“ท่านว่าอะไร!?”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หลินย่าหลินก็ถึงกับโพล่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ และเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าชักสีหน้าจริงจังไม่คล้ายล้อเล่นมันก็อดไม่ได้ที่จะสับสน “ท่าน…ใช้เคล็ดที่ข้าบันทึกไว้ในการสกัดพลังชีวิตรึ?!”
”ใช่.”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
จากนั้นไม่รอให้หลินย่าหลินพูดอะไรอีก ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มสกัดพลังชีวิตจากพลังวิญญาณฟ้าดินตามเคล็ดวิธีที่หินย่าหลินบันทึกไว้ทันที พลังเทพเริ่มผสานกับพลังของกฏแห่งชีวิตก่อนจะกำจายไปในความว่างเปล่า
จากนั้นท่ามกลางสายตาตกใจของหลินย่าหลิน พลังชีวิตขุมหนึ่งก็ควบรวมเป็นกลุ่มก้อนแสง ถึงแม้คราวนี้เขาจะไม่ได้ชักนำพลังชีวิตออกมาจากโลกใบเล็กภายในกายโดยตรง แต่พลังชีวิตที่สกัดได้ก็มากพอสมควร
อย่างน้อยๆก็ทำให้หลินย่าหลินที่ชมดูอยู่ถึงกับตกใจกลัว
และจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ค้นพบขณะชักนำพลังชีวิตออกมาจากโลกใบเล็กภายในกาย
เขาพบว่าหลังจากชักนำพลังชีวิตออกมาใช้แล้วครั้งหนึ่ง ถึงต่อให้จะไม่ได้ใช้พลังชีวิตจากโลกใบเล็ก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ปะปนอยู่กับพลังวิญญาณฟ้าดินได้ชัดเจน
แต่เป็นธรรมดาว่าการสกัดพลังชีวิตตามปกตินั้น มันจะน้อยกว่าที่ชักนำออกมาจากโลกใบเล็ก แต่ปริมาณหรือความหนาแน่นมันก็สู้ดึงออกจากโลกใบเล็กโดยตรงไม่ได้เลย
ทั้งหมดเป็นเพราะโลกใบเล็กภายในกายเขามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ
พลังชีวิตที่เขาดึงออกมาจากโลกใบเล็กนั้น เขาเอามาจากจุดที่อยู่ใกล้ๆพฤกษาเทพกำเนิดชีพ ทำให้มันเข้มข้นและหนาแน่นกว่ากันหลายเท่า
กล่าวได้ว่าเขาลงแรงแค่ครึ่งเดียวแต่ก็ได้ผลลัพธ์เป็นสองไม่สิ 4 เท่าจากปรมาจารย์หลอมโอสถเทพคนอื่นๆ
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้บอกหลินย่าหลินแต่อย่างไร ว่าพลังชีวิตที่เขาสกัดอยู่ตอนนี้ เขาไม่ได้ลงมือเต็มกำลัง
หากเขาลงมือเต็มกำลัง น่ากลัวว่าพลังชีวิตท่ามกลางพลังวิญญาณฟ้าดินบริเวณนี้คงถูกเขาสกัดออกมาหมด
ด้วยความที่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กภายในกาย ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันเข้มข้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาไวต่อสัมผัสของพลังชีวิตมาก และนอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว เกรงว่ามีแต่ต้วนหลิงเทียนที่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กเท่านั้นที่ทำได้แบบนี้
เรียกว่าต้วนหลิงเทียนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตทุกอณูในขอบเขตสำนึกเทวะเขาเลยก็ว่าได้ และเขาก็สามารถสกัดมันออกมาใช้ได้ไม่ยากเย็น
จุดนี้ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพส่วนใหญ่ในระนาบเทพไม่อาจเทียบต้วนหลิงเทียนได้เลย
เมื่อหลิงหูเหรินเจี๋ยหันไปมองหลินย่าหลินเพื่อขอความเห็น หลินย่าหลินที่ตกตะลึงอึ้งไปก็ดึงสติกลับมาจากอาการเหม่อลอย มันคลี่ยิ้มขื่นขมก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “เคล็ดสกัดพลังชีวิตที่อาจารย์ต้วนใช้ เป็นเคล็ดวิธีเล็กๆน้อยๆของข้าจริงๆ…อย่างไรก็ตามเคล็ดวิธีนี้ กระทั่งตัวข้าเองยังไม่อาจสกัดพลังชีวิตได้ถึงครึ่งของท่านด้วยซ้ำ”
“ปริมาณพลังชีวิตที่ท่านสกัดออกมาได้ตอนนี้ เหนือกว่าข้าไปไกลแล้วจริงๆ”
เคล็ดเล็กๆน้อยนี่มันเป็นคนคิดขึ้นมาเอง
กระทั่งมันยังเผยแผร่ให้ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพในตระกูลหลิงหูใช้
อย่างไรก็ตาม แม้คนอื่นๆจะเข้าใจเคล็ดการสกัดพังชีวิตของมัน แต่ก็ไม่มีใครทำได้ดีเท่ามัน เพราะจะสกัดพลังชีวิตได้ จำต้องสัมผัสถึงพลังชีวิตใหห้ได้เสียก่อน
และเคล็ดที่มันสร้างขึ้น ก็ทำให้ผู้คนสามารถสกัดพลังชีวิตเท่าที่สัมผัสได้จากสำนึกเทวะเท่านั้น
“มิน่าแปลกใจเลยที่ท่านสามารถหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดออกมาได้…ด้วยปริมาณพลังชีวิตระดับนี้ ไม่ว่าโอสถระดับเทพใดๆ ท่านก็หลอมมันออกมาเป็นขั้นสุดยอดได้ทั้งนั้น”
“ไม่ต้องกล่าวใดให้มากความ อาศัยปริมาณพลังชีวิตที่ท่านสกัดได้ เกรงว่าคงมีแต่ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชันชั้นแนวหน้าเท่านั้นที่ทำได้ เผลอๆปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิทั่วไปยังทำได้ไม่ดีเท่าท่านด้วยซ้ำ”
ประโยคสุดท้ายขณะพูด หลินย่าหลินก็จงใจลดเสียงให้เบาลงพอให้ต้วนหลิงเทียนกับหลิงหูเหรินเจี๋ยได้ยินเท่านั้น
กระทั่งหวางฟู่ที่อยู่ใกล้กว่าคนอื่นๆที่มาชมดูก็ไม่ได้ยิน
คนที่มาชมดูนั้น ด้วยระยะห่างก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ยิน
แต่เป็นธรรมดาว่าอาศัยคำพูดก่อนหน้าที่หลินย่าหลินพูดกับต้วนหลิงเทียน ก็มากพอให้ทุกคนตระหนักเรื่องสำคัญได้
“ให้ตายเถอะ! ที่อาคันตุกะต้วนใช้ มิใช่วิธีสกัดพลังชีวิตของอาจารย์หลินหรือไร?”
“สิ่งนี้ใช่เรียกสีครามมาจากสีน้ำเงินแต่เข้มกว่าสีน้ำเงินหรือไม่? เพราะอาคันตุกะต้วนใช้เคล็ดสกัดพลังชีวิตของอาจารย์หลินแท้ๆ แต่กลับทำได้เหนือกว่าอาจารย์หลิน…”
“เช่นนั้น…มิใช่อาคันตุกะต้วนพึ่งศึกษาการหลอมโอสถเทพไม่ใช่หรือไร แต่กลับมีความสามารถสกัดพลังชีวิตได้ทัดเทียมกับปรมาจารย์หลอมโอสถระดับจอมราชันแล้ว?”
“ข้าว่า…ในแง่พลังชีวิตที่สกัดได้ อาคันตุกะต้วนเผลอๆยังจะเหนือกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชันเสียอีก เผลอๆยังเหนือกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิทั่วไปส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ!”
“แต่ มิใช่ว่าขั้นตอนสกัดพลังชีวิตมันทำได้ยากที่สุดในการหลอมโอสถเทพหรือไร?”
“เป็นเช่นนั้นจริง เพราะขั้นตอนอื่นๆนั้นสามารถอาศัยการฝึกฝนเพื่อยกระดับทักษะได้ แต่ทว่าขั้นตอนการสกัดพลังชีวิตนั้น มันจำต้องสัมผัสถึงพลังชีวิตที่อยู่ในพลังวิญญาณฟ้าดินให้ได้ก่อน เช่นนั้นแล้วปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่เก่งกฏแห่งชีวิตเป็นทุน จึงมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่น…”
…
บทสนทนาของคนตระกูลหลิงหูที่มาชมดูรอบๆ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเช่นกัน และทำให้เขาอดลอบหัวเราะในใจไม่ได้
ก็ใช่ที่ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่เชี่ยวชาญกฏแห่งชีวิต จะมีข้อได้เปรียบเหนือกว่าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพที่ไม่ได้ใช้กฏแห่งชีวิตเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย
เขา ต้วนหลิงเทียน แม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญกฏแห่งชีวิตมากมายอะไร แต่เนื่องจากเขามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอยู่ในโลกใบเล็กภายในกาย เช่นนั้นเขาจึงไวต่อพลังชีวิตมากกว่าใครๆ
และเกรงว่าในจุดนี้ คงมีแต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพในโลกใบเล็กภายในกายเหมือนเขาเท่านั้น ที่สามารถแข่งกับเขาได้
เพราะทุกระนาบเทพนั้น มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพเป็นรากฐาน
และต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินวารีเทพชำระโลกากล่าวว่า ระนาบเทพจำต้องพึ่งพฤกษาเทพกำเนิดชีพถึงจะดำรงอยู่ได้
หากไม่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ โลกใบเล็กภายในกายก็ไม่อาจพัฒนาจนกลายเป็นระนาบเทพได้เลย
ตอนนั้นต้วนหลิงเทียนก็อดคิดไปไม่ได้ ว่าพฤกษาเทพกำเนิดชีพมันมาจากไหนกันแน่?
ต่อมาเขาก็เริ่มคิดถึงสถานการณ์ของตัวเอง
เพราะถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่ในเมื่อโลกใบเล็กภายในกายเขามีพฤกษาเทพกำเนิดชีพ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าวันหน้าหากเขาเติบโตก้าวหน้าขึ้นไป โลกใบเล็กภายในกายเขาที่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอยู่ ไม่ใช่จะสามารถกลายเป็นระนาบเทพได้ด้วยหรือไร?
และพอถึงจุดนั้น วันที่เขากลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าหากเขาฆ่ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เป็นเจ้าของระนาบเทพสักแห่ง เขาก็สามารถใช้โลกใบเล็กภายในกายาเขาเป็นระนาบเทพใหม่ได้หรือไร?
พอถึงจุดนั้น ในบรรดาระนาบเทพทั้ง 18 ระนาบ ก็จะมีหนึ่งระนาบเทพที่เขาจะกลายเป็นจ้าว!
เพราะนั่นคือโลกใบเล็กภายในร่างกายของเขา!
“แยกย้ายกันได้แล้ว”
หลิงหูเหรินเจี๋ยหันไปกวาดตามองผู้คนรอบๆ พลางกล่าวออกมาเสียงดัง
หลังจากที่หลินย่าหลินจงใจลดเสียงลง เห็นได้ชัดว่าต้องการคุยกันเป็นการส่วนตัว หลิงหูเหรินเจี๋ยเองก็มีเรื่องจะกล่าวถามต้วนหลิงเทียนไม่น้อยเลย
แต่เนื่องจากมีคนมามุงดูกันเยอะแยะแบบนี้ ย่อมไม่สะดวกเป็นธรรมดา
หลิงหูเหรินเจี๋ยจะอย่างไรก็เป็นผู้นำตระกูลหลิงหู แม้คำสั่งดังกล่าวจะทำให้หลายๆคนไม่เต็มใจทำตาม แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัด
และก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันจากไป ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังมากมายส่งตรงถึงหู “ต้วนหลิงเทียน ข้าเรียกว่า หยวนอวี่ เป็นอาวุโสต่างแซ่ของตระกูลหลิงหู และบ้านพักของข้าก็อยู่ถัดจากบ้านพักเจ้าไม่กี่หลัง หากท่านว่างก็สามารถแวะเวียนมาดื่มชมสนทนากับข้าได้ทุกเมื่อ”
“ต้วนหลิงเทียน ข้า…”
“อาคันตุกะต้วน ข้า…”
…
เรียกว่าเสียงผ่านพลังของแต่ละคนก็มีจุดประสงค์ดุจเดียวกัน นั่นคือพยายามทำความรู้จักเพื่อสานไมตรีกับเขา เห็นได้ชัดว่าหลังจากทุกคนพบว่าต้วนหลิงเทียนสามารถหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดได้ พวกมันก็ตระหนักถึง ‘ศักยภาพ’ ของต้วนหลิงเทียนทันที
เดิมทีพวกมันรู้จักต้วนหลิงเทียนในฐานะอัจฉริยะที่มากล้นไปด้วยพรสวรรค์และความเข้าใจ
แต่ทว่าวันนี้ทั้งๆที่พึ่งหลอมโอสถเทพเป็นครั้งแรก กลับหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดออกมาได้ ถึงขั้นความสามารถในการสกัดพลังชีวิตยังเทียบได้กับปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิด้วยซ้ำ กับคนที่เก่งกาจเช่นนี้ วันหน้าต้องทะยานไปไกลแน่ หากพวกมันไม่รีบทำความรู้จักตอนนี้ ต่อไปพวกมันก็คงไม่มีโอกาสแล้วแน่นอน
ช่วงแรกๆต้วนหลิงเทียนก็ก็ส่งเสียงตอบกลับอย่างสุภาพ
แต่ต่อมาเขาตอบกลับไม่ทันจริงๆ เพราะเสียงมันดังขึ้นพร้อมๆกันจนฟังแทบไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ทยอยกันแยกย้ายจากไป ในที่สุดละแวกน่านฟ้าเหนือบ้านต้วนหลิงเทียนก็หวนกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
บริเวณลานบ้าน หวางฟู่ก็ได้พาสาวใช้มาตระเตรียมโต๊ะก่อนที่จะจากไปให้ความเป็นส่วนตัว ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียน หลินย่าหลิน และหลิงหูเหรินเจี๋ยคุยกันสะดวก
“อาจารย์ต้วน ท่านสมควรมีพื้นฐานการหลอมยามาบ้างแล้วก่อนที่จะขึ้นมายังระนาบเทพใช่หรือไม่?…หากเดาไม่ผิดตอนอยู่ในระนาบเทวโลก ท่านก็เป็นปรมาจารย์หลอมโอสถที่โดดเด่นเช่นกันกระมัง?”
พอนั่งลง หลินย่าหลินก็อดถามเรื่องนี้ออกมาไม่ได้
“ก็ทำนองนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “ตอนข้าอยู่ในระนาบเทวโลก ช่วงแรกๆข้าก็มีหลอมโอสถบ้าง แต่พักหลังๆข้าไม่ค่อยมีเวลาจึงห่างหายไปนาน”
“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้าจะขึ้นไปยังระนาบเทวโลก สมัยอยู่ในระนาบโลกียะข้าก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการหลอมโอสถพอสมควร”
หากวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ถูกคนจากระนาบโลกียะรุ่นเดียวกันมาได้ยิน พวกมันคงอดมองต้วนหลิงเทียนตาปริบๆไม่ได้
เพราะในระนาบโลกียะ เมื่อพูดถึงเรื่องหลอมโอสถแล้ว หากต้วนหลิงเทียนบอกว่าตัวเองเป็นที่ 2 ยังจะมีใครกล้าอ้างตัวว่าเป็นที่ 1?
“ข้าว่าแล้วเชียว…”
หลินย่าหลินระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ตอนนี้ข้ากำลังคิดว่าที่อาจารย์ต้วนหลอมโอสถเจี๋ยอี๋ปิ่งได้ตั้งแต่เตาที่ 2 อาจไม่ใช่เพราะท่านมีความสามารถในการสกัดพลังชีวิตอย่างเดียว แต่ขั้นตอนการหลอมก่อนหน้าก็สมควรทำได้ดีไม่น้อย”
“ในเมื่อท่านมีรากฐานเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ”
“สุดท้ายแล้วการหลอมโอสถในระนาบเทวโลกกับระนาบเทพ แม้ในระนาบเทพอาจจะซับซ้อนกว่า แต่มันก็มิได้มากมายอะไร ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือการสกัดพลังชีวิตมาหลอมเกลาให้เม็ดยาบริสุทธิ์”
กล่าวถึงจุดนี้ หลินย่าหลินก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย “อาจารย์ต้วน อาศัยความสามารถในการหลอมโอสถเทพที่ท่านแสดงออกมาวันนี้…วันหน้าท่านมีศักยภาพมากพอจะเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิชั้นแนวหน้า กระทั่งอาจเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับอริยะได้ด้วยซ้ำ”
ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับอริยะ!
ได้ยินประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้อะไรมากมาย แต่หลิงหูเหรินเจี๋ยนั้นตกใจจนแทบพ่นน้ำชาออกมา
ต้องทราบด้วยว่ากระทั่งอดีตประมุขนิกายมังกรสวรรค์ที่ถูกขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพมากมายแห่มาทาบทามยื่นข้อเสนอ ก็ยังเป็นแค่ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับจักรพรรดิเทพทั่วๆไปเท่านั้น
แต่ตอนนี้หลินย่าหลินกลับบอกว่า ต้วนหลิงเทียนมีศักยภาพที่จะกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิชั้นแนวหน้า แม้กระทั่งปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับอริยะ!?
หลิงหูเหรินเจี๋ยรู้จักสหายคนนี้ดีจนไม่รู้ว่าจะรู้ดีไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว และอีกฝ่ายก็ไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นสักครั้ง
กล่าวได้ว่าอีกฝ่ายประเมินต้วนหลิงเทียนไว้สูงลิบลิ่ว!
“อาจารย์หลินก็กล่าวชมข้าเกินไป”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มเหยเกพลางส่ายหน้าไปมา “ตอนนี้ข้าถือว่าเป็นแค่ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพมือใหม่เท่านั้น”
“เส้นทางการหลอมโอสถเทพของข้ายังต้องเดินอีกไกล…”
“และต่อไปข้าก็หวังว่าอาจารย์หลิน จะสามารถชี้แนะข้าได้”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ถ่อมตัวแม้แต่นิดเดียว เพราะเขารู้สึกว่าการหลอมโอสถเทพนั้น ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อีกมากมาย กระทั่งยังขาดอยู่หลายอย่างถึงจะเรียกว่าเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพเต็มตัว
ไม่ต้องกล่าวใดให้มากความ
เอาแค่การหลอมโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งวันนี้ เขาได้แต่ทำตามขั้นตอนในสูตรหลอมอย่างละเอียดเท่านั้น และบางจุดเขาก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าไฉนต้องทำแบบนี้ เรียกว่าเขาเอาหัวไถทำตามอย่างเดียว พอเจอปัญหาใดก็ใช้วิธิแก้ตามคำแนะนำ
กล่าวได้ว่าเมื่อลงลึกถึงทฤษฏีแล้ว เขาไม่เข้าใจเลย
ในอดีตการหลอมโอสถในระนาบเทวโลก เขาก็อาศัยการประยุกต์ใช้ประสบการณ์จากระนาบโลกียะ แถมยังมีครูคอยสอนหลายคน ให้เทียบกับการหลอมโอสถเทพแล้ว การหลอมโอสถในระนาบเทวโลกมันง่ายกว่ากันมาก