนกลายเป็นตัวตนที่ดำรงอยู่ ณ จุดสูงสุดของทั้งจักรวาล กลายเป็นสุดยอดสิ่งมีชีวิตที่ไร้ใดเสมอเหมือน ห่างจากการบรรลุถึงเซียนอมตะเพียงแค่ก้าวเดียว…”
“อย่างไรก็ตาม กลับเกิดอุบัติเหตุหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มได้ย้อนเวลากลับมาเมื่อพันปีก่อน”
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกำลังเล่า เป็นเรื่องราวในนิยายของนักเขียนที่เขาชอบที่สุดในชีวิตก่อนหน้า และนิยายที่เขาชอบที่สุดเรื่องนี้เรียกว่า มหาจักรพรรดิตงหวง กล่าวได้ว่าตอนนั้นเขาเผลออ่านไปได้ไม่ทันไรก็ติดงอมแงม จนลืมเวลาทำให้ภารกิจเกือบล้มเหลว
เช่นนั้นความน่าสนใจของนิยายเรื่องมหาจักรพรรดิตงหวงเป็นเช่นไรก็พอจะทราบได้
ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่ากระทั่งนิยายที่ทำให้เขาติดจนไปทำภารกิจสาย ไม่พ้นต้องทำให้ทุกคนในโรงน้ำชาติดกันงอมแงมแน่…และจุดประสงค์ของเขาก็คือทำให้นายน้อย 4 แห่งตระกูลหลิงหูหลงใหลไม่อาจถอนตัวออกมาจากเรื่องราวได้!
ทุกคนในโรงน้ำชาฟังไปเพลินๆ ไม่ทันรู้ตัวก็เริ่มมืดค่ำแล้ว
“วันนี้ ข้าขอพักไว้ตรงนี้ก่อนแล้วกัน”
ต้วนหลิงเทียนที่เริ่มเล่าเรื่องราวตั้งแต่บ่าย ในที่สุดก็หยุดลง มองกล่าวกับทุกคนที่นั่งมองฟังเขาอย่างเคลิบเคลิ้มด้วยรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตามพอเขากล่าวว่าจะพักออกมา ทุกคนก็ดึงสติกลับมาทันที ยังเร่งรบเร้าต้วนหลิงเทียนเป็นการใหญ่ “ไอ้หยาน้องชาย เจ้าหยุดตอนนี้ไม่ได้นา! พวกเรายังค้างอยู่เลย! ที่แท้มันจะเป็นอย่างไรต่อไปเล่า? ตกลงเรื่องล้างแค้นเฉินตันตันทำได้สำเร็จหรือไม่เล่า!?”
“ใช่แล้วน้องชาย รีบเล่าต่อเร็ว! ข้าอยากรู้จริงๆว่าโจวตงหวงจะทำให้เฉินตันตันสำนึกเสียใจได้หรือไม่!?”
“นั่นสิน้องชาย รีบเล่าต่อเถอะ…ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายโจวตงหวงจะได้พบเจอบิดามารดาแท้ๆของมันหรือไม่? แล้วใช่จะช่วยเหลือได้สำเร็จรึเปล่า?”
…
เรียกว่าบรรยากาศในห้องโถงตอนนี้มันเดือดระอุแล้วจริงๆ แขกนับโหลรวมถึงแขกที่โต๊ะด้านหน้าทั้ง 3 พากันรบเร้าให้ต้วนหลิงเทียนเล่าต่อ และหวังว่าต้วนหลิงเทียนจะเล่าให้จบเรื่องไปเลย พวกมันจะได้ไม่ค้าง
“เถ้าแก่…”
ต้วนหลิงเทียนได้แต่หันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งเป็นเถ้าแก่ของโรงน้ำชาท่องเมฆแห่งนี้ว่า “ปกติยามนี้ เหมือนโรงน้ำชาท่องเมฆของท่านจะปิดแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลังได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน เถ้าแก่โรงน้ำชาก็กลับมารู้สึกตัว มันเองก็ติดเรื่องราวที่ต้วนหลิงเทียนเล่างอมแงมเช่นกัน ยังอยากให้อีกฝ่ายเล่าโต้รุ่งข้ามวันให้จบไปเลย
แต่พออีกฝ่ายได้ยินคำถามดังกล่าว มันก็เริ่มลังเล
สุดท้ายพอเห็นสายตาแน่วแน่ของอีกฝ่าย เถ้าแก่ก็ได้แต่กัดฟันกล่าวบอกทุกคนในโถงว่า “ลูกค้าทุกท่าน ตอนนี้ถึงเวลาที่โรงน้ำชาท่องเมฆของเราจะปิดแล้ว เชิญลูกค้าทุกท่านกลับไปก่อนเถอะ”
“หลังจากนี้ข้าจะหารือกับน้องชายท่านนี้อย่างดี และพยายามให้น้องชายท่านนี้มาเล่าเรื่องราวที่โรงน้ำชาท่องเมฆของพวกเราตั้งแต่พรุ่งนี้…”
พอได้ยินคำพูดของเถ้าแก่โรงน้ำชาท่องเมฆ ตอนแรกพวกมันก็ไม่พอใจอยู่บ้าง แต่พอได้ยินประโยคหลัง สองตาของพวกมันก็กลับมาลุกวาวอีกครั้ง “เถ้าแก่ ท่านต้องสู้เพื่อรั้งตัวน้องชายท่านนี้ไว้ให้ได้นา! หากน้องชายท่านนี้เต็มใจเล่าเรื่องราวในโรงน้ำชาท่องเมฆของท่านต่อ พรุ่งนี้ข้าจักพาสหาย 5 คนมาอุดหนุน!”
“เถ้าแก่ พรุ่งนี้ข้าจักพาคนมาฟัง 10 คน!”
“เถ้าแก่ หากพรุ่งนี้ข้ามาแล้วไม่เจอน้องชายท่านนี้ ต่อไปข้าจะไม่มาร้านน้ำชาท่านชั่วชีวิต!”
…
ก่อนจะแยกย้ายกันกลับอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แขกกว่าโหลในร้านน้ำชาท่องเมฆ ก็หันไปกล่าวคำกับเถ้าแก่ บ้างก็ให้กำลังใจ บ้างก็ข่มขู่ ทำให้เถ้าแก่ร้านอดอึ้งไปไม่ได้
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงเรื่องราวที่ชายหนุ่มชุดม่วงเล่าออกมา มันก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของทุกคน
กระทั่งมันเองก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป
ไม่นานนักแขกกว่าโหลของโรงน้ำชาท่องเมฆก็ทยอยกันออกไปจนหมด เถ้าแก่ก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อปิดประตู ก่อนจะหันมามองถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “น้องชายท่านนี้ ไม่ทราบให้ข้าเรียกว่าอย่างไรดี?”
“ต้วนหลิงเทียน”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดปกปิดตัวตน และในแผนที่เขาวาดไว้ เขาก็จำเป็นต้องใช้ตัวตนที่แท้จริง
“ต้วนหลิงเทียน?”
เถ้าแก่ร้านน้ำชาท่องเมฆอึ้งไปเล็กน้อย เพราะมันรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นๆหูอย่างไรชอบกล แต่ปุบปับกลับนึกไม่ออก
ในขณะเดียวกัน
ภายในห้องที่กั่นไว้ด้วยม่านผ้า หลิงหูอวิ๋น นายน้อย 4 แห่งตระกูลหลิงหูก็แลดูงุนงง “ต้วนหลิงเทียน? ชื่อนี้เหมือนข้าจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ได้ยินมาจากที่ไหนกันนะ?”
“ที่แท้เป็นมัน!”
ทันใดนั้นเอง ชายชราที่นั่งข้างๆหลิงหูอวิ๋นกลับโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ท่านปู่ซวน ท่านรู้จักมันหรือ?”
หลิงหูอวิ๋นหันไปมองถามชายชราด้วยความสงสัย
“เจ้าหนูอวิ๋น เจ้ายังจำข่าวจากเมืองจวินหลิงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนได้หรือไม่?”
ชายชราคลี่ยิ้พลางถาม
และด้วยการเกริ่นของชายชรา ในใจหลิงหูอวิ๋นก็คล้ายมีประกายแสงหนึ่งสว่างขึ้น สองตายังเป็นประกายขึ้นทันที “ข้านึกออกแล้ว!”
“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนแม่เฒ่าชิงเจ๋อกับเปี่ยวเม่ยชูยินได้ไปเมืองจวินหลิงด้วยกัน…แต่กลับโดนศิษย์คนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับคนหนึ่งโดดมาขวางทาง! และเห็นว่าศิษย์คนนั้นที่แท้ก็เป็นถึงศิษย์หลักขอบเขตเทพในรอบหมื่นปีของนิกายหมอกเร้นลับ!”
“มันเรียกว่าต้วนหลิงเทียน!”
“ที่แท้เป็นชายหนุ่มผู้นี้!!”
หลิงหูอวิ๋นหันไปมองจ้องชายหนุ่มชุดม่วงหลังม่านที่อยู่บนเวทีอีกฝั่งของห้องโถงด้วยความประหลาดใจ “ข้าไม่คิดเลยว่ามันไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์และความเข้าใจสูงส่ง แต่กลับรู้วิธีเล่าเรื่องราวให้น่าสนใจถึงขนาดนี้…”
“ช่างเก่งกาจรอบด้านจริงๆ”
กล่าวถึงประโยคสุดท้าย สองตาหลิงหูอวิ๋นก็ฉายแววชื่นชมออกมา
“เจ้าหนูอวิ๋น เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มต้วนหลิงเทียนนั่น มันมาที่โรงน้ำชาท่องเมฆของพวกเราเพื่อเล่าเรื่องราวจริงๆหรือ?”
ชายชรามองผ่านม่านผ้าไปยังร่างชุดม่วงด้วยสายตาล้ำลึก มุมปากยังเริ่มยกยิ้มแสยะเย้ยหยันขึ้นมา
“ท่านปู่ซวน…ท่านหมายถึง…มันมานั่งดื่มสุราโดยไม่ได้มุ่งเสพรสชาติของสุรารึ?”
หลิงหูอวิ๋นไม่ใช่คนโง่ หลังได้ยินชายชราเอ่ยถามมาแบบนี้ มันก็ฉุกคิดได้ทันที “อย่างมัน ไม่มีทางขาดแคลนหินเทพเล็กน้อยที่จะได้จากโรงน้ำชาท่องเมฆของพวกเราอยู่แล้ว…ดูเหมือนจุดประสงค์ของมันก็คือการเข้าหาข้า”
ได้ยินคำพูดของหลิงหูอวิ๋น ชายชราก็หันกลับมาพยักหน้า จากนั้นก็หันกลับไปมองชายหนุ่มชุดม่วงลอดม่านผ้า พลางหยีตากล่าวว่า “ข้าเชื่อว่า 9 ใน 10 ส่วน มันคิดใช้ท่านเป็นสะพานไปหายาโถวชูยิน”
“น่าสนใจ….”
หลิงหูอวิ๋นคลี่ยิ้ม จากนั้นก็ส่งเสียงผ่านพลังไปหาเถ้าแก่ร้านที่ยังคงเจรจากับต้วนหลิงเทียนอยู่ “พามันมานี่ บอกว่าข้าอยากพบมัน”
เถ้าแก่โรงน้ำชาท่องเมฆอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็ดึงสติกลับมาได้เร็วไว หันไปกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย พอดีนายน้อยของพวกเราพอใจเจ้ามาก…”