ก่อนหน้านี้ตอนที่กวงเทียนเจิ้งเดินทางไปยังตระกูลหลิงหูนั้น มันก็ได้ให้ตู้จ้านศิษย์น้องของมันเดินทางไปยังนิกายหมอกเร้นลับ
มันที่เอาแต่คิดจะล้างแค้นให้ฉู่หานศิษย์ของมัน ก็ไม่ทันได้คิดอะไรมาก
กล่าวได้ว่า หลังจากมันทราบว่าต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวได้ มันก็มุ่งเป้าไปที่ต้วนหลิงเทียนทันที
เพราะไม่ว่าจะซั่งกวนฉงเฟิงหรือหลงเซียว ในฐานะที่เป็น 2 ใน 5 ศิษย์หลักที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับ และกวงเทียนเจิ้งเองก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับทั้งคู่มาพอสมควร ทำให้รู้ดีว่าทั้งคู่เป็นราชาเทพขั้นกลาง ที่พลังฝีมือเหนือกว่าราชาเทพขั้นสูงทั่วไปเสียอีก
แต่ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำ กลับสามารถฆ่าทั้งคู่ได้ง่ายๆ
ด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน ต่อให้จะยังไม่ได้ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ เรื่องจะฆ่าศิษย์มันอย่างฉู่หานที่เป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเย็นอะไร
เช่นนั้นในขณะที่มันเดินทางออกจากนิกายหมื่นปีศาจเพื่อไปยังตระกูลหลิงหู มันก็เอาแต่คิดเรื่องจะฆ่าต้วนหลิงเทียนล้างแค้น
มากจนมันไม่ทันได้คิดเลย ว่าตัวมันได้ใช้เรือเหาะระดับจอมราชันเทพในการเดินทาง และใช้ความเร็วเต็มกำลังซึ่งเทียบได้กับความเร็วของจอมราชันเทพขั้นสูง ซึ่งเหนือกว่าความเร็วในการเดินทางของตู้จ้านศิษย์น้องมันที่เป็นแค่จอมราชันเทพขั้นต่ำหลายขุม
กระทั่งตอนที่มันมาถึงตระกูลหลิงหูจวบจนพบเจอต้วนหลิงเทียนก็แล้ว ศิษย์น้องมันตู้จ้านยังเดินทางไปไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ
“ศิษย์พี่…ขออภัยด้วยเป็นข้าช้าไป”
หลังตู้จ้านย้อนกลับมาถึงนิกายหมื่นปีศาจ ใบหน้ามันก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“เฮ่อ ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหรอก”
ถึงแม้กวงเทียนเจิ้งจะมีโมโหนัก แต่มันก็ไม่ถึงกับขาดสติ โบกมือส่งๆกล่าวว่า “ข้าลืมคำนวณเวลาไปเสียฉิบ เช่นนั้นจึงเปิดโอกาสให้ต้วนหลิงเทียนมีเวลาแจ้งเตือนหวูเฟิง”
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้หวูเฟิงนั่นจะหนีไปได้ แต่สิ่งนี้ก็เป็นการบ่งชี้ชัดเจน ว่าหวู่อี้ซานกับศิษย์น้องต้วนที่หวู่อี้ซานเรียกหา ที่หลานเชียนจวินบอก ไม่พ้นเป็นพวกมันทั้งคู่!”
“แถมพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนั่น ยังกล้าแข็งกว่าที่พวกเราได้รับทราบมาเสียอีก!”
“มันถึงกับมีพลังสามารถฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวได้ ทั้งๆที่มีด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำ เห็นได้ชัดว่ามันร้ายกาจถึงขั้นเข่นฆ่าศัตรูข้ามขั้นได้ถึง 2 ขั้น!”
“อาศัยพลังฝีมือของมัน ต่อให้ด่านพลังจะอยู่ในเทพขั้นสูง ก็มากพอจะฆ่าฉู่หานศิษย์ข้าให้ตายได้ง่ายๆ”
“คนที่ฆ่าฉู่หานเป็นมัน 9 ใน 10!”
กล่าวถึงจุดนี้กวงเทียนเจิ้งก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นอารมณ์ที่เดือดดาลของมันก็ค่อยๆสงบลง “อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนอันใดแล้ว”
“เพราะฟังจากที่หลิงหูเหรินเจี๋ยพูด อีก 20 ปีหลังจากนี้ ต้วนหลิงเทียนนั่นมันคิดจะเข้าร่วมการแข่งมังกรซ่อนของนิกายมังกรสวรรค์ข้า…และการแข่งขันมังกรซ่อนที่ว่า ก็มีแต่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการประเมินทดสอบเข้านิกายเท่านั้น ที่จะลงแข่งได้”
“ในเมื่อมันคิดจะเข้านิกายมังกรสวรรค์ เช่นนั้นข้าจะรอฆ่ามันในนิกายมังกรสวรรค์!”
“อีกทั้งข้าจะไม่เปิดโอกาสให้มันเติบโตเด็ดขาด…ทันทีที่มันมาถึงนิกายมังกรสวรรค์ข้าจะฆ่ามันทันที!”
สองตากวงเทียนเจิ้งเอ่อล้นไปด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว
“ที่ตระกูลหลิงหู ท่านไม่มีโอกาสฆ่ามันหรือ?”
ตู้จ้านเอ่ยถามเพิ่มว่า “พรสวรรค์กับความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนมันน่ากลัวเกินไป ข้ารู้สึกว่ารีบฆ่ามันให้ตายโดยเร็วจะดีที่สุด”
ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยพบเจอต้วนหลิงเทียน
อย่างไรก็ตาม แค่ได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่าย มันก็บอกได้ทันทีว่าต้วนหลิงเทียนเป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวขนาดไหน
“ข้าไหนเลยจะไม่อยากฆ่ามัน”
กวงเทียนเจิ้งเอ่ยออกเสียงหนัก “แต่หลิงหูเหริยเจี๋ยนั่นกลับช่วยมันได้ทัน”
“กระทั่งข้าพึ่งเผยจิตสังหารออกไปแค่เล็กน้อย หลิงหูเหรินเจี๋ยนั่นก็เปิดค่ายกลพิทักษ์ของตระกูลหลิงหูเพื่อปกป้องมันทันที ม่านพลังแบ่งฟ้านั่นกั้นข้ากับต้วนหลิงเทียนเอาไว้”
กวงเทียนเจิ้งกล่าวไปก็กัดฟันไปดังกรอดๆ “หลิงหูเหรินเจี๋ยนั่น เห็นได้ชัดว่าเพราะมันมีปู่เป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ ถึงได้กล้าผยองต่อหน้าข้า!”
อาวุโสมังกรขาว
ได้ยินคำพูดของกวงเทียนเจิ้ง ตู้จ้านก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ ฐานะแทบจะเทียบได้กับอาวุโสสูงสุดเช่นมันในนิกายหมื่นปีศาจหรืออาวุโสสูงสุดของนิกายหมอกเร้นลับเลย ยังเป็นตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นกลางที่มีพลังฝีมือร้ายกาจ เรียกฐานะในนิกามังกรสวรรค์ถือว่าสูงเอาเรื่อง
และนิกายหมื่นปีศาจของมันนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้เฒ่าที่ออกไปอยู่ในนิกายมังกรสวรรค์เต็มที่ก็มีระดับอาวุโสมังกรขาวเช่นกัน
และผู้เฒ่าที่ไปจากนิกายหมื่นปีศาจของมัน เต็มที่ก็คงเป็นได้แค่อาวุโสมังกรขาวแล้ว
ยากจะเลื่อนระดับขึ้นไปได้อีก
“ศิษย์น้อง”
กวงเทียนเจิ้งหันไปมองตู้จ้านพลางถามเปลี่ยนเรื่อง “ข้าได้ยินเจ้าหนูหลานชิงบอกว่า ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมันมาจากระนาบเทวโลก จึงไร้ภูมิหลังอันใดในดินแดนดาราพิศวง…แต่หวูเฟิงนั่นเหมือนจะมีตระกูลอยู่เบื้องหลัง”
“ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีความหมายที่ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อ เช่นนั้นข้าจะกลับไปตระเตรียมงานแต่งให้ศิษย์ข้าต่อ”
“9 ใน 10 หวูเฟิงนั่นคงกลับไปอพยพตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของมันแล้ว…อย่างไรก็ตามเจ้าลองตามเรื่องนี้ดู หากว่ามันยังไม่ทันได้หนีไปไกล หากจับกลับมาได้ก็ใช้ตระกูลเพื่อข่มขู่มัน ไม่ก็ฆ่ามันเสีย!”
กวงเทียนเจิ้งกล่าว
“ศิษย์พี่ เรื่องนี้ขอท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
ตู้จ้านให้คำมั่น “ต่อให้มันจะพาตระกูลหนีไปแล้ว แต่ข้าจะพยายามตามหามันให้เจอ!”
“หากข้าจับตัวมันได้ ข้าจะส่งตัวมันไปนิกายมังกรสวรรค์ให้ท่านสำเร็จโทษมันกับมือ”
ได้ยินคำพูดของตู้จ้าน กวงเทียนเจิ้งก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ลำบากศิษย์น้องแล้ว”
“และงานแต่งของศิษย์คนรองข้ากับลูกสาวของรองประมุขเซวีย สมควรจัดขึ้นในอีก 3 ปีหลังจากนี้…ถึงตอนนั้นข้าจะส่งคำเชิญมาให้เจ้ากับเจ้าหนูหลานชิงล่วงหน้า เจ้าก็พาโป๋จวินกับเชียนจวินมาด้วยกันเถอะ”
กล่าวจบคำกวงเทียนเจิ้งก็เหินร่างจากไป
หลังจากที่กวงเทียนเจิ้งหายลับตาไปแล้ว ตู้จ้านก็ยังตื่นเต้นจนลืมตัวไปพักหนึ่ง “รองประมุขเซวีย…รองประมุขของนิกายมังกรสวรรค์ ที่มีลำดับอาวุโสสูงจนอาวุโสมังกรขาวไม่อาจเทียบได้!”
“ดูเหมือนสายนิกายหมื่นปีศาจในนิกายมังกรสวรรค์จะมีอำนาจเพิ่มขึ้นจนสามารถครอบงำนิกายหมอกเร้นลับกับตระกูลหลิงหูได้ในคราวเดียว!”
หลังจากนั้นสักพัก ตู้จ้านก็ค่อยๆสงบสติลง จากนั้นก็ตรงไปหาหลานชิงประมุขนิกายหมื่นปีศาจ เพื่อถามเรื่องตระกูลของหวูเฟิงทันที
…
ณ ตระกูลหลิงหู
ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาพักในตระกูลหลิงหู หลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหูก็ดูแลเขาอย่างดี และไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามหากอยู่ในวิสัยที่มันจะช่วยเหลือได้ มันก็ตอบรับคำขอของต้วนหลิงเทียนทั้งหมด
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ต้วนหลิงเทียนไม่เพียงจดจำบุญคุณของหลิงหูเหรินเจี๋ยเท่านั้น แต่ยังเป็นทั้งตระกูลหลิงหูอีกด้วย
เวลาส่วนใหญ่ ต้วนหลิงเทียนก็ใช้มันไปกับการบ่มเพาะฝึกฝน
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับโอสถเทพที่ช่วยเหลือในการบ่มเพาะไม่ขาดกระทั่งได้ผลไม้เทพบางชนิด แต่ด่านพลังก็เพิ่มพูนขึ้นไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ และการบ่มเพาะพลังในขอบเขตราชาเทพก็ทำให้เขารู้สึกหนักใจมาก
เช่นนั้น หลังจากที่บ่มเพาะพลังรวมทั้งกระดับความเข้าใจในกฏมิติด้วยผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดถึงจุดอิ่มตัว ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกตีบตัน ก็เริ่มมองหาอะไรทำ
ไม่ว่าจะหนังสือตำรารวมถึงป้ายหยกบันทึกความทรงจำในหอตำราของตระกูลหลิงหู ขอเพียงไม่ใช่ความลับที่ไม่อาจเปิดเผยของตระกูลหลิงหู ต้วนหลิงเทียนก็หยิบยืมมาอ่านหาความรู้หมด
“การหลอมโอสถเทพในระนาบเทพนับว่าน่าสนใจจริงๆ…”
หลังจากต้วนหลิงเทียนลองศึกษาวิธีการหลอมโอสถในระนาบเทพดู เขาก็พบว่าวิธีการหลอมโอสถในระนาบเทวโลกนั้นมันง่ายกว่ากันมาก แต่ก็ยังมีส่วนคล้ายกันพอสมควร
อย่างเช่น ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพนั้น ใช้พลังเทพเพื่อควบรวมสร้างเปลวเพลิง จากนั้นก็อาศัยการควบคุมพลังอันละเอียดอ่อนเพื่อควบคุมเปลวไฟ
สิ่งนี้มันคล้ายกับการหลอมโอสถในระนาบเทวโลก
อย่างไรก็ตามหลังจากเขาศึกษาไปมากเข้าก็พบว่า…
ที่แท้การควบคุมเปลวเพลิงนั้นเป็นหนึ่งในขั้นตอนการหลอมโอสถเทพเท่านั้น และขั้นตอนสำคัญมันขึ้นอยู่กับกฏแห่งไม้มากกว่า
‘ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่เก่งกาจและมีพรสวรรค์สูง มักใช้พลังของกฏแห่งชีวิตเพื่อดึงพลังชีวิตจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพอันเป็นแก่นของระนาบเทพเพื่อนำมาหลอมโอสถ…อีกทั้งโอสถเทพที่หลอมได้จะมีความบริสุทธิ์และทรงพลังมากเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชักนำพลังชีวิตเป็นหลัก’
หลังจากเห็นสิ่งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อึ้งไปอยู่บ้าง
พฤกษาเทพกำเนิดชีพ?
ในระนาบเทวโลกนั้นมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ เรื่องนี้เขารู้อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพในระนาบเทพ จะใช้พลังเทพเพื่อชักนำพลังชีวิตท่ามกลางสวรรค์และโลกที่เกิดจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพมาหลอมโอสถ!
และเรื่องของเรื่องก็คือ…
ในโลกใบเล็กภายในกายเขามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ!
พลังชีวิตเขามีตราบที่ต้องการ!
‘ในระนาบเทพ ผู้ที่เชี่ยวชาญกฏแห่งไฟนั้น สำหรับการหลอมโอสถเทพแล้วก็แค่ขั้นต้นเท่านั้น ต่อมาก็ต้องพึ่งพากฏแห่งไม้เพื่อยกระดับ จากนั้นก็ใช้พลังชีวิตเพื่อทำให้สมบูรณ์…’
‘และปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่เก่งๆในระนาบเทพ ก็มักจะเชี่ยวชาญกฏแห่งไฟ กฏแห่งไม้ และกฏแห่งชีวิต ใช้ไฟกระตุ้นไม้เพื่อหลอมกลั่นขึ้นรูปโอสถ จากนั้นก็ใช้กฏแห่งชีวิตเพื่อชักนำพลังชีวิตจากสวรรค์และโลกเพื่อทำให้เม็ดยาบริสุทธิ์’
หลังจากเข้าใจแล้วต้วนหลิงเทียนก็พอว่า
เขามีคุณสมบัติพื้นฐานที่จะกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระนาบเทพ และสิ่งที่เขามีนั้นไม่ใช่อะไรที่ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพอื่นๆจะเทียบได้
‘หากต้องสู้กับผู้คน กฏแห่งไฟยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เข้าใจความลึกซึ้งและการผสานรวมความลึกซึ้งมากเท่าไหร่ก็ยยิ่งดีเท่านั้น…อย่างไรก็ตามในการหลอมปรุงโอสถเทพ การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟไม่ได้ถูกเอามาใช้เลย แถมหากใช้การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ ก็ยิ่งทำให้เปลวไฟรุนแรงยากจะคงอุณหภูมิไว้ได้ ส่งผลให้การหลอมโอสถมีโอกาสล้มเหลวมากกว่าเดิมเสียอีก…’
‘แต่เป็นธรรมดาว่ายังมีปรมาจารย์หลอมโอสถเทพบางคนอาศัยการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ เพื่อทำให้กระบวนการอุ่นเตาจบเร็วขึ้น’
‘กฏแห่งไม้ก็เหมือนกัน ขอเพียงเข้าใจความลึกซึ้งทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ก็พอแล้ว’
‘กฏแห่งชีวิตก็เหมือนกัน’
‘กล่าวได้ว่า หากข้าต้องการเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพในระนาบเทพแห่งนี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในการทำความเข้าใจกฏทั้ง 3 มากมายอะไร’
หลังจากเข้าใจถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ‘กล่าวได้ว่าตอนนี้ข้ามีคุณสมบัติครบถ้วน กฏแห่งไฟ…กฏแห่งชีวิต ข้าเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดแล้ว’
‘ส่วนกฏแห่งไม้นั้น ยังพึ่งเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการถึงความสำเร็จเล็กน้อยเท่านั้น’
ตอนที่ยังอยู่ในระนาบเทวโลกนั้น ต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทุกประการ หลังจากใช้ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าว
สำหรับกฏแห่งชีวิตกับกฏแห่งไม้ เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้เข้าใจมันมากมายอะไร เพียงแค่เข้าใจมันเล็กๆน้อยเพราะอาศัยพฤกษาเทพกำเนิดชีพกับต้นไม้เทพสนหลิวเท่านั้น
‘ดูเหมือนจะได้ใช้ห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหูแล้วสิ’
พอคิดถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ติดต่อไปหาหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหูทันที และแจ้งความประสงค์ไปว่าอยากขอเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหู
“ต้วนหลิงเทียน”
หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ตอบข้อความกลับมาทันที “ต้วนหลิงเทียน ด้วยความเข้าใจในกฏมิติของเจ้า ข้าเกรงว่าห้องลับแห่งกฏมิติของตระกูลหลิงหูเรา คงไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้เลย…”
“เจ้าเข้าไปใช้ มิใช่เสียเวลาเปล่าๆหรือ?”
พอได้ยินข้อความของหลิงหูเหรินเจี๋ย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด “ผู้นำตระกูลหลิงหู ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้คิดใช้ห้องลับแห่งกฏเพื่อทำความเข้าใจกฏมิติ”
“ข้าคิดใช้ห้องลับแห่งกฏ เพื่อทำความเข้าใจกฏแห่งไม้กับกฏแห่งชีวิต”