ฟง เหล่ย อวิ๋น หวู่ อาวุโสสูงสุดทั้ง 4 ของนิกายหมอกเร้นลับนั้น เรียกว่าเป็นขุมพลังหลักของนิกายหมอกเร้นลับก็ว่าได้
  โดยปกติแล้ว หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้นในนิกายหมอกเร้นลับ ก็ยากนักที่คนในนิกายจะได้เห็นพวกมันปรากฏตัวออกมาสักคน แต่วันนี้อาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยกลับปรากฏตัวออกมาพร้อมกันสองคน
  “ทั้งคู่…สมควรไว้หน้าต้วนหลิงเทียนเพราะกังวลเบื้องหลังของต้วนหลิงเทียนกระมัง?”
  พอถังชุนเห็นการมาของอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ย หนังศีรษะมันพลันชาหนึบขึ้นมาทันที เพราะทั้ง 2 คนนั่นไม่ใช่อะไรที่อาวุโสฝ่ายในเช่นมันจะเทียบได้เลย
  ทั้งคู่สามารถฆ่าคนในนิกายหมอกเร้นลับได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องกังวลใดๆทั้งสิ้น
  แต่เป็นธรรมดาว่า หากคนที่พวกมันจะฆ่ามีภูมิหลัง ที่อาจจะย้อนมาเล่นงานพวกมันหรือนิกายหมอกเร้นลับได้ พวกมันก็จำต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนจะลงมือ
  “เจ้าคือต้วนหลิงเทียน?”
  ชายชราร่างผอมในชุดคลุมสีเขียวนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากอาวุโสฟง ตอนนี้สองตาคมกริบของมันได้ทอดมองมายังร่างต้วนหลิงเทียนเขม็ง “ไฉนเจ้าถึงต้องฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงศิษย์ข้าด้วย?”
  แทบจะพร้อมกันกับที่อาวุโสฟงกล่าวสิ้นคำ แรงกดดันพลังมหาศาลขุมหนึ่งก็แผ่พุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน
  ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วงที่เคี่ยวกรำไปทั่วร่างเขา เพียงแต่เขายังกัดฟันทนไม่เผยอาการใดๆให้เห็น
  จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องตาอาวุโสฟงอย่างไรซึ่งความหวั่นเกรงใดๆ พลางกล่าวตอบเสียงเบาว่า “เดิมทีข้าไม่รู้จักซั่งกวนฉงเฟิงด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆมันก็มารีดไถโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของข้าไป และวันนี้พอข้าเอาเรื่องนี้ออกมาแฉต่อหน้าทุกคน มันก็เลยมีโมโหจนคิดลงมือฆ่าข้า”
  “ข้าก็จำต้องปกป้องตัวเอง…เพียงแค่ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะใช้การไม่ได้ถึงขั้นไม่อาจรับแม้แต่หนึ่งกระบี่ของข้า”
  พอต้วนหลิงเทียนพูดจบ สีหน้าของถังชุนก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง ด้วยไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาต่อหน้าอาวุโสฟงได้
  ในเวลาเดียวกัน ทุกคนในที่เกิดเหตุก็รู้สึกเสมือนมีสายลมเย็นเยือกหนึ่งพัดผ่าน ราวกับอุณหภูมิในเขตที่พักศิษย์หลักมันลดต่ำลงในฉับพลัน
  ชุดคลุมสีเขียวของอาวุโสฟงเองก็เริ่มกระพือสะบัด คนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เรื่องที่เจ้าพูดว่าซั่งกวนฉงเฟิงศิษย์ข้ารีดไถโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของเจ้าไป เจ้ามีหลักฐานอันใดบ้าง?”
  “คำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจเล่า นับหรือไม่?”
  ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปยังอาวุโสฟง มุมปากเริ่มยกยิ้มเย้ยหยันขึ้นมา
  คำสาบานโลหิตมารหัวใจ!
  พอต้วนหลิงเทียนเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็ได้แต่ลอบมองไปยังอาวุโสฟงอย่างระวัง เพราะสุดท้ายแล้วการที่ต้วนหลิงเทียนยกเรื่องคำสาบานโลหิตมารหัวใจออกมาพูด ก็บ่งบอกว่าไม่หวาดกลัวการสาบานต่อโลหิตมารหัวใจเพื่อพิสูจน์ความจริง
  พริบตาเดียว บรรยากาศในเขตที่พักศิษย์หลักก็เสมือนเย็นลงหลายองศา
  ชุดคลุมของอาวุโสฟงเองย่งมาก็ยิ่งกระพือรุนแรง แววตาของมันเริ่มทวีความดุร้ายมากขึ้น
  “แล้วไฉนเจ้าถึงต้องเข่นฆ่าหลงเซียวศิษย์ของข้าด้วย…ข้าสอบถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ดูเหมือนศิษย์ข้าจะยังไม่ทันได้ทำอะไรเจ้า แต่เจ้ากลับเป็นฝ่ายเปิดฉากลงมือ กระทั่งสังหารศิษย์ข้า!”
  ในขณะที่อาวุโสฟงเงียบไป อยู่ๆอาวุโสเหล่ยก็ปริปากกล่าวคำออกมา เสียงมันยังผสานพลังเทพจนกึกก้องกังวาล แทบยังมุ่งเน้นไปยังต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษ จนต้วนหลิงเทียนรู้สึกเสมือนมีเหล็กแหลมร้อนลวกเสือกทะลวงแก้วหู พาลให้ร่างสะท้านไปเบาๆโดยไม่รู้ตัว
  แต่กระนั้น ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงรักษาท่าทีไม่โอนอ่อน
  หากเป็นราชาเทพขั้นต่ำทั่วไป เกรงว่าคงไม่อาจยึดมั่นเช่นนี้ได้ไหว เพียงแต่เขาไม่ใช่ราชาเทพขั้นต่ำทั่วไป ความแข็งแกร่งทางกายภาพของร่างกายเขาเดิมทีก็ไม่ใช่ชั่วอยู่แล้ว พอรวมกับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนกับหลอมแก่นแท้ของต้นไม้เทพสนหลิว ที่สำคัญยังมีพลังชีวิตที่ได้รับจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพที่ไหลเวียยนยจนเสมือนกลั่นเกลาร่างกายไปตามธรรมชาติ ทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของร่างกายเขาเป็นอะไรที่แข็งแกร่งมาก ไม่ต้องพูดถึงราชาเทพขั้นต่ำด้วยซ้ำ กระทั่งราชาเทพขั้นกลางยังมีความแข็งแกร่งทางกายภาพเทียบเขาไม่ได้!
  “หลงเซียว?”
  ต้วนหลิงเทียนหันไปมองอาวุโสเหล่ย พลางคลี่ยิ้มบางๆกล่าวว่า “อาวุโสเหล่ย เรื่องนี้ข้าเกรงว่าท่านคงไม่รู้ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน วันหนึ่งหลงเซียวมันก็มาหาข้าถึงบ้าน จากนั้นก็บอกให้ข้าไปตั้งต้นคุกเข่าห่างจากบ้านท่านสิบลี้ ก่อนจะให้ข้าคลานเข่าก้าวหนึ่งโขกหัวทีหนึ่งจนไปถึงหน้าบ้านท่านเพื่อขอให้ท่านรับข้าเป็นศิษย์…”
  “ข้าแกล้งทำเป็นรับปากมันว่าจะทำเช่นนั้น ก่อนที่จะลอบหนีออกจากนิกายไปลับๆ และพอมันพบว่าข้าไปปรากฏตัวที่เมืองจวินหลิง มันก็เร่งรุดไปตามหาตัวข้าทันที กระทั่งยังปักหลักเฝ้ารอข้าในเมืองเหมือนเฝ้ากระต่ายหน้าโพรง”
  “พอข้ากลับมาวันนี้ ไม่ทันจะได้ไปไหนไกล มันที่นกรู้ก็เร่งรุดโผล่หัวออกมาทันที แถมขู่ว่าจะฆ่าข้าอีก…”
  “ในเมื่อมันคิดจะฆ่าข้า เช่นนั้นจะให้ข้าเก็บมันไว้ดูเล่นและปล่อยให้มันมีโอกาสฆ่าข้าไหมเล่า?”
  กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็มองสบตาอาวุโสเหล่ยเขม็ง “ทุกคำที่ข้าพูดออกมาข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง หากท่านไม่เชื่อข้าสาบานต่อโลหิตมารหัวใจตรงนี้เลยก็ได้”
  “พอถึงตอนนั้นจริงหรือหลอก อาวุโสเหล่ยก็คงรู้ดีแก่ใจกระมัง”
  ต้วนหลิงเทียนค่อยๆกล่าวออกมาอย่างใจเย็น ท่าทีสงบไม่หวั่นเกรงใดๆ
  และความนิ่งสงบดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ทำให้ในสายตาอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ย เขากลายเป็นคนลึกลับยากหยั่งถึงทันที
  เพราะนอกจากเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนอาจมีความเป็นมาไม่ธรรมดาแล้ว พวกมันก็ไม่อาจนึกได้ออกจริงๆว่าต้วนหลิงเทียนไปเอาความมั่นใจระดับนี้มาจากไหน?
  ไฉนถึงได้เผชิญหน้ากับพวกมันโดยไม่เกรงกลัวน่ะหรือ?
  บอกให้รู้ว่าในมืออีกฝ่ายซุกซ่อนไพ่ตายเอาไว้!
  หากต้วนหลิงเทียนเป็นแค่ศิษย์นิกายหมอกเร้นลับทั่วไปไร้ใครหนุนหลัง ต่อให้จะมีพรสวรรค์กับความเข้าใจสูงขนาดไหน พวกมันก็สามารถลงมือฆ่าทิ้งได้ทันที โดยไม่มีความรู้สึกเสียดายแม้แต่นิดเดียว
  เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกมันไม่ลงมือจนถึงตอนนี้ ก็เพราะพวกมันเกรงกลัวสิ่งที่อยู่เบื้องหลังต้วนหลิงเทียน
  “ต้วนหลิงเทียน”
  หลังอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยรอบหารือกับ เฉียนหยิ่น ประมุขนิกายหมอกเร้นลับครู่หนึ่ง ก็เป็นประมุขนิกายหมอกเร้นลับที่ออกตัวกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตายังมองพินิจต้วนหลิงเทียนอย่างระวัง “เรื่องที่เจ้าเข่นฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงนั้น ในเมื่อเป็นอีกฝ่ายลงมือต่อเจ้าก่อน เช่นนั้นจึงถือว่าเป็นการป้องกันตัว ไม่ถือว่าเจ้าทำผิดกฏอะไร”
  “อย่างไรก็ตาม กรณีของหลงเซียว ผู้อื่นเพียงบอกว่าจะฆ่าเจ้าแต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรทั้งสิ้น…เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่านั่นอาจเป็นแค่คำพูดล้อเล่นไม่จริงจัง?”
  “แต่เจ้า กลับเอาวาจาไร้แก่นสารของมันมายึดถือเป็นจริงจัง สุดท้ายก็ลงมือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา…”
  “จุดนี้ถือว่าเจ้าละเมิดกฏของนิกายหมอกเร้นลับเรา”
  “เช่นนั้น ข้าที่ได้หารือกับอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยแล้ว จึงตัดสินใจว่าจะลงโทษเจ้าโดยการคุมขังไว้ก่อน…และจะขังเจ้าไว้ในโลกใบเล็กของอาวุโสฟง”
  “ข้าลงโทษเจ้าเช่นนี้ เจ้ามีอะไรจะแย้งหรือไม่?”
  หลังเฉียนหยิ่นหารือกับอาวุโสฟงเหล่ยผ่านพลัง แม้ทั้งคู่จะอยากฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้งตรงนี้เลย แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เห็นแก่ภาพรวม
  ก็เลยเห็นพ้องต้องกันว่าจะจับต้วนหลิงเทียนขังเอาไว้ก่อน ไม่ฆ่าต้วนหลิงเทียนสักพัก
  ด้วยวิธีนี้ หากต้วนหลิงเทียนมีความเป็นมายิ่งใหญ่อะไรจริง อีกฝ่ายไม่พ้นต้องเรียกผู้หลักผู้ใหญ่มาช่วยแน่
  ถ้ารอไปสักพักแต่สุดท้ายไม่มีใครมาช่วยต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นค่อยประหารต้วนหลิงเทียนเพื่อล้างแค้นให้หลงเซียวกับซั่งกวนฉงเฟิงก็ยังไม่สาย
  “เอ่อ…”
  เหล่าศิษย์หลักกับอาวุโสฝ่ายในทั้งหลายที่ชมดูเรื่องราวกันอยู่ ได้แต่อึ้งไปตาปริบๆ เพราะพวกมันไม่คิดเลยว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบนี้ได้
  ต้วนหลิงเทียนฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียว แต่สุดท้ายก็แค่ถูกจองจำในโลกใบเล็กของอาวุโสฟง?
  เดิมทีพวกมันคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะถูกประหารทันทีด้วยซ้ำ!
  ‘ไฉนเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า?’
  อู่เฟิงหยิน อาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับได้แต่ชักสีหน้าเหลือเชื่อไม่เข้าใจ แต่จิตใต้สำนึกก็ร้องเตือนว่าเรื่องนี้มันไร้คุณสมบัติจะสอดปาก ก็เลยได้แต่ปิดปากเงียบ ลอบโอดครวญในใจอย่างไม่ยินยอม
  “หืม?”
  ต้วนหลิงเทียนเองก็อึ้งไปไม่ต่าง
  เดิมทีเขาคิดว่าการที่เขาลงมือเข่นฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวทิ้งไปแบบนี้ อาวุโสฟงกับเหล่ยนั่นต้องลงมือเข่นฆ่าเขาทันทีแน่
  พอถึงจุดนั้น 2 อาวุโสเหิงฮวงแห่งตระกูลหลิงหูก็จะปรากฏตัวออกมาช่วยเขา จากนั้นเขาก็จะได้ถอนตัวออกจากนิกายหมอกเร้นลับ และไปอยู่ตระกูลหลิงหู
  แต่ไม่คิดเลยว่าอาวุโสฟงเหล่ยกลับไม่ได้ลงมือฆ่าเขา
  เพียงตัดสินใจขังเขาไว้?
  เรื่องนี้มันอย่างไรกันแน่?
  ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
  ตอนนี้เขาที่ลอบสังเกตอาวุโสฟงกับเหล่ยอย่างระวัง ก็ไม่ยากเลยที่จะพบว่าในแววตาทั้งคู่มันเต็มไปด้วยจิตสังหาร ย้อนแย้งกับเรื่องที่จะขังเขาพิกล
  ในเมื่อคิดจะฆ่าเขา เช่นนั้นจะขังเขาไว้ทำอะไร
  อีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่?
  หรือพวกมันพบการซ่อนตัวของอาวุโสเหิงฮวน?
  แต่อาวุโสเหิงฮวนที่ตั้งใจปกปิดตัวเอง เป็นเรื่องง่ายที่พวกมันจะค้นพบหรือ?
  “ต้วนหลิงเทียน!”
  ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังครุ่นคิดกับคำพูดของเฉียนหยิ่น ไม่ทันจะได้ตอบอะไรเฉียนหยิ่นไป พอดีเสียงผ่านพลังหนึ่งก็ดังขึ้นในหูเขาเสียก่อน
  และเป็นเสียงผ่านพลังของถังชุน
  “ท่านประมุขกับอาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ตัดสินใจเช่นนี้ เพื่อให้เจ้ามีเวลาติดต่ออาวุโสที่อยู่เบื้องหลังของเจ้า…หากอาวุโสของเจ้าออกหน้าช่วยเหลือ ก็มากพอจะทำให้ท่านประมุขกับอาวุโสสูงสุดทั้ง 2 ปล่อยวางเรื่องนี้”
  “หากไม่ใช่เพราะทุกคนหวั่นเกรงภูมิหลังของเจ้า…ตอนนี้ไม่พ้นเจ้าต้องถูกฆ่าทิ้งอย่างเหี้ยมโหดไปแล้ว”
  “เช่นนั้น…เจ้าก็รีบติดต่อไปขอความช่วยเหลืออาวุโสของเจ้าเถอะ”
  นี่คือถ้อยคำที่ถังชุนส่งผ่านพลังมา
  “อาวุโส?”
  ต้วนหลิงเทียนงง “อาวุโสถังชุน ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร?”
  อยู่ๆได้ยินแบบนี้เขาก็งงเป็นธรรมดา
  ด้านถังชุน พอได้ยินคำถามเขา ก็แทบจะโมโหตาย “ต้วนหลิงเทียน เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังจำเป็นต้องปกปิดอีกหรือ?”
  “ข้าได้ทราบเรื่องราวจากตระกูลจ้งแล้ว ว่าเจ้ามีความเป็นมาไม่ธรรมดา!”
  “ในอดีต ตอนที่เจ้าไปยังโรงประมูลของสกุลโจวของเมืองวาสุวรรค์ เรื่องที่เด็กสาวที่สนิทสนมกับเจ้ามีตัวตนระดับจอมราชันเทพอันทรงพลังเป็นผู้ติดตามนั่น ข้าทราบแล้ว”
  “และฟังจากรองประมุขมู่หรงที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น…ระดับพลังของสตรีผู้ติดตามเด็กสาวที่เจ้าสนิทสนมนั่น เกรงว่าจะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าอาวุโสสูงสุดทั้ง 4 เลย…”
  “เช่นนั้นพอข้าทราบว่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวกำลังจะฆ่าเจ้า ข้าก็รีบติดต่อไปหารองประมุขมู่หรง ขอให้ช่วยแจ้งเรื่องนี้ไปยังอาวุโสฟงกับเหล่ย เพื่อหยุดซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวไม่ให้ลงมือกับเจ้าทันที”
  “แต่ข้าไม่คิดเลย ว่าเจ้าไม่เพียงแต่จะถูกพวกมันฆ่า ยังเป็นฝ่ายฆ่าพวกมันเสียอย่างนั้น…แถมยังฆ่าได้ในเวลาสั้นๆ”
  พอกล่าวถึงจุดนี้ ถังชุนก็รู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง ก่อนหน้ามันกังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนถูกฆ่าแทบตาย ไม่คิดเลยว่าคนที่มันต้องห่วงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียว
  “แบบนี้นี่เอง”
  หลังได้ยินคำพูดผ่านพลังของถังชุน ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าไฉนอาวุโสฟงกับเหล่ยแม้กระทั่งประมุขนิกายถึงไม่ลงมือฆ่าเขาทันที ที่แท้เป็นเพราะต้วนเฉียวอวี่ เด็กสาวปริศนาที่เขาพบเจอในเมืองวายุสวรรค์วันนั้น
  เหมือนกับตระกูลจ้ง
  ตอนนี้ตัวตนระดับสูงทั้ง 3 ของนิกายหมอกเร้นลับ กำลังหวาดกลัวขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังต้วนเฉียวอวี่
  ‘นี่ถ้าหากพวกมันรู้ว่าข้ากับต้วนเฉียวอวี่พบกันโดยบังเอิญ กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใครมาจากไหน…บางทีพวกมันคงลงมือฆ่าข้าทิ้งโดยไม่ลังเล’
  ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจอย่างขบขัน
  “ต้วนหลิงเทียน ทางนิกายลงโทษเจ้าเช่นนี้ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
  พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนเมินมันอยู่นานสองนาน สีหน้าเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับก็แลดูไม่ค่อยจะสู้ดีนัก สุดท้ายก็ได้แต่จงใจกล่าวเตือนออกไปเสียงหนัก “นี่คือขีดจำกัดที่นิกายหมอกเร้นลับเราจะอนุโลมได้แล้ว”
  ต้วนหลิงเทียนได้ฟัง ก็ค่อยๆหันไปมองเฉียนหยิ่นอีกครั้ง ค่อยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแววตาไร้แยแส “ประมุข ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ข้าต้วนหลิงเทียนขอถอนตัวออกจากนิกายหมอกเร้นลับ…เช่นนั้นข้าไม่เห็นด้วยกับบทลงโทษของนิกาย”
  ให้อาวุโสฟงขังเขาไว้ในโลกใบเล็ก?
  ล้อกันเล่นหรือไร?
  เขาย่อมไม่เห็นด้วยเป็นธรรมดา
  เขาไม่ได้มีภูมิหลังยิ่งใหญ่อะไรถึงขั้นทำให้อาวุโสฟงกับเหล่ยแม้แต่ประมุขนิกายอย่างเฉียนหยิ่นหวาดกลัวทั้งสิ้น หากถูกจับขังในโลกใบเล็กของอาวุโสฟงจริง ถึงตอนนั้นเกรงว่าอาวุโสเหิงฮวนของตระกูลหลิงหูก็ยากจะช่วยเขาได้แล้ว…