ตอนที่ 3,754 : 2 ปีต่อมา
  หลังจากที่เฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับ สั่งให้คนไปลบล้างข่าวลือเป็นการส่วนตัว ความโกลาหลพลันบังเกิดในนิกายหมอกเร้นลับทันที
  คนทั่วไปไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ลงคอ
  ซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวนั้นต้องการฆ่าต้วนหลิงเทียน คนของนิกายหมอกเร้นลับรู้เรื่อง
  แต่กระนั้น การเข่นฆ่าทั้งคู่สวนกลับของต้วนหลิงเทียน ไม่อาจพูดว่าเป็นการป้องกันตัวได้เต็มปาก เพราะหลงเซียวยังไม่ทันลงมือทำอะไร เช่นนั้นถือว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้ลงมืออย่างชอบธรรม
  ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวก็ไม่ใช่ศิษย์หลักธรรมดาๆ ทั้งคู่เป็นศิษย์ของอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ย 2 ใน 4 ผู้อาวุโสสูงสุดที่ทรงอำนาจในนิกาย
  ปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่อาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยจะยอมเลิกราง่ายๆ
  แต่วันนี้เห็นได้ชัดว่าอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยไม่คิดสืบสาวหาความอีกต่อไป
  “ที่แท้มันเรื่องอะไรกันแน่? ใช่สร้างม่านควันหรือไม่?”
  “ม่านควันรึ?”
  “อาจเป็นได้…บางทีนิกายหมอกเร้นลับเราอาจตั้งใจปล่อยข่าวดังกล่าวเพื่อให้ต้วนหลิงเทียนตายใจ จนผ่อนคลายความระวัง จากนั้นก็ลงมือพิฆาตในกระบวนเดียว!”
  “แต่ข้าไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้นนะ เพราะข้ารู้สึกว่ามันไม่จำเป็น”
  “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เรื่องของต้วนหลิงเทียนก็ได้จบไปแล้ว…อย่างน้อยๆดูเหมือนท่านประมุขเองก็ไม่คิดตามเรื่องมันอีกต่อไป”
  “ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเรื่องนี้มันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรกันแน่”
  …
  ในขณะที่เริ่มมีบทสนทนาดังกล่าวดังขึ้นหน้าหูในนิกายหมอกเร้นลับ อู่ฟงหยินซึ่งเป็นอาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับก็ได้รับข่าวเช่นกัน จากนั้นสีหน้ามันก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
  ครั้งล่าสุดตอนข่าวต้วนหลิงเทียนกลายเป็นคนทรยศเนรคุณนิกายหมอกเร้นลับแพร่ไปทั่วนิกาย มันก็รู้สึกว่าจากนี้ต่อไปนิกายหมอกเร้นลับจะยึดถือต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรู และต้องฆ่าให้ตายกันไปข้าง
  ดังนั้นมันจึงไม่กังวลเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนจะแค้นมัน เพราะมันเป็นอาจารย์ของถูเฟิงอีกต่อไป
  แต่ตอนนี้หลังได้รับทราบทัศนคติล่าสุดของประมุขนิกาย มันก็รู้สึกถึงวิกฤตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ตอนนี้ข้าควรหลบหนีออกจากนิกายหมอกเร้นลับเลยหรือไปถามประมุขนิกายก่อนดี ว่าไฉนทางนิกายถึงไม่คิดติดใจเอาความเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวอีกต่อไป?”
  หลังลังเลอยู่พักหนึ่งว่าจะทำอย่างไร ในที่สุดอู่ฟงหยินก็ตัดสินใจได้
  ไปถามประมุขก่อน!
  “ท่านประมุข”
  สุดท้ายอู่ฟงหยินก็เป็นอาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับ เช่นนั้นยามจะพบประมุขนิกายหมอกเร้นลับอย่างเฉียนหยิ่น มันก็แค่แจ้งเรื่องราวกับผู้เฝ้าประตู จากนั้นก็เข้าพบได้โดยตรง
  “อาวุโส 2 ท่านมีเรื่องอันใดหรือ?”
  เฉียนหยิ่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
  “ท่านประมุข ไฉนอยู่ๆทางนิกายถึงเลิกมุ่งเป้าไปที่ต้วนหลิงเทียนแล้วเล่า? แถมมันยังฆ่าศิษย์รักของอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยไปทั้งคน ด้านอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยไม่คิดตามเรื่องนี้แล้วหรือ?”
  พอได้พบคนอู่ฟงหยินก็เอ่ยถามเข้าเรื่องทันที
  “มิผิด”
  เฉียนหยิ่นพยักหน้าตอบ “ไม่ติดใจเอาความมันแล้ว”
  “อาวุโส 2 นี่ท่านมาหาข้าเพียงเพราะคิดถามเรื่องนี้หรือ?”
  เฉียนหยิ่นอดไม่ได้ที่จะงุนงง และราวกับนึกอะไรได้ออก มันก็มองถามอู่ฟงหยินด้วยท่าทีจริงจัง “อาวุโส 2 นี่ท่านคงมิได้ไปทำอะไรต้วนหลิงเทียนไว้ ก่อนที่มันจะออกจากนิกายหรอกนะ?”
  “มิได้”
  อู่ฟงหยินเร่งส่ายหัวไปมาเร็วไว “เดิมทีข้าก็คิดจะจัดการมันจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่สบโอกาสเหมาะ…อย่างไรก็ตามศิษย์คนโตของข้า ถูเฟิง ถูกมันฆ่าตาย และข้ากังวลว่ามันจะย้อนกลับมาแก้แค้นข้าในภายหลัง ข้าก็เลยคิดจะชิงเล่นงานมันก่อน”
  “เป็นเช่นนั้น…”
  เฉียนหยิ่นพยักหน้ารับทราบ “ท่านวางใจเถอะ ขอเพียงท่านมิได้ลงมือทำอะไรเป็นการยั่วยุมันก่อน มันไม่น่าจะหันมาเล่นงานท่าน”
  “เผลอๆ ตอนนี้บางทีมันอาจจะลืมท่านไปแล้วก็เป็นได้”
  “ท่านอาจคิดว่าตัวเองเป็นถึงอาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับ แต่ข้าเกรงว่าในสายตาของมันอาจไม่มีท่านอยู่เลย…”
  เฉียนหยิ่นพยายามกล่าวประโยคเบาๆ แต่อันที่จริงก็คือการบอกว่า
  ต้วนหลิงเทียน ไม่ได้เห็นเจ้าอู่ฟงหยินอยู่ในสายตา
  เป็นธรรมดาว่าอู่ฟงหยินย่อมเข้าใจสิ่งที่เฉียนหยิ่นจะสื่อ จึงคลี่ยิ้มขื่นขมออกมาอย่างอดไม่ได้ “ท่านประมุข ท่านยังมิได้บอกข้าเลย…ว่าไฉนอาวุโสฟงกับเหล่ยถึงได้รามือ”
  “หรือว่า…ท่านยืนยันความเป็นมาของต้วนหลิงเทียนผู้นั้นได้แล้ว”
  “ที่แท้มันเป็นใครกันแน่?”
  “คนของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่ออกมาหาประสบการณ์เพียงลำพังหรือ?”
  อู่ฟงหยินยิงคำถามออกไประรัว
  “อันที่จริงข้ายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของมันเลย”
  เฉียนหยิ่นส่ายหัวไปมา
  “ยังไม่รู้ตัวตนของมัน?”
  อู่ฟงหยินอึ้งไปราวตัวโง่งมครู่หนึ่ง ค่อยถามสืบต่อ “ในเมื่อยังไม่รู้ว่ามันเป็นใครมาจากไหนกันแน่ แล้วไฉนอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยถึงยามรามือจากมันได้เล่า?”
  “เรื่องนี้มันไม่น่าเป็นไปได้กระมัง?”
  ในสายตาของอู่ฟงหยิน อาวุโสสูงสุดทั้ง 2 นั่นไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน ยิ่งไม่ใช่อินทรีย์ที่คร้านจับกระต่าย หมายให้ทั้งคู่วางมือเลิกรา เกรงว่ายากนักจะทำได้
  “ช่างเถอะ สุดท้ายเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เองอยู่ดี เช่นนั้นบอกให้เจ้ารู้เลยก็ไม่เป็นไร”
  สองตาเฉียนหยินทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ค่อยเอ่ยว่า “อันที่จริงเรื่องนี้ เป็นอาวุโสเหล่ยเสนอออกมาด้วยตัวเอง”
  “อาวุโสเหล่ยนั้นได้ไปเฝ้าจับตาดูต้วนหลิงเทียนที่เมืองหลิงหูสักพักแล้ว…มาตรว่าสบโอกาสเหมาะที่ต้วนหลิงเทียนออกจากตระกูลหลิงหูโดยไร้จอมราชันเทพติดตามเมื่อใด ก็จะบุกไปจับตัวมันกลับมานิกายหมอกเร้นลับเราเพื่อกักตัวไว้ก่อนทันที…”
  “และถ้าหากมันมีภูมิหลังความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ พวกเราย่อมปล่อยมันไปเป็นธรรมดา…แต่ถ้าไม่ อาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยย่อมฆ่ามันเพื่อล้างแค้น…”
  กล่าวถึงจุดนี้ เฉียนหยิ่นก็หยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “อนิจจาแผนกลับตามความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน…”
  “เมื่อไม่นานมีนี้ อาวุโสเหล่ย…ฯลฯ”
  หลังจากเฉียนหยิ่นประมุขนิกายหมอกเร้นลับเล่าเรื่องราวที่อาวุโสเหล่ยได้รับทราบจากเมืองหลิงหูออกมา อู่ฟงหยินถึงกับยืนบื้อไปพักหนึ่ง มันย่อมตกใจเป็นธรรมดา “ตะ…ต้วนหลิงเทียนนั่นมันหลอมโอสถเจี๋ยอี๋ปิ่งขั้นสุดยอดออกมาได้!?”
  ถึงแม้ว่าตัวมันจะไม่ใช่ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพ แต่มันก็รู้ดีว่าการหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดออกมาคืออะไร และมีความหมายอย่างไร
  “นอกจากพรสวรรค์กับความเข้าใจอันเลิศล้ำของมัน…แต่มันกลับประสบความสำเร็จในศาสตร์หลอมโอสถเทพถึงเพียงนี้อีก? นี่มันยังเป็นผู้คนอยู่หรือไม่!?”
  อู่ฟงหยินรู้สึกเหลือเชื่อนัก
  และบัดนี้ ในที่สุดมันก็ทราบได้ทันทีว่าไฉนอาวุโสเหล่ยถึงไม่ตามเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าหลงเซียวอีกต่อไป ถึงแม้จะยังไม่ทราบว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนมีความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆหรือไม่
  ในปัจจุบัน ต่อให้ต้วนหลิงเทียนไร้ภูมิหลังอันใด แต่ทุกสิ่งที่เผยออกมา ก็มากพอจะบอกให้รู้ว่าคนต้องมีอนาคตที่สดใส่แน่ๆ
  กับตัวตนดังกล่าว เว้นเสียแต่จะมีเรื่องบาดหมางถึงขั้นต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างจริงๆ หรือสามารถตัดรากถอนโคนได้แน่ๆ ย่อมไม่มีใครหาญกล้าตอแยด้วยเป็นธรรมดา
  มันลองสวมรองเท้าอาวุโสเหล่ยดู ก็บอกได้ทันทีว่าหากเป็นมันก็คงไม่กล้าวอแวกับต้วนหลิงเทียนอีก
  “ท่านประมุขกล่าวไม่ผิด…บางทีมันอาจไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาจริงๆ กระทั่งยังอาจจะลืมข้าไปหมดสิ้นแล้ว”
  อู่ฟงหยินได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขมออกมา มันพึ่งตระหนักได้ว่าแต่ต้นจนจบเป็นมันสำคัญตัวผิดไปเอง…
  ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นกระทั่งเข่นฆ่าศิษย์ของอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยไปแล้ว แต่ยังไม่คิดจะมีเรื่องกับอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยอีกต่อไป เช่นนั้นไหนเลยอีกฝ่ายจะจ้องเล่นงานมัน อู่ฟงหยิน ได้?
  …
  หลังจากผ่านไป 2 เดือน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินข่าวจากนิกายหมอกเร้นลับ
  ในปัจจุบัน นิกายหมอกเร้นลับไม่เห็นเขาเป็นคนทรยศอีกต่อไป
  นอกจากนั้น ยังอวยพรให้เขาประสบความสำเร็จในตระกูลหลิงหูอย่างเปิดเผย กล่าวได้ว่าเรื่องราวมันดุจดั่งหนังคนละม้วนกับก่อนหน้านี้เลยก็ว่าได้
  ‘นี่ก็คิดไม่ถึงจริงๆ…ว่าอาศัยการหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดออกมาแค่เตาเดียว จะทำให้อาวุโสเหล่ยหรือแม้แต่นิกายหมอกเร้นลับหวั่นเกรงจนไม่กล้ามีเรื่องกับข้าอีกต่อไป…’
  เรื่องนี้เป็นอะไรที่ต้วนหลิงเทียนคาดไม่ถึงมาก่อน
  แต่เป็นธรรมดาว่าพอลองคิดดูจริงๆ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายถึงตัดสินใจแบบนี้ออกมา เพราะความสำเร็จในศาสตร์หลอมโอสถเทพของเขามันน่ากลัวจริงๆ และมีอำนาจสะกดข่มมากกว่าพรสวรรค์กับความเข้าใจในเชิงยุทธ์ของเขาเสียอีก
  เพราะในแง่พลังฝีมือแล้ว ตอนนี้ตัวเขายังพึ่งเทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตราชาเทพขั้นสูงเท่านั้น
  แต่สำหรับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอย่างนิกายหมอกเร้นลับ อาศัยยอดฝีมือราชาเทพขั้นสูงคนหนึ่ง ย่อมไม่อาจสั่นคลอนอะไรได้เลย และในนิกายก็ไม่ขาดคนที่จัดการเขาได้ง่ายๆ
  อย่างไรก็ตาม ในแง่ความสำเร็จของศาสตร์การหลอมโอสถเทพ กวาดตามองทั่วนิกายหมอกเร้นลับก็ไร้ผู้ใดเทียบเทียมเขาได้
  เพราะไม่มีผู้ใดในนิกายหมอกเร้นลับ สามารถหลอมโอสถเทพขั้นสุดยอดออกมาได้เลย แม้จะเป็นแค่โอสถระดับเทพก็ตาม
  ‘คราวนี้กล่าวได่ว่า ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว แต่ต้นหลิวกลับให้ร่มเงาจริงๆ’
  (ไม่ตั้งใจปักกิ่งหลิว แต่ต้นหลิวกลับให้ร่มเงา = เผลอปักกิ่งหลิวไปส่งๆ แต่มันดันงอกเงยขึ้นมาเป็นต้นหลิวใหญ่โตให้ร่มเงา, ไม่ได้ตั้งใจจะทำสักเท่าไหร่ แต่กลับให้ผลตอบแทนเหนือความคาดหมาย )
  ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้สนใจอะไรกับความเคลื่อนไหวของนิกายหมอกเร้นลับมากนัก แต่การที่ไร้ภัยซ่อนเร้นใดๆจากนิกายหมอกเร้นลับย่อมประเสริฐกว่า
  ท้ายที่สุดแล้ว นิกายหมอกเร้นลับก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับเขา
  ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับอาวุโสฟงกับอาวุโสเหล่ยเท่านั้น
  หลังจากสังหารซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวไปแล้ว กล่าวได้ว่าในนิกายหมอกเร้นลับไม่มีใครเป็นศัตรูกับเขาอีก เพราะไม่มีบุคคลที่ 3 ที่หาเรื่องเขา
  ‘พูดถึงเรื่องหลอมโอสถเทพ…ลองดูอีกทีดีกว่า ไม่แน่อาจจะหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดออกมาได้’
  ช่วงนี้ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในตระกูลหลิงหู ให้กล่าวว่าอุทิศตัวกับการศึกษาศาสตร์หลอมโอสถเทพก็ไม่เกินเลย และนอกจากทดลองหลอมโอสถแล้ว เขายังหมั่นไปศึกษาร่ำเรียนกับหินย่าหลิน หัวหน้าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพของตระกูลหลิงหูอย่างขยันขันแข็ง
  อย่างน้อยๆตอนนี้เขาก็สามารถหลอมโอสถเทพระดับราชาออกมาได้แล้ว
  แต่เป็นธรรมดาว่าขั้นตอนหลอมเกลาโอสถให้บริสุทธิ์ด้วยพลังชีวิตนั้น เขาไม่ได้ฉีดพลังชีวิตเข้าไปมากเกินไป เพราะเขาเองก็กลัวว่าจะเผลอหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดออกมาเช่นกัน
  กับโอสถระดับเทพนั้น ต่อให้หลอมขั้นสุดยอดออกมา ก็ไม่นับว่าเป็นอะไร
  แต่ถ้าเขาทะลึ่งหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดออกมาได้ล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้า หรือแม้แต่กองกำลังอันธพาลระดับจักรพรรดิเทพอาจไม่สามารถนั่งเฉยอยู่ได้สืบไป…
  หากเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้ามาทาบทามเขาเพื่อไปเป็นอาวุโสทรงเกียรติอะไรทำนองนั้น เขาย่อมไม่ขัดข้อง แต่ถ้าเกิดเป็กองกำลังอันธพาลระดับจักรพรรดิเทพคิดลักพาตัวเขาไปหลอมยาทั้งวันทั้งคืนเล่า? ถึงตอนนั้นถ้าเขาไม่ทำก็ตาย จะหนีก็หนีไม่ออก นั่นไม่ฉิบหายแล้วหรือ?
  เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงงำประกายทำตัวติดดินอย่างดี
  อย่างไรก็ตาม เขาเองก็บังเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาเหมือนกัน ยังอยากจะหาโอกาสออกจากตระกูลหลิงหูไปไกลๆ เพื่อไปลอบหลอมโอสถระดับราชาเทพอย่างตั้งใจดู
  ‘อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าไม่อาจทะเล่อทะล่าออกจากตระกูลหลิงหูได้…ถึงแม้นิกายหมอกเร้นลับจะไม่ราวีข้าอีกแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าอาวุโสกวงเทียนเจิ้งของนิกายมังกรสวรรค์นั่น มันซุ่มรอข้าอยู่ในเมืองหลิงหูรึเปล่า’
  ‘หากกวงเทียนเจิ้งนั่นงมือขึ้นมา ขอเพียงมันไม่ได้ลงมือในเขตจวนตระกูลหลิงหู ต่อให้เป็นคู่แฝดเหิงฮวนของตระกูลหลิงหูอยู่ข้างๆ ก็คงไม่อาจปกป้องข้าได้’
  ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบด่านพลังฝึกปรือทั้งพังฝีมือของกวงเทียนเจิ้งจากปากของหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหูแล้ว จึงรู้ว่ากวงเทียนเจิ้งเป็นจอมราชันเทพขั้นกลาง
  ยิ่งไปกว่านั้นยังร้ายกาจกว่าจอมราชันเทพขั้นกลางทั่วๆไปมาก
  ‘รอดูไปก่อนแล้วกัน…ต่อให้กวงเทียนเจิ้งนั่นมันจะยังซุ่มรอข้าอยู่ในเมืองหลิงหู เฝ้ารอโอกาสเหมาะที่ข้าออกจากตระกูหลิงหู แต่ถ้ามันรอเก้ออยู่สักปีสองปีแต่ไม่มีสบโอกาส มันต้องร้อนใจไม่น้อยเป็นแน่’
  เมื่อบ่มเพาะพลัง ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเวลาที่ใช้
  แต่ถ้าเฝ้าจับตารอใครสักคนให้ออกมาจากที่ไหนสักแห่งอย่างใจจดจ่อ นี่ไม่ต่างอะไรกับการนั่งนับเวลาทุกวินาที
  แม้แต่จอมราชันเทพขั้นกลางอย่างกวงเทียนเจิ้ง หากมาซุ่มจับตาดูเขาอยู่สองสามปี ก็เกรงว่าคงไม่อาจทนความทรมานและเบื่อหน่ายได้ไหว
  …
  หนึ่งปีผ่านไป
  และพริบตาเดียว สองปีก็ได้ล่วงเลยผ่านพ้นไป
  ฟุ่บ!
  ร่างหนึ่งเหินออกจากนิกายหมอกเร้นลับ และมุ่งหน้าไปยังเมืองวายุสวรรค์ด้วยความเร็วสูง
  เป็นอาวุโสฟง 1 ใน 4 อาวุโสสูงสุดที่มีอำนาจมากที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ
  อย่างไรก็ตามการเดินทางออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังเมืองวายุสวรรค์ของอาวุโสฟงครั้งนี้ ระหว่างทางมันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า หันไปสวมใส่ชุดคลุมลมดำ เว้นเสียแต่จะไปมองมันใกล้ๆ หาไม่แล้วเกรงว่าคงไม่อาจแลเห็นหน้าตามันได้
  หลังจากมาถึงเมืองวายุสวรรค์ มันก็อบเข้าไปยังสถานศึกษาหมอกเร้นลับทันที
  และในสถานศึกษาหมอกเร้นลับอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สัมผัสการมาถึงของมัน
  “เจ้าเป็นใครกัน!?”
  เมื่อประตูห้องพักบ่มเพาะส่วนตัวถูกถีบจนเปิดออก นักศึกษา 10 ดาว โหวชิ่งหนิง ที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาทันทีจึงเห็นชายในชุดคลุมลมดำที่บุกรุกเข้ามาได้ไม่ยาก พาลให้สีหน้าของมันเปลี่ยนไปใหญ่หลวง