“ศิษย์น้องต้วน?”
  หวูเฟิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ที่อยู่ๆก็ได้รับข้อความจากต้วนหลิงเทียน
  อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนแจ้งเรื่องที่อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ กวงเทียนเจิ้ง มาตามหาตัวเขาถึงตระกูลหลิงหู สีหน้าของหวูเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที
  “ศิษย์พี่หวู ในเมื่อพวกมันพบตัวข้า เช่นนั้นพวกมันก็สมควรเจอตัวท่านแล้วเช่นกัน…ในความเห็นข้า พวกมันสมควรคาดเดาตัวตนข้าออกหลังได้ยินท่านเรียกข้าว่าศิษย์น้องต้วนวันนั้น และพวกมันคงคาดเดาจากแซ่กับช่วงเวลาได้ว่าเป็นศิษย์พี่หวูเฟิงที่ไปกับข้าวันนั้น”
  “ทางข้าคงไม่มีปัญหาอะไรเพราะมีตระกูลหลิงหูปกป้อง…แต่ทางด้านศิษย์พี่หวูเฟิง ข้าเกรงว่านิกายหมอกเร้นลับคงไม่อาจปกป้องท่านได้”
  ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะมายังตระกูลหลิงหู เขาก็เคยได้ยินหวูเฟิงพูดถึงเรื่องราวหลายๆอย่าง เกี่ยวกับตระกูลหลิงหูและนิกายหมอกเร้นลับ
  อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับความปลอดภัยแล้ว ตระกูลหลิงหูมีสูงกว่านิกายหมอกเร้นลับมาก
  นิกายหมอกเร้นลับนั้น อาศัยจอมราชันเทพขั้นกลางแค่คนเดียวก็บุกเข้าไปได้ง่ายๆ
  ยังไม่ต้องกล่าวถึงจอมราชันเทพขั้นกลางด้วยซ้ำ ครั้งสุดท้านเอาแค่คู่แฝดเหิงฮวงที่ติดตามคุ้มครองต้วนหลิงเทียน ก็สามารถบุกเข้าไปในนิกายหมอกเร้นลับได้โดยที่พวกมันไม่อาจตรวจพบด้วยซ้ำ กระทั่งยามจะออกมานิกายหมอกเร้นลับก็ไม่มีปัญญาหยุด
  ด้านหวูเฟิง เดิมทีก็เป็นแค่ศิษย์ฝ่ายในคนหนึ่งเท่านั้น ต่อหน้าอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์เช่นกวงเทียนเจิ้ง เกรงว่าต่อให้นิกายหมอกเร้นลับอยากปกป้องหวูเฟิงแค่ไหนก็คงไม่มีปัญญา
  ด้วยฐานะกับความสำคัญแล้ว น่ากลัวว่าประมุขนิกายหมอกเร้นลับคงไม่คิดผิดใจกับกวงเทียนเจิ้งเพราะหวูเฟิงแน่นอน
  “ศิษย์พี่หวู…เช่นนั้นหากเป็นไปได้ ข้าแนะนำให้ท่านรีบออกจากนิกายหมอกเร้นลับเถอะ”
  ในขณะที่กล่าวโน้มน้าวหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ลืมแนะนำ “หรือไม่งั้นท่านก็มาที่ตระกูลหลิงหูก็ได้ ข้าน่าจะแนะนำท่านกับตระกูลหลิงหูได้”
  สำหรับหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกขอบคุณมาโดยตลอด
  เพราะสุดท้าย การเดินทางไปยังเทพซ่อนของจักรพรรดิเทพฉินหวู่ตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะหวูเฟิงพาเขาไปด้วย เกรงว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้รับอะไรทั้งนั้น
  “ศิษย์น้องต้วน น้ำใจของเจ้าข้าซาบซึ้งยิ่ง”
  ด้านหวูเฟิงก็รีบตอบกลับเร็วไว “ข้าจะรีบออกจากนิกายหมอกเร้นลับทันที…อย่างไรก็ตามข้าไม่อาจไปตระกูลหลิงหูได้ ข้าเป็นคนพื้นเมืองของดินแดนดาราพิศวง เบื้องหลังของข้ายังมีตระกูลหวู ข้าคิดว่าข้ารีบไปอพยพตระกูลข้าไปที่อื่นดีกว่า”
  “เพราะหลังจากนี้ หากคนอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ผู้นั้นมันหาตัวข้าไม่เจอ น่ากลัวว่ามันจะตามไปหาตัวข้าถึงตระกูล เช่นนั้นข้าต้องรีบพาคนในตระกูลอพยพไปก่อน”
  “วันหน้าหากศิษย์น้องต้วนมีเรื่องใดให้ข้าช่วย โปรดบอกข้าได้ทุกเมื่อ หากอยู่ในวิสัยที่ข้าทำได้ข้าไม่มีวันปฏิเสธแน่!”
  หลังหวูเฟิงส่งข้อความนี้มา มันก็เงียบหายไปเลย เห็นได้ชัดว่ากำลังง่วนอยู่กับการหลบหนี
  “ต้วนหลิงเทียน”
  หลังเลิกติดต่อกับหวูเฟิงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้รับข้อความจากหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหูอีกครั้ง
  “กวงเทียนเจิ้งนั่นมันยืนกรานจะพบเจ้าให้ได้ ตอนนี้ข้าพามันมารอที่ห้องโถงหลักของตระกูลหลิง”
  “เจ้าออกมายังห้องโถงหลักก่อนเถอะ”
  “และอย่าได้กังวลไป…ข้าได้เปิดใช้ค่ายกลพิทักษ์ของตระกูลหลิงหูเราเพื่อปกป้องเจ้าแล้ว แม้กวงเทียนเจิ้งนั่นมันจะลงมือใส่เจ้า มันก็ไม่มีทางแตะต้องเจ้าได้แน่”
  หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวอีกครั้ง ก็เป็นการรับประกันความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียน
  “เจ้ามานี่ ก็แค่มาแกล้งมันเท่านั้น”
  หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวเสริมอีกประโยค
  “ได้”
  ต้วนหลิงเทียนตอบข้อความ ก่อนจะออกจากบ้านพักที่หลิงหูเหรินเจี๋ยเตรียมไว้ให้ทันที
  จากนั้นเขาก็มุ่งตรงไปยังห้องโถงหลัก
  ภายในห้องโถงหลัก หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ยืนรออยู่ ไม่ไกลจากมันก็มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่
  ชายชราคนนี้มีรูปร่างปานกลางใบหน้าอ่อนเยาว์ แลดูธรรมดาๆ แต่ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่ามันไม่ธรรมดา เพียงแค่ลักษณะท่วงท่าก็เผยให้รู้ว่าไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม
  “ผู้นำตระกูล”
  ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักหลิงหูเหรินเจี๋ยก่อน ค่อยก้าวอาดๆเข้ามาในห้องโถงหลัก ไม่นานนักก็มาหยุดลงข้างๆหลิงหูเหรินเจี๋ย และมองชายชราเบื้องหน้า
  “ต้วนหลิงเทียน”
  หลิงหูเหรินเจี๋ยคลี่ยิ้มพลางกล่าวทักต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็ก้าวออกไปไม่กี่ก้าวก่อนจะยืนคั่นระหว่างต้วนหลิงเทียนกับกวงเทียนเจิ้งเอาไว้
  จากนั้นมันก็หันหลังให้กวงเทียนเจิ้ง พลางกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “ต้วนหลิงเทียน นี่คืออาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ กวงเทียนเจิ้ง”
  “อาวุโสกวงเทียนเจิ้งนั้น เคยเป็นศิษย์หลักของนิกายหมื่นปีศาจ ต่อมาก็ได้ไปยังนิกายมังกรสวรรค์ จากนั้นก็ไต่เต้าขึ้นไปเป็นอาวุโสฝ่ายในที่มีฐานะสูงส่ง”
  หลังจากหลิงหูเหรินเจี๋ยแนะนำกวงเทียนเจิ้งเสร็จแล้ว มันก็หันกลับมามองกวงเทียนเจิ้งพลางกล่าว “อาวุโสกวงเทียนเจิ้ง ข้าคงไม่ต้องแนะนำต้วนหลิงเทียนให้ท่านรู้จักแล้วกระมัง”
  ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าให้ชายชราเป็นการทักทาย
  “ต้วนหลิงเทียน”
  กวงเทียนเจิ้งมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวมีสาฟ้าแลบ เอ่ยถามเสียงหนักว่า “ข้าได้ยินตู้เชียนจวินหลานชายของตู้จ้านที่เป็นศิษย์น้องของข้าบอกว่า ก่อนที่ศิษย์ของข้า ฉู่หาน จะตกตายนั้น สมควรพบเจอเจ้ากับหวูเฟิงที่เป็นศิษย์นิกายหมอกเร้นลับเป็นคนสุดท้าย?”
  พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำพูดดังกล่าว แม้ใจเขาจะรู้ดี แต่สีหน้าก็เต็มไปด้วยความสับสน “อาวุโสกวงเทียนเจิ้งนี่ท่านกำลังกล่าวถึงเรื่องอะไรอยู่ ไฉนข้าถึงไม่เข้าใจเลยเล่า?”
  “ฉู่หาน ศิษย์ท่านหรือ? มันเป็นผู้ใดกัน ข้าจำได้ว่าไม่เคยพบเจอคนชื่อนี้มาก่อนเลย”
  “ท่าน…ใช่กำลังจำคนผิดหรือไม่?”
  ความสับสนบนใบหน้าต้วนหลิงเทียน ก็ทำให้หว่างคิ้วกวงเทียนเจิ้งขดย่นเป็นปมทันที หากมันไม่อาจยืนยันได้แต่แรกว่า คนที่ไปกับหวูเฟิงวันนั้นเป็นต้วนหลิงเทียนเต็มสิบส่วน เกรงว่ามันคงถูกต้วนหลิงเทียนหลอกเอา
  มันรู้ดีว่าคงยากจะแลเห็นพิรุธหรือเบาะแสใดๆจากสีหน้าต้วนหลิงเทียนได้ เพราะดูท่าอีกฝ่ายจะเชี่ยวชาญศาสตร์นี้
  “ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ข้า ฉู่หาน ไม่ใช่เจ้าเป็นคนฆ่าหรือไร?”
  กวงเทียนเจิ้งพูดออกมาอีกครั้ง ยังเป็นคำถามอันละเอียดอ่อนนัก
  แม้แต่สีหน้าของหลิงหูเหรินเจี๋ยก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นมันก็โบกมืออย่างแรงจนความว่างเปล่าสะเทือน และทันใดนั้นม่านแสงหนึ่งก็พุ่งลงมาจากหังคาโถง ก่อนจะกั้นแบ่งห้องโถงออกเป็น 2 ฝั่ง กั้นขวางระหว่างตัวมันและต้วนหลิงเทียนด้านหลังกับกวงเทียนเจิ้งทันที
  ตอนนี้ค่ายกลพิทักษ์ของตระกูลหลิงหูได้เปิดใช้งานแล้ว ยังสร้างม่านพลังป้องกันหนึ่งแบ่งต้วนหลิงเทียนหลิงหูเหรินเจี๋ย กับกวงเทียนเจิ้งให้เสมือนอยู่กันคนละโลก
  และพอเห็นม่านพลังปรากฏขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างแท้จริง
  เขาเองก็เคยได้ยินถึงพลังอำนาจของค่ายกลพิทักษ์ตระกูลหลิงหูจากหวูเฟิงมาแล้ว เห็นว่าทรงพลังเหนือกว่าค่ายกลที่ปกคลุมนิกายหมอกเร้นลับหลายขุม ยังสามารถปลดปล่อยอาคมสังหารตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นต่ำได้ง่ายดาย และแม้แต่จักรพรรดิเทพขั้นกลางก็ต้องเจียนตาย ไม่ใช่อะไรที่จะทำลายได้เลย
  “ผู้นำตระกูลหลิงหู ท่านจะระวังตัวเกินไปแล้ว”
  กวงเทียนเจิ้งมองลึกไปทางหลิงหูเหรินเจี๋ย พลางกล่าวเสียงหนัก
  ถึงแม้ผิวเผินมันจะแลดูสงบ แต่ในใจกวงเทียนเจิ้งบัดนี้เต็มไปด้วยโทสะทั้งความอับจนหนทางนัก มันมีโมโหที่หลิงหูเหรินเจี๋ยเปิดใช้ค่ายกลขึ้นมาต่อหน้าต่อตา และรู้สึกอับจนเพราะพลังของค่ายกลดังกล่าว
  เดิมทีเมื่อครู่หลังมันพูดจบ มันก็คิดจะลงมือสังหารต้วนหลิงเทียนทันที
  แต่ไม่คิดเลยว่าหลิงหูเหรินเจี๋ยจะตอบสนองเรื่องราวไวขนาดนี้
  และเมื่อสำนึกเทวะของมันแผ่ไปตรวจสอบม่านพลังเบื้องหน้า จนหายสาบสูญไปราวถมทะเล มันก็ตระหนักได้ทันทีว่าอาศัยพลังของมัน เรื่องที่จะบุกฝ่าม่านพลังนี้ไปทำร้ายต้วนหลิงเทียนมันไม่ต่างอะไรกับเรื่องเพ้อฝัน
  เช่นนั้นมันจึงไม่ลงมือทำอะไร
  “ผู้อาวุโสกวงเทียนเจิ้ง ไม่ใช่ท่านบอกข้าก่อนหน้าว่ามีเรื่องจะถามต้วนหลิงเทียนไม่กี่คำไม่ใช่หรือ?”
  หลิงหูเหรินเจี๋ยก็มองสบตากวงเทียนเจิ้งเขม็ง ในดวงตายังฉายแววไม่พอใจขึ้นมา เสียงยังต่ำลงมาก “ให้ข้าต้วนหลิงเทียนออกมาพบท่าน เพราะข้าเชื่อในความจริงใจของท่าน”
  “ขออภัย พอข้าคิดว่าฉู่หานศิษย์ของข้าต้องตายเปล่า ข้าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเสียไปบ้าง”
  กวงเทียนเจิ้งพยายามระงับพลังเทพที่พุ่งพล่านในร่าง แม้ปากจะพูดว่าขออภัย แต่น้ำเสียงยามกล่าวฟังดูเหมือนขอไปที ไม่มีความจริงใจแม้แต่นิดเดียว
  จากนั้นมันก็มองลึกไปทางต้วนหลิงเทียนพักหนึ่ง ค่อยกล่าวว่า “ต้วนหลิงเทียน หวังว่าการตายของฉู่หานศิษย์ข้าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
  “หาไม่แล้ว จะนิกายหมอกเร้นลับก็ดี ตระกูลหลิงหูก็ดี ไม่มีที่ไหสามารถคุ้มกะลาหัวเจ้าได้ทั้งนั้น!”
  หลังจากกล่าวคำด้วยวาจาไม่ไว้หน้าออกมา กวงเทียนเจิ้งก็หันหลังจากไปทันที
  และตอนมันเหินร่างจากไป พลังเทพทั่วร่างของมันก็ลุกโชนขึ้นมาทั่วร่างปานเพลิงไฟ มองไปคล้ายคนถูกไฟคลอกอย่างไรอย่างนั้น
  “ข้าได้ยินมาว่า เจ้าวางแผนจะเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนของนิกายมังกรสวรรค์เราในอีก 20 ปีหลังจากนี้…เช่นนั้นไว้เจอกัน!”
  และนี่คือประโยคสุดท้ายที่กวงเทียนเจิ้งกล่าวทิ้งไว้ ก่อนร่างมันจะบินออกจากห้องโถงจนหายลับตาไป
  อย่างไรก็ตาม แต่ต้นจนจบสีหน้าแววตาต้วนหลิงเทียนยังคงสงบไม่แยแส ราวกับคำขู่ของกวงเทียนเจิ้งไม่ได้มีผลอะไรกับเขาเลย
  สำหรับเขาแล้ว กวงเทียนเจิ้ง ก็เป็นแค่อุปสรรคเล็กๆในดินแดนดาราพิศวงเท่านั้น และหากเขาไม่อาจข้ามผ่านกระทั่งอุปสรรคกระจ้อยร่อยนี้ได้ เช่นนั้นเขาจะช่วงเค่อเอ๋อภรรยาเขาในอีก 300 ปีหลังจากนี้ได้อย่างไร?
  แต่เป็นธรรมดาว่าหากหลิงหูชูยินเป็นเค่อเอ๋อของเขาจริงๆ เช่นนั้นเขาก็ต้องมีพลังมากพอให้ตระกูลเซี่ยของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพยอมรับ
  บางทีเค่อเอ๋ออาจจะไม่สนใจเรื่องนี้
  อย่างไรก็ตามในฐานะลูกผู้ชาย เขาเป็นกังวลกับเรื่องนี้มาก
  “ต้วนหลิงเทียน”
  หลิงหูเหริยเจี๋ยอดคลี่ยิ้มขื่นขมไม่ได้ “ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่จะฆ่าศิษย์ของอาวุโสฟงกับเหล่ยของนิกายหมอกเร้นลับจนพวกมันคิดจะฆ่าเจ้าล้างแค้นเท่านั้น แต่กวงเทียนเจิ้งนั่นยังคิดจะฆ่าเจ้าล้างแค้นอีกคน…”
  “ก่อนที่จะเจ้าไปยังนิกายมังกรสวรรค์เจ้าต้องระวังตัวให้มาก และเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะไม่ก้าวออกไปจากตระกูลหลิงหูเราแม้เพียงครึ่งก้าว”
  กล่าวถึงประโยคท้ายร้อยยิ้มขื่นขมบนใบหน้าหลิงหูเหรินเจี๋ยก็หายไป แทนที่ด้วยความจริงจังเคร่งขรึม
  “ข้าทราบดี”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ ไหนเลยจะออกไปตายโง่ๆ
  เขาเองก็คิดถึงเรื่องพวกนี้ไว้แต่แรก เพราะอาวุโสฟงเหล่ยนั่น ไม่พ้นพวกมันต้องมาซุ่มรอในเมืองหลิงหูเพื่อหาโอกาสลงมือจัดการเขาแน่นอน
  เป็นธรรมดาว่าความเป็นไปได้ที่พวกมันจะลงมือฆ่าเขาทันทีมีต่ำมาก เว้นเสียแต่พวกมันจะไม่ห่วงนิกายหมอกเร้นลับ
  หาไม่แล้ว พวกมันต้องสืบความให้แน่ชัดเสียก่อนว่าเขามีภูมิหลังความเป็นมาอย่างไรกันแน่
  ก็เหมือนในนิกายหมอกเร้นลับ ที่พวกมันไม่กล้าลงมือทำอะไรเขาแต่แรก แต่คิดจะจับตัวเขาไว้ก่อน เพราะพวกมันกลัวว่าเขาจะมีเบื้องหลังร้ายกาจอะไร
  หาไม่แล้วเกรงว่าพวกมันคงลงมือฆ่าเขาตั้งแต่แรกเห็น
  สำหรับกวงเทียนเจิ้ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว
  เกรงว่าหากเขาเปิดช่องให้กวงเทียนเจิ้งสบโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ ไม่พ้นมันต้องลงมือจู่โจมสังหารเขาทันทีแน่ เพราะดูจากอาการของกวงเทียนเจิ้งแล้ว เขาก็บอกได้ทันทีว่ามันยอมฆ่าคนผิดพันคนแต่ไม่ปล่อยให้คนผิดหนึ่งคนรอดตัว
  ‘ไม่คิดเลยว่าข้าจะมีศัตรูแบบนี้ทั้งๆที่ยังไม่ทันเข้านิกายมังกรสวรรค์…’
  ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบทอดถอนในใจ ‘อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีศัตรูเช่นนี้ แต่ไม่พ้นหลังเข้าไปในนิกายหมอกเร้นลับแล้วพวกมันก็ยังคงเห็นข้าเป็นหนามตำตาอยู่ดี’
  ในนิกายมังกรสวรรค์ คนจากนิกายหมอกเร้นลับ นิกายหมื่นปีศาจ และตระกูลหลิงหูก็จับกลุ่มรวมตัวกัน ทั้งมีความเกี่ยวโยงกับนิกายและตระกูลเก่าพอสมควร
  …
  “ว่าอะไร!?”
  “หวูเฟิงหนีไปแล้ว?!
  หลังออกจากตระกูลหลิงหูจนกลับไปถึงนิกายหมื่นปีศาจ กวงเทียนเจิ้งที่ได้รับข้อความจากตู้จ้านก็อดไม่ได้ที่จะมีโมโห ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาด้วยโทสะ กระทั่งยังกระอักโลหิตออกมาดัง อ่อก!
  ตอนนี้มันรู้สึกปวดไปถึงลำไส้ และรู้สึกเสียใจนัก “บัดซบ! ไม่พ้นต้วนหลิงเทียนต้องส่งข่าวไปแจ้งมันแน่!”