หลังจากได้ยินการเตรียมการยิบย่อยของหลิงหูเหรินเจี๋ย ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เช่นนั้นตลอด 2 วันต่อมา ต้วนหลิงเทียนที่วางใจในการเตรียมการของหลิงหูเหรินเจี๋ยจึงสามารถหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันได้อย่างสบายใจ
กล่าวไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าอยู่ๆเขาจะกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพไปได้
อีกทั้งเขายังคิดไม่ถึง ว่าหลังจากกลายเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพแล้ว ส่วนที่สำคัญที่สุดกลับเป็นการสกัดพลังชีวิตที่แฝงอยู่ท่ามกลางพลังวิญญาณฟ้าดินออกมาใช้ ซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำหรับเขาที่มีพฤกษาเทพกำเนิดชีพอยู่ในโลกใบเล็กภายในกาย จะเป็นอะไรที่ง่ายมาก
ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ทันทีที่เขาได้กลับมาเดินบนหนทางการหลอมยาอีกครั้ง เขาจึงหลอมโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งขั้นสุดยอดออกมาได้ภายในการพยายามครั้งที่ 2
ฟังจากที่หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวแล้ว โอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งทั้ง 3 เม็ดที่เขาหลอมนั้น แม้แต่ตัวตนระดับจอมราชันเทพยังหวั่นไหว อยากได้อยากมี…
ทำให้การขอความช่วยเหลือครั้งนี้ เขาสามารถใช้โอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งเป็นค่าตอบแทนได้โดยตรง
เดิมทีต้วนหลิงเทียนยังคงเป็นห่วงว่า ตระกูลหลิงหูอาจจะติดค้างหนี้น้ำใจผู้อื่นหากขอแรงมาช่วยเขา และสิ่งนี้จะทำให้เขารู้สึกติดค้างตระกูลหลิงหูมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดเขาก็โล่งใจได้เสียที
“ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพ…นับเป็นอาชีพที่ล่ำซำในระนาบเทพจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอย่างทอดถอนใจ
ยังดีที่เสียงถอนหายใจดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนไม่มีปรมาจารย์หลอมโอสถเทพคนอื่นได้ยิน หาไม่แล้งคงได้เบ้ปากกลอกตาใส่เขาแน่
ท่านคิดว่าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพคนอื่นๆ จะสามารถหลอมโอสถเทพระดับราชาให้ออกมาเป็นขั้นสุดยอดได้ง่ายๆเช่นนี้หรือไร?
ไม่ทันไรเวลาก็ผ่านไป 2 วัน
กล่าวได้ว่าเมื่อใจจดจ่อกับสิ่งใด วันเวลามันก็มักจะไหลผ่านไปเร็วนัก
เมื่ออัสดงเริ่มหม่นแสง ย้อมฟ้าให้เป็นสีแดงฉานบ่งบอกเวลาโพล้เพล้ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความไปหาโหวชิ่งหนิง “ด้านข้าเสร็จธุระแล้ว ทางเจ้าเล่าเสร็จเรื่องรึยัง แล้วตัดสินใจไปกินที่ไหน?”
ขณะส่งข้อความออกไป ในใจต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่คิดไปอย่างคาดหวัง
ในเมืองหลิงหูนั้น เหลาอาหารที่ดีที่สุดแน่นอนว่าย่อมเป็นกิจการของตระกูลหลิงหู…หากโหวชิ่งหนิงไม่ได้ถูกผู้อื่นลักพาตัวมาล่อเขา อีกฝ่ายไม่พ้นต้องชักชวนเขาไปยังเหลาอาหารของตระกูลหลิงหูแน่นอน
แต่ตอนนี้เมื่อเขาสงสัยว่าโหวชิ่งหนิงสมควรตกอยู่ในกำมือของคนที่คิดร้ายกับเขา เขาก็แทบฟันธงได้ทันทีว่าโหวชิ่งหนิงไม่คิดเลือกเหลาอาหารของตระกูลหลิงหูแน่นอน
ข้อความของต้วนหลิงเทียนถูกส่งไปสักพักแล้ว แต่โหวชิ่งหนิงยังไม่ตอบกลับ
จังหวะนี้เขาก็มั่นใจได้เต็มสิบส่วน ว่าโหวชิ่งหนิงสมควรถูกผู้อื่นจับตัวไว้จริงๆ ‘ดูเหมือนลูกแก้ววิญญาณของข้า จะตกอยู่ในมือคนร้าย’
การติดต่อผ่านลูกแก้ววิญญาณในระนาบเทพนั้น ปกติแล้วจะส่งข้อความถึงวิญญาณโดยตรง เรียกว่าผู้อื่นไม่ได้ยินเสียงข้อความแต่อย่างใด แต่ก็สามารถใช้สื่อสารอย่างเปิดเผยได้เช่นกัน กระทั่งทำให้บทสนทนาดังออกมาโดยตรง
เรียกว่าเหมือนโหมด ‘แฮนด์ฟรี’ ของโทรศัพท์ในโลกเก่าของต้วนหลิงเทียน
อันที่จริงเรื่องราวก็เป็นอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคาดเดาไว้ไม่มีผิด
โหวชิ่งหนิงไม่ได้รับข้อความจากเขา แต่เป็นชายในชุดคลุมลมดำข้างโหวชิ่งหนิงที่ใช้กลวิธีพิเศษทำให้ได้ยินข้อความที่เขาส่งไปหาโหวชิ่งหนิง เมื่อมันได้ยินข้อความแล้ว มันก็ส่งลูกแก้ววิญญาณของเขาให้โหวชิ่งหนิงพลางกล่าวสั่งทันที “เจ้าตอบข้อความมันกลับไป ว่าให้มาพบกันในอีกครึ่งชั่วยามที่เหลาวั่งชุน ห้องส่วนตัวหมายเลข 2”
พอโหวชิ่งหนิงได้ยินคำสั่งของชายชุดคลุมลมดำ มันก็ใช้ลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนเพื่อส่งข้อความนัดหมายทำนองดังกล่าวทันที
เหลาวั่งชุน?
หลังจากได้รับข้อความจากโหวชิ่งหนิง มุมปากต้วนหลิงเทียนก็ยกยิ้มขึ้นมาอ่อนๆทันที เพราะเขารู้ว่านั่นไม่ใช่เหลาอาหารที่เป็นกิจการของตระกูลหลิงหู
ถึงแม้นอกจากการออกมาหลอมยาครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ออกไปไหนเลยตั้งแต่มาถึงตระกูลหลิงหู แต่เขาก็มักจะคุยกับ หลิงหูอวิ๋น ลูกชายคนที่ 4 ของหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหู
หลิงหูอวิ๋นได้อ่านเรื่องราวที่เขาบันทึกไว้ในป้ายหยกเก็บความทรงจำหมดแล้ว และมักมาขอเรื่องราวสนุกสนานอื่นๆจากต้วนหลิงเทียน สิ่งนี้ทำให้เขาได้คุยกับหลิงหูอวิ๋นบ่อยครั้ง
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่เคยออกไปเดินชมเมืองหลิงหูเลย แต่เขาก็รู้ดีว่าในเมืองมีเหลาอาหารน่านั่งกี่แห่ง
เหลาวั่งชุนที่ว่า จัดเป็นเหลาอาหารระดับกลางๆเท่านั้น และเป็นกิจการของตระกูลระดับราชาเทพตระกูลหนึ่งในเมืองหลิงหู
และตระกูลระดับราชาเทพที่ว่า ก็เป็นตระกูลในเครือของตระกูลหลิงหูเช่นกัน
“เหลาวั่งชุนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนตอบข้อความกลับไปเคล้าเสียงหัวเราะ “โหวชิ่งหนิง นี่เจ้านึกเป็นห่วงกระเป๋าข้าขึ้นมาหรือไง ถึงได้ไปเหลาวั่งชุน? หรือเจ้าไม่รู้ว่าในเมืองหลิงหูนั่น เหลาวั่งชุนไม่ใช่เหลาอาหารที่ดีและแพงที่สุด?”
“หากเจ้าอยากถล่มกระเป๋าข้า ทำไมไม่เลือกเหลาที่เป็นกิจการของตระกูลหลิงหูเล่า ที่นั่นมันดีและหรูสุดในเมืองแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความจบก็รอฟังคำตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ด้านโหวชิ่งหนิงที่ได้รับข้อความจากต้วนหลิงเทียน มันก็อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองชายในชุดคลุมลมดำที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมเผยสีหน้าแววตาสงสัยออกไปว่าจะให้ตอบอย่างไร
อันที่จริงนี่นับเป็นครั้งแรกที่โหวชิ่งหนิงมาเมืองหลิงหู มันจะไปรู้จักเหลาอาหารทั้งหลายในเมืองหลิงหูได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ชายในชุดคลุมลมดำก็ตอบสนองเร็วไว บอกกล่าวโหวชิ่งหนิงอยู่ไม่กี่คำ โหวชิ่งหนิงก็ส่งข้อความไปหาต้วนหลิงเทียนทันที “ข้ารู้หรอกน่า แต่ตอนนี้เจ้าเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหูไง แถมท่าทางคนของตระกูลหลิงหูจะเลื่อมไสเจ้าไม่น้อย…เช่นนั้นหากข้าชวนเจ้าไปนั่งในเหลาของตระกูลหลิงหู คนที่นั่นจะกล้าเก็บเงินเจ้ารึไง?”
“เช่นนั้น ข้าก็เลยตั้งใจเลือกเหลาอาหารที่ไม่ได้เป็นของตระกูลหลิงหูโดยเฉพาะ”
สิ่งที่โหวชิ่งหนิงพูด ทั้งหมดเป็นชายในชุดคลุมลมดำสอนให้พูด
“ฮ่าๆๆๆ…”
และต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงหัวเราะตอบกลับไปก่อน ค่อยกล่าวต่อว่า “เจ้านี่มันเอาเรื่องจริงๆ สรรหาวิธีถล่มกระเป๋าข้ามาพร้อม”
“เอาล่ะ ห้องส่วนตัวหมายเลข 2 ของเหลาวั่งชุนใช่ไหม? ไม่ถึงครึ่งชั่วยามข้าก็ถึงแล้ว”
หลังต้วนหลิงเทียนส่งข้อความตอบโหวชิ่งหนิงเสร็จ เขาก็ติดต่อไปหาหลิงหูเหรินเจี๋ยทันที
จากนั้นภายใต้คำแนะนำของหลิงหูเหรินเจี๋ย ต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างมุ่งหน้าเข้าป่าทางตอนเหนือของเมืองหลิงหูมาไม่นาน ก็ได้พบคู่แฝดเหิงฮวนที่มารออยู่สักพัก
ในขณะที่พบเจอกับผู้เฒ่าเหิงฮวน ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ายังมีอีก 7 คนที่รอเขาอยู่ด้วย
แถมหนึ่งในนั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขาอีกต่างหาก
เป็นหลิงหูชิงเจ๋อที่เขาเคยพบเจอในเมืองจวินหลิงในปีนั้น และอีกฝ่ายก็เป็นจอมราชันเทพที่ร้ายกาจคนหนึ่งของตระกูลหลิงหู
“เจ้าหนุ่ม เจ้านี่มันอยู่ดีไม่ว่าดีทะลึ่งหนีออกมาซ่านอกจวน เจ้าไม่กลัวตายรึไร?”
พอหลิงหูเหิงเห็นต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง ร่างอ้วนก็ยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยใบหน้าดุๆทันที แม้แก้มมันจะย้วยจนดูน่าขำกว่าน่ากลัวก็ตามที
ถึงปากหลิงหูเหิงจะกล่าวไปแบบนั้น แต่ต้วนหลิงเทียนย่อมสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงอีกฝ่าย เขาก็ได้แต่ยิ้มรับคำด้วยสีหน้าโง่งมไม่พูดอะไร ราวกับรุ่นเยาว์กำลังรับฟังคำสอนของผู้อาวุโส
พอเห็นต้วนหลิงเทียนยิ้มหน้าเซ่อไม่เถียง หลิงหูเหิงก็คร้านจะตำหนิต้วนหลิงเทียนสืบต่อ เพียงชวนต้วนหลิงเทียนไปพบกับคนอื่นๆ
จากนั้นมันก็แนะนำคนทั้ง 7 นอกจากน้องชายฝาแฝดอย่างหลิงหูฮวนให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
“อ่อจริงสิ กับยาโถวน้อยชิงเจ๋อข้าคงไม่ต้องแนะนำให้เจ้ารู้จักแล้วกระมัง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยเจอนางมาก่อนที่เมืองจวินหลิง”
หลิงหูเหิงมองไปยังหญิงชราเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาคนทั้ง 7 ก่อนจะพูดกับต้วนหลิงเทียน และการเรียกหาหญิงชราคนหนึ่งว่าสาวน้อยนั้นก็ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด เพราะอายุที่แท้จริงของหลิงหูเหิงมันมากกว่าหลิงหูชิงเจ๋อนับหมื่นปี
“อาวุโสชิงเจ๋อ”
ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวทักหญิงชราด้วยรอยยิ้ม ราวกับลืมเลือนเรื่องราวในอดีตไปหมดสิ้น
อย่างไรก็ตามสีหน้าท่าทีของหลิงหูชิงเจ๋อนั้นเห็นชัดว่าแลดูไม่เป็นธรรมชาติแม้แต่น้อย เพราะนางเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่ารุ่นเยาว์ที่นางสั่งสอนไปที่เมืองจวินหลิง วันนี้จะกลายเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหู…
แถมอีกฝ่ายยังเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพ ที่สามารถหลอมโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งขั้นสุดยอดได้!
กล่าวได้ว่าฐานะของอีกฝ่ายในตระกูลหลิงหูวันนี้ ไม่ใช่อะไรที่นางจะเทียบได้เลย
“อาคันตุกะต้วน”
หลิงหูชิงเจ๋อฝืนยิ้มออกมาจนดูน่าเกลียดปานร้องไห้ กล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนว่า “เป็นข้าเคยล่วงเกินทำร้ายท่านในอดีต ขอท่านอย่าได้ถือสาข้าเลย”
“เรื่องเก่าข้าลืมไปนานแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
จากนั้นหลิงหูเหิงก็เริ่มแนะนำอีก 6 คนที่เหลือให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก มี 2 คนที่เป็นจอมราชันเทพของตระกูลหลิงหู หนึ่งในนั้นยังเป็นอาวุโสสูงสุดของตระกูลหลิงหู นอกจากนั้นยังเป็นคนเก่าคนแก่ที่มีลำดับอาวุโสทัดเทียมกับคู่แฝดเหิงฮวน
กระทั่งในตระกูลหลิงหู หากคู่แฝดเหิงฮวนไม่ร่วมมือกันล่ะก็ ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายเลย
และอาวุโสสูงสุดคนนี้ก็มีนามว่า หลิงหูเจิ้งซิง
หลิงหูเจิ้งซิงแลดูไม่แก่เลย อีกฝ่ายคงรูปลักษณ์ชายวัยกลางคนเอาไว้ มาในชุดคลุมสีน้ำเงินหลวมๆ ร่างกายสูงใหญ่ดูกำยำ หว่างคิ้วคู่หนามากล้นไปด้วยความน่าเกรงขาม หน้าตาแลดูจริงจังขรึมเคร่งอยู่ตลอดเวลา
“อาวุโสเจิ้งซิง”
ต้วนหลิงเทียนประสานมือคารวะทักทายอีกฝ่ายอย่างสุภาพ ใบหน้าจริงจังของอีกฝ่ายจึงคลี่ยิ้มออกมา แม้แลแล้วจะเป็นรอยยิ้มฝืนๆก็ตาม
หากทว่า แววตาของอีกฝ่ายกลับฉายชัดถึงความเป็นมิตรชัดเจน
สำหรับอีก 4 คนที่เหลือนั้น ทั้งหมดเป็นคนนอกที่หลิงหูเหิง เลือกเฟ้นให้มาวันนี้เป็นพิเศษ ทั้งหมดล้วนเป็นสหายเก่าของคู่แฝดเหิงฮวนตั้งแต่สมัยรุ่นๆ พลังฝีมือไม่ใช่ชนชั้นต่ำทราม และหลิงหูเหิงก็ไม่ได้แนะนำอะไรมากเพียงบอกแต่ชื่อเท่านั้น
และในบรรดาคนทั้ง 4 ไม่ว่าใครก็ล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำทั้งสิ้น
“เหลาวั่งชุน”
หลังจากต้วนหลิงเทียนยืนยันสถานที่ๆเขานัดพบกับโหวชิ่งหนิงและคนร้ายต่อคนทั้ง 9 แล้ว หลิงหูเจิ้งซิง กับหลิงหูชิงเจ๋อก็เหินร่างนำอีก 6 คนมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเหลาวั่งชุนเพื่อซ่อนตัวทันที
ส่วนคู่แฝดเหิงฮวนนั้นลอบติดตามต้วนหลิงเทียนมาไม่ห่าง เพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้ต้วนหลิงเทียน
จนถึงตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีกี่คน
ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น หลังจากที่หลิงหูเจิ้งซิงกับคนอื่นๆล่วงหน้าไปก่อน เขาก็หยุดรออยู่ 2 เค่อ จากนั้นก็เหินร่างข้ามฟ้าอ้อมเข้าเมืองหลิงหูทางประตูทิศตะวันออก
ประตูเมืองทางทิศตะวันออกนั้น เป็นหนึ่งในประตูของจวนตระกูลหลิงหูเช่นกัน และต้วนหลิงเทียนก็สามารถผ่านเข้ามาได้ โดยปราศจากสิ่งกีดขวาง
หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างตัดน่านฟ้าจวนตระกูลหลิงหู เพื่อออกไปทางประตูอีกบาน ทำเหมือนกับเขาพึ่งจะออกมาจากตระกูลหลิงหู
“เจ้าหนุมนี่มันระวังตัวไม่ใช่เล่น”
ด้านหลังต้วนหลิงเทียน หลิงหูเหิงที่ลอบติดตามมา อดหันไปกล่าวกับแฝดผู้น้องผ่านพลังไม่ได้
“ความสามารถสูงส่ง แต่กลับรอบคอบ…อนาคตของมัน ไร้ขอบเขต”
หลิงหูฮวนก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับ
ได้ยินคำกล่าวชมจากแฝดผู้น้อง หลิงหูเหิงก็อดแปลกใจไม่ได้ เพราะนี่นับเป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มันได้ยินแฝดผู้น้องกล่าวชมใครแบบนี้
อย่างไรก็ตามพอมันนึกถึงผลงานของต้วนหลิงเทียนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะพรสวรรค์หรือความเข้าใจก็ดี มันก็ไม่มีคำใดจะแย้ง
เพราะตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนไม่ด่วนตายไปซะก่อน วันหน้านับประสาอะไรกับตระกูลหลิงหู เกรงว่านิกายมังกรสวรรค์หรือแม้แต่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิง ก็ไม่อาจรองรับต้วนหลิงเทียนได้
‘เวที’ ของอีกฝ่ายสมควรกว้างกว่านี้
เขตคฤหาสน์ตงหลิงมันเล็กเกินไป
“เหลาวั่งชุน”
ส่วนเหตุผลที่ไฉนต้วนหลิงเทียนถึงอ้อมไปเข้าประตูทิศตะวันออกของจวนหลิงหู และเลือกจะผ่านจวนตระกูลหลิงหูและออกประตูอีกด้านในเมือง เพราะเขากังวลว่าอีกฝายจะส่งคนมาจับตาดูความเคลื่อนไหวใกล้ๆประตูตระกูลหลิงหูในเมือง
หากเขากลับจากนอกเมืองหลิงหูโดยตรง เขาเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายพบเห็น จนสะกิดความสงสัยของอีกฝ่ายได้
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้บอกโหวชิ่งหนิงว่าเขาไม่ได้อยู่ในตระกูลหลิงหู
“ทุกคนพร้อมแล้ว”
ภายใต้คำเตือนด้วยเสียงผ่านพลังของหลิงหูเหิง ต้วนหลิงเทียนที่หยุดอยู่หน้าเหลาวั่งชุน ก็ก้าวเท้าเข้าไปทันที
เมื่อก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปด้านใน เขาก็พบเห็นผู้คนจำนวนมาก กล่าวได้ว่าโถงรวมด้านนอกนั้นมันแน่นขนัดไปด้วยผู้คนจนไม่มีโต๊ะว่าง กระทั่งเขายังเห็นว่ามีคนมารออยู่นอกโถงรวมอีกด้วย
นับว่ากิจการของที่นี่รุ่งเรืองไม่น้อย
“ท่านลูกค้า มิทราบมารับประทานอาหารเย็นหรือมาหาสหายขอรับ?”
ต้วนหลิงเทียนก้าวเท้าเข้ามาได้ไม่ทันไร ก็มีบริกรเข้ามาต้อนรับ
“พอดีเพื่อนข้าจองห้องส่วนตัวหมายเลข 2 เอาไว้แล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“มิทราบท่านลูกค้า แซ่อะไรหรือ?”
เสียงของพนักงานต้อนรับเผยความยำเกรงมากขึ้นหลายส่วน เพราะห้องส่วนตัวหมายเลข 2 นั้น อยู่ในหมวดห้องส่วนตัวชั้นนภาซึ่งเป็นห้องส่วนตัวที่มีราคาแพงที่สุด และค่าใช้จ่ายขั้นต่ำนั้น ก็พอๆกับค่าจ้าง 10 ปีที่เหลาวั่งชุนจ่ายให้มัน