สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้ว โลกใบเล็กภายในกายของเขาคือสถานที่ลับสุดยอดในชีวิต
ความลับที่ซ่อนอยู่ด้านใน ไม่ว่าจะพฤกษาเทพกำเนิดชีพก็ดี เทพเบญจธาตุก็ดี เมื่อถูกเปิดเผยออกมา สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือความตายสถานเดียว ยังจะตายไร้ที่ฝังอีกด้วย!
เพราะนอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครต้านทานสิ่งล่อใจเช่นนี้ได้
กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่สุดเองก็อาจถูกล่อลวงเช่นกัน…เพราะของเหล่านี้แม้ตัวผู้แข็งแกร่งที่สุดจะไม่ได้ใช้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าญาติของผู้แข็งแกร่งที่สุดไม่ต้องการ
อย่างน้อยๆต้วนหลิงเทียนที่ลองสวมรองเท้าผู้แข็งแกร่งที่สุดดู
(สวมรองเท้า ในที่นี้คือคิดในมุมมองอีกฝ่าย)
ก็บอกได้ว่า ถึงเขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดและไม่จำเป็นต้องใช้ของเหล่านั้น แต่เขาก็ต้องอยากได้มันไว้เพื่อมอบให้ภรรยา ลูกๆ กระทั่งบิดามารดาของเขาอย่างแน่นอน
เช่นนั้นพอได้ยินหลิงหูเหิงบอกว่า สามารถเข้าไปในนิกายหมอกเร้นลับได้เอง ต้วนหลิงเทียนจึงระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที
หลังจากนั้นตลอดการเดินทาง ต้วนหลิงเทียนก็เลือกจะนั่งขัดสมาธิหลับตาเพื่อพักผ่อน
พริบตาเดียว ครึ่งวันก็ผ่านไป
“ถึงแล้ว”
พอเสียงของหลิงหูเหิงดังขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองออกไปด้านนอกเรือเหาะ จึงตระหนักได้ทันทีว่าได้มาถึงละแวกใกล้เคียงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว
ขณะเดียวกัน ด้านหลิงหูฮวนก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน สองตาที่เคยพร่ามัวแต่เดิม บัดนี้กลับฉายประกายแหลมคมเรืองขึ้นวาบหนึ่ง
“เจ้าหนุ่ม”
หลิงหูเหิงหันมามองต้วนหลิงเทียน แก้มย้วยๆของมันบัดนี้แลดูขึงขังขึ้นหลายส่วน “ขณะเจ้ากลับเข้าไปในนิกาย พวกเราจะลอบติดตามเจ้าไปติดๆ”
“หากไม่มีผู้ใดเปิดค่ายกลก่อน พวกเราเองก็ไม่อาจบุกเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เพราะนั่นจะทำให้นิกายหมอกเร้นลับรู้ตัว ”
“แต่ด้วยมีเจ้านำเข้าไปก่อน พวกเราสามารถลบกลิ่นอายทั้งซ่อนตัวติดตามเจ้าเข้าไปได้…ถึงตอนนั้นเว้นเสียแต่จะมีตัวตนระดับจอมราชันเทพอยู่ใกล้ๆ ก็เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถพบเจอพวกเราได้”
ได้ยินคำนัดแนะของหลิงหูเหิง ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้า
อันที่จริงแล้วเขาก็กำลังสงสัยอยู่เชียว ว่าแฝดเฒ่าเหิงฮวนคู่นี้จะเข้าไปในนิกายหมอกเร้นลับได้อย่างไร สุดท้ายแล้วนิกายหมอกเร้นลับก็มีค่ายกลที่สืบทอดมาหลายปี แม้พลังฝีมือของแฝดเฒ่าเหิงฮวนจะกล้าแข็ง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะบุกเข้าไปโดยไม่กระตุ้นค่ายกล
ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหลิงหูเหิง ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคิดใช้เขาต่างใบเบิกทาง
กลวิธีที่ทั้งคู่คิดจะใช้ก็ไม่มีอะไรมาก อาศัยจังหวะที่เขาใช้ป้ายประจำตัวเปิดทางเข้าออกของค่ายกล อีกฝ่ายก็จะพุ่งตามเขามาติดๆดั่งเงา
หลังจากหลิงหูเหิงเก็บเรือเหาะไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าจะหลิงหูเหิงก็ดีหลิงหูฮวนก็ดี ร่างทั้ง 2 ค่อยๆพร่าเลือนหายไปราวภาพมายา สุดท้ายคนก็คล้ายระลอกน้ำที่กระเพื่อมแผ่วเบากลางอากาศเท่านั้น
‘กฏแห่งน้ำ?’
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ทันที ว่าทั้งคู่ได้ใช้พลังของกฏแห่งน้ำในการพรางตัว และเป็นเพราะเขาอยู่ใกล้ทั้งคู่มากจึงสังเกตเห็น หากอยู่ใกล้ๆเกรงว่าคงไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลย
“ไปเถอะ”
เสียงผ่านพลังของหลิงหูเหิงดังขึ้นในหู “ตอนเข้าไป เจ้าอย่าได้มองย้อนกลับมาเล่า ข้าเกรงว่าจะมีคนเอะใจ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ จากนั้น ก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังนิกายหมอกเร้นลับ
ด้วป้ายประจำตัวของศิษย์หลัก ต้วนหลิงเทียนย่อมสามารถผ่านเข้าออกค่ายกลของนิกายหมอกเร้นลับได้ง่ายดาย โดยไม่พบเจออุปสรรคใดๆ
หลังเข้ามาในนิกายหมอกเร้นลับได้แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มุ่งหน้ากลับไปบ้านพักเขาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ได้คิดจะซ่อนตัวใดๆ
“เฮ่! นั่นต้วนหลิงเทียนมิใช่รึ?”
“เป็นต้วนหลิงเทียนจริงๆ…กลับมาแล้วหรือ?”
…
การกลับมาของต้วนหลิงเทียน ย่อมเป็นจุดสนใจของหลายๆคน เพราะหลายคนไม่ได้ข่าวคราวต้วนหลิงเทียนมาสักพักแล้ว และยังรู้กันว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ
ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังรู้อีกด้วยว่าศิษย์หลักอย่าง หลงเซียว กำลังตามหาต้วนหลิงเทียนอยู่ และเรื่องที่หลงเซียวไปตามหาต้วนหลิงเทียนถึงเมืองจวินหลิงก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
ส่วนเหตุผลที่ไฉนหลงเซียวต้องไปตามหาต้วนหลิงเทียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่อง แต่หลายๆคนก็พอเดาได้จากทีท่าของหลงเซียว ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
‘ข้ากลับมาโจ่งแจ้งแบบนี้…อีกไม่นานหลงเซียวก็คงรู้กระมัง’
หลังต้วนหลิงเทียนกลับมาถึงสถานที่พักของเขา มุมปาก็ยกยิ้มแสยะขึ้นมา
ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับมา เขาก็ได้รับข้อความจากหวูเฟิง อีกฝ่ายได้แจ้งเรื่องที่หลงเซียวไปตามหาเขาถึงเมืองจวินหลิง กระทั่งยังระดมกำลังตามหาเขาจนวุ่นวายไปหมด
และก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคิดไม่มีผิด
ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนย่างเท้าเข้ามาในนิกายหมอกเร้นลับ สายของหลงเซียวที่คอยเฝ้าอยู่ ก็เร่งรุดแจ้งข่าวให้หลงเซียวทราบทันที
“ต้วนหลิงเทียน!!”
หลงเซียวยังไม่ทันเดินทางมาถึงที่พักของต้วนหลิงเทียน หากทว่าน้ำเสียงเดือดดาลที่ดังสนั่นปานฟ้าร้องของมันก็นำมาแต่ไกล แถมยังดังจนทำให้ศิษย์หลักที่อยู่ในบ้านหูอื้อไปตามๆกัน
จากนั้นเงาร่างผู้คนก็พากันเหินพุ่งออกมาจากบ้านพักทั่วทิศ และพวกมันก็คือศิษย์หลักเหมือนต้วนหลิงเทียน
“เสียงเมื่อครู่…เป็นของศิษย์พี่หลงเซียวกระมัง?”
“อืม เป็นเสียงหลงเซียวจริงๆ”
“ข้าได้ยินว่าหลงเซียวมันไปตามหาต้วนหลิงเทียนถึงเมืองจวินหลิงยกใหญ่ ตอนนี้อยู่ๆก็โพล่งดังขนาดนั้น หรือต้วนหลิงเทียนจะกลับมาแล้ว?”
“ข้าพึ่งถามเพื่อนมา เห็นว่าต้วนหลิงเทียนกลับมาแล้วจริงๆ”
…
หลังเหล่าศิษย์หลักพากันออกมาชมดู ก็ทันเห็นร่างหลงเซียวเหินลัดข้ามฟ้ามาด้วยความเร็วพอดี
หลงเซียวตอนนี้ สีหน้าแลดูดุร้ายถมึงทึงนัก สองตามันมองจ้องไปยังจวนหลังหนึ่งในเขตที่พักศิษย์หลักไม่วางตา พลังเทพยังพุ่งพล่านพร้อมปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ
ท่ามกลางสายตาชมมองของทุกคน ร่างต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆก้าวขึ้นฟ้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นก็มองไปยังหลงเซียวที่อยู่ไกลๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “ศิษย์พี่หลงเซียว ไม่ทราบมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนแลดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆทั้งสิ้น
“ต้วนหลิงเทียน หลังจากหดหัวอยู่ด้านนอกเสียนาน ในที่สุดเจ้าก็กล้ากลับมาแล้ว?”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนแลดูไม่ยี่หระ คิ้วหลงเซียวก็ขดย่นเป็นปม ขณะเดียวกันใจก็เริ่มเอะใจ จากนั้นสำนึกเทวะก็แผ่กวาดออกมาจากร่างไปทางต้วนหลิงเทียน
“ข้าก็ว่าแล้วเชียวว่าไฉนอยู่ๆเจ้าถึงกลับมาได้…ที่แท้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำแล้วนี่เอง ดูท่าคงมั่นใจในฝีมือตัวเองแล้วสินะ”
หลังตรวจสอบด่านพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนแล้วเสร็จ หลงเซียวก็กล่าวเย้ยหยันออกมา
พอหลงเซียวกล่าวจบคำ เหล่าศิษย์หลักที่มาดูชมเรื่องราวก็เริ่มฮือฮาทันที “อะไร ต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านแล้ว?”
“ช้าก่อน ไม่ใช่มันยังอายุไม่ถึง 3,000 ปีหรือไร?”
“กล่าวให้ถูกคือมันยังอายุไม่ถึง 2,800 ปี”
“ให้ตายเถอะ! อายุไม่ถึง 3,000 ไม่เพียงแต่จะเข้าใจความลึกซึ้งของกฏจนแข็งแกร่งทัดเทียมกับศิษย์หลักอย่างพวกเราทั้งๆที่ยังอยู่ในขอบเขตเทพ…ตอนนี้มันทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำแล้ว เช่นนั้นต่อให้เป็นราชาเทพขั้นกลาง ก็คงไม่ใช่คู่มือมันกระมัง?”
“ไม่เชิง เจ้าต้องบอกว่าราชาเทพขั้นกลางทั่วไป…เพราะหากเป็นราชาเทพขั้นกลางอย่างศิษย์พี่หลงเซียวที่เอาชนะราชาเทพขั้นสูงทั่วไปได้ มันยังไม่ใช่คู่มือหรอก”
…
ในขณะที่เหล่าศิษย์หลักกำลังซุบซิบคุยกัน ต้วนหลิงเทียนก็มองถามหลงเซียวด้วยสายตาว่างเปล่า “ศิษย์พี่หลงเซียว ท่านพูดถึงเรื่องอะไรกัน?”
“ต้วนหลิงเทียน ไฉนยังต้องแสร้งเป็นตัวโง่งมอยู่อีก?”
หลงเซียวเย้ยหยัน “เจ้าคงไม่ลืม…เรื่องที่รับปากข้าไว้เมื่อสองสามเดือนก่อนกระมัง?”
“หือ? ข้าไปรับปากอะไรไว้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนชักหน้างุนงง เอ่ยถามด้วยท่าทางสงสัย
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้เก็บเอาคำพูดของข้า หลงเซียว ไปใส่ใจสินะ?”
หน้าหลงเซียวจมลง สองตาฉายประกายเยียบเย็น น้ำเสียงปานจะแช่ผู้คนให้เป็นน้ำแข็ง
“ศิษย์พี่หลงเซียว ข้าจำไม่ได้จริงๆว่าไปรับปากอะไรท่านไว้…มิสู้ท่านกล่าวซ้ำอีกสักรอบเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ใบหน้าฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มสดใส
”ดี ดี ดี…ดี!”
หลงเซียวหัวเราะอย่างโกรธเกรี้ยว “ดูเหมือนว่าหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเจ้าทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำ เจ้าก็มั่นใจในตัวเองมากเสียจน ไม่เห็นคนอย่างข้าหลงเซียวอยู่ในสายตา?!”
ได้ยินคำถามด้วยน้ำเสียงดุดันเกรี้ยวกราดของหลงเซียว ต้วนหลิงเทียนเพียงมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเฉยเมยไม่ได้สนใจอะไร
ตอนนี้เขากำลังรอให้หลงเซียวเปิดฉากลงมือ
เพราะเมื่อหลงเซียวเป็นฝ่ายลงมือก่อน เขาก็จะสามารถตอบโต้ได้อย่างชอบธรรม ต่อให้ฆ่าหลงเซียวตายเขาก็อ้างได้ว่าป้องกันตัว
และตามกฏของนิกายหมอกเร้นลับ เขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ถึงก็คือ ไม่ทันที่หลงเซียวจะเปิดฉากจู่โจม พลันมีร่างหนึ่งเหินมาแต่ไกลด้วยความเร็วสูง
ร่างนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาแต่อย่างใด
“นั่นศิษย์พี่ซั่งกวนฉงเฟิงนี่”
“สนุกแล้วไง ศิษย์พี่ซั่งกวนฉงเฟิงก็มา!”
…
ผู้มาใหม่ก็คือซั่งกวนฉงเฟิงนั่นเอง
และพอมันมาถึง เหล่าศิษย์หลักรอบๆก็เผยแววตาเร่าร้อนทันที
ซั่งกวนฉงเฟิง คือตัวตนที่ติด 1 ใน 3 ศิษย์หลักที่มีพลังฝีมือกล้าแข็งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับ แม้พลังฝึกปรือของมันจะเป็นเพียงราชาเทพขั้นกลาง แต่ก็สามารถเอาชนะอาวุโสฝ่ายในส่วนใหญ่ที่อยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงได้
กล่าวได้ว่าต่อให้ซั่งกวนฉงเฟิงไม่ใช่ศิษย์ของอาวุโสฟง แต่มันก็เป็นเป้าหมายในการไล่ตามของศิษย์หลักทั้งหลายอยู่ดี
เรียกว่าศิษย์หลักทั้งหลายให้ความเคารพเลื่อมไสมันมาก
“หลงเซียว เจ้าคงไม่ได้กลัวมันหรอกนะ ถึงเรียกให้ข้ามาด้วยแบบนี้?”
หลังมาถึง ซั่งกวนฉงเฟิงก็ยิ้มถามหลงเซียวด้วยใบหน้ายียวน ยังไปหยุดลงข้างๆหลงเซียวด้วยท่าทางสนุกสนาน
“ต้วนหลิงเทียนนั่นมันทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำแล้ว”
หลงเซียวกล่าวออกเสียงหนัก “ถึงแม้ข้าจะไม่คิดว่ามันจะเป็นคู่มือข้าได้…แต่ในเมื่อมันกล้ากลับมาอย่างโจ้งแจ้งแบบนี้ ข้าคิดว่ามันต้องมั่นใจในตัวเองยิ่ง”
“เช่นนั้น มีเจ้าช่วยข้าเล่นงานมันอีกแรงจะดีกว่า”
หลงเซียวที่สามารถเป็นศิษย์หลักของอาวุโสเหล่ย และบรรลุความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ได้ มันย่อมไม่ใช่ตัวโง่งมเป็นธรรมดา ไหนเลยจะประมาทคู่ต่อสู้
การเรียกซั่งกวนฉงเฟิงมาช่วย ในสายตาของมันก็แค่ติดหนี้น้ำใจอีกฝ่ายสักครั้ง แต่ถ้ามันพ่ายแพ้ขึ้นมาก็เสมือนเรือล่มในคูระบายน้ำแล้วจริงๆ…
“เจ้ายังระวังตัวแจไม่เปลี่ยน”
หลังหยีตามองกล่าวกับหลงเซียว ซั่งกวนฉงเฟิงก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนพลางเอ่ยออกเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องต้วน ไม่ทันไรก็ได้พบกันอีกแล้ว”
“ซั่งกวนฉงเฟิง เจ้ามาที่นี่วันนี้ หรือคิดจะคืนโอสถเสริมโชค 2 เม็ดที่รีดไถไปจากข้าวันก่อน?”
ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามซั่งกวนฉงเฟิงด้วยสีหน้าแววตาสงบ ยังแลดูเฉยเมยราวกับไม่เห็นซั่งกวนฉงเฟิงอยู่ในสายตา
“หืม? ข้าไปรีดไถโอสถเสริมโชคของเจ้าตอนไหนกันเล่า?”
ซั่งกวนฉงยักคิ้วพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มกวนเบื้องล่าง “ศิษย์น้องต้วน เจ้าเป็นโรคความจำเสื่อมรึเปล่า ไม่ใช่ว่าโอสถเสริมโชคนั่นข้าเอาอุปกรณ์เทพไปแลกหรือไร ไฉนเจ้าถึงบอกว่าข้าไปรีดไถเจ้าซะเล่า?”
“กล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ เจ้าไม่กลัวทำให้อาวุโสเหล่ยอับอายบ้างหรือ?”
พอเห็นใบหน้ายียวนของซั่งกวนฉงเฟิง โทสะในใจต้วนหลิงเทียนก็ปะทุขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทนไม่ไหว หัวเราะพลางถามออกไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
และพอต้วนหลิงเทียนพูดจบ รอยยิ้มบนใบหน้าซั่งกวนฉงเฟิงก็หายไปทันที “ต้วนหลิงเทียน หากเจ้ายังกล้าใส่ร้ายข้าอีก ก็อย่าได้โทษว่าข้าซั่งกวนฉงเฟิงหยาบคาย!”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเย้ย “ใส่ร้าย? เช่นนั้นเจ้ากับข้ามาสาบานต่อโลหิตมารหัวใจกันต่อหน้าผู้คนดีหรือไม่ ว่าที่แท้ผู้ใดมันใส่ร้ายผู้ใดกันแน่?”
“ข้าจะสาบานต่อโลหิตมารหัวใจว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดไปเป็นความจริง…แต่ข้ากลัวว่าเจ้าคงไม่กล้ากระมัง?”
พอต้วนหลิงเทียนเอ่ยจบคำ สีหน้าซั่งกวนฉงเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที