“เช่นนั้นข้าขออวยพรให้พี่เชียนเย่เดินทางปลอดภัย ทั้งสร้างชื่อเสียงได้ในเร็ววัน”
ตู้เชียนจวินคลี่ยิ้มแหยๆพลางกล่าว
หยางเชียนเย่พยักหน้า จากนั้นคล้ายมันนึกอะไรได้ออก ก็เลยหันไปมองตู้เชียนจวินและพูดว่า “เชียนจวิน ข้าได้ยินท่านพ่อพูดว่า สายที่แฝงตัวอยู่ในตระกูลหลิงหู…รายงานมาว่า ศิษย์ของอาวุโสกวงเทียนเจิ้ง ฉู่หาน นั้นเหมือนจะถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย และเจ้าต้วนหลิงเทียนนั่น มันก็คิดจะไปเข้าร่วมการประเมินทดสอบรับศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ครั้งนี้ด้วย”
ได้ยินหยางเชียนเย่เอ่ยถึงต้วนหลิงเทียนขึ้นมา สีหน้าของตู้เชียนจวินก็กลายเป็นปั้นยากทันที
ในตอนนั้น ต้วนหลิงเทียนได้ติดตามหวูเฟิงที่ใช้นามแฝงว่า “หวู่อี้ซาน” เพื่อไปยังเทพซ่อนที่จักรพรรดิเทพฉินหวู่เหลือทิ้งไว้ และอีกฝ่ายก็ได้แสร้งทำเป็นหมูกินเสือ สุดท้ายก็ฆ่าฉู่หานตกตาย
คนอื่นๆนั้นทำได้แค่สงสัยว่าต้วนหลิงเทียนอาจจะเป็นคนฆ่าฉู่หาน
อย่างไรก็ตาม มันรู้ดีว่าฉู่หานถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าทิ้งแน่นอน
เพราะมันทราบว่าเกิดอะไรขึ้นภายในเทพซ่อนที่จักรพรรดิเทพฉินหวู่เหลือทิ้งไว้ แต่เพราะข้อจำกัดจากคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ ทำให้มันไม่อาจบอกรายละเอียดที่เกิดขึ้นภายในนั้นต่อผู้ใดได้
‘เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนนั่นมันสามารถบรรลุถึงราชาเทพขั้นต่ำได้ในเวลาอันสั้น ทั้งยังมีพลังฝีมือกล้าแข็งมากพอเข่นฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวของนิกายหมอกเร้นลับได้ ไม่พ้นต้องเป็นเพราะมรดกที่จักรพรรดิเทพฉินหวู่เหลือไว้ในเทพซ่อนเป็นแน่’
ในอดีต หลังจากที่ได้รับทราบว่าต้วนหลิงเทียนสามารถฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวได้ ตู้เชียนจวินก็ได้แต่คิดไปทำนองดังกล่าว และยิ่งคิดมันก็ยิ่งแค้น เพราะสิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับมันและคนอื่นๆที่พบเจอเทพซ่อน ‘ตัดชุดแต่งงาน’ ให้ต้วนหลิงเทียนเลย
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น หลังจากที่เจ้าเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ได้แล้ว อย่าไปมีเรื่องมีราวกับมันเด็ดขาด เพราะเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย”
หยางเชียนเย่เอ่ยต่อเสียงหนัก “เรื่องฆ่าต้วนหลิงเทียน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาวุโสกวงเทียนเจิ้งไป”
กล่าวถึงจุดนี้ หยางเชียนเย่ก็หันไปมองกล่าวกับตู้ปั้วจวิน “ปั้วจวิน พลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเผยเมื่อ 20 ปีก่อนตอนฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียว แม้ว่ามันจะด้อยกว่าเจ้า แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากมายอะไร…ด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจของมัน เวลาผ่านไป 20 ปีแล้วเช่นนี้ มันไม่พ้นต้องร้ายกาจขึ้นเป็นแน่ เกรงว่าในตอนนี้เจ้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอเตือนเจ้าไว้สักคำ อย่าได้เพ่งเล็งหาเรื่องมันด้วยตัวเองเสียประเสริฐกว่า”
“เรื่องจัดการมัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอาวุโสกวงเทียนเจิ้งก็พอ”
มันเองก็เคยได้ยินตู้เชียนจวินเอ่ยถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนได้รับผลประโยชน์ในเทพซ่อนมาก่อน เช่นนั้นมันจึงกลัวว่าสองพี่น้องจะไปหาเรื่องต้วนหลิงเทียนเพราะความไม่พอใจ
ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคยพบเจอต้วนหลิงเทียนที่ว่ามาก่อน
อย่างไรก็ตาม ดูจากสิ่งที่อีกฝ่ายทำรวมถึงข่าวลือมากมายของต้วนหลิงเทียน มันก็ตระหนักได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมันแน่แท้ อย่าได้เป็นศัตรูด้วยจะดีที่สุด เว้นเสียแต่จะมีความมั่นใจว่าสามารถฆ่าต้วนหลิงเทียนได้จริงๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ตู้ปั้วจวินพยักหน้ารับคำ พลางกล่าว “เจ้ามั่นใจเรื่องนี้ได้เลย ข้ากับเชียนจวินเองก็รู้ว่ามันร้ายกาจไม่น้อย ไม่มีทางหุนหันพลันแล่นแน่”
“ดีแล้ว”
หยางเชียนพยักหน้า “เช่นนั้นข้าไปก่อนล่ะ พอถึงที่นั่นแล้วข้าจะส่งข้อความมาบอกเจ้า…วันหน้าหากเจ้าเจอปัญหาใดในนิกายมังกรสวรรค์ เจ้าสามารถมาหาข้าได้ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเท่าที่จะทำได้”
พอกล่าวจบคำ ร่างหยางเชียนเย่ก็จากไปราวสายลมสีดำหอบหนึ่ง
คงเหลือเพียงพี่น้องแซ่ตู้ทั้ง 2 ที่ยืนอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง
“พี่ใหญ่…”
ตู้เชียนจวินหันไปมองตู้ปั้วจวิน สองตาของมันฉายแววไม่เต็มใจอย่างแรงกล้า “เจ้าต้วนหลิงเทียนนั่นมันช่วงชิงโอกาสวาสนาไปจากข้า! และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พลังฝีมือของมันก้าวหน้ารวดเร็วเช่นนี้…พอคิดว่าข้าไม่อาจฆ่ามันให้ตายกับมือ ข้ารู้สึกอัดอั้นตันใจนัก!”
“หากเจ้าอยากฆ่ามันด้วยมือตัวเอง ก็ไปขอจากอาจารย์ปู่เทียนเจิ้งเถอะ มิใช่เป็นเรื่องง่ายดายหรอกหรือ?”
ตู้ปั้วจวินกล่าวคำด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าด้วยวัยของอาจารย์ปู่เทียนเจิ้ง คงมิได้สนใจเรื่องจะฆ่าศัตรูด้วยมือตัวเองหรือไม่ สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือศัตรูตกตายเป็นพอ ไม่เกี่ยงว่าผู้ใดจะเป็นคนลงดาบ”
“เข้าใจแล้วพี่ใหญ่”
ตู้เชียนจวินพยักหน้า สองตายังเผยเจตนาฆ่าฟันออกมาให้เห็น “พอข้าไปถึงนิกายมังกรสวรรค์ ข้าจะไปหาอาจารย์ปู่และลองถามเรื่องนี้เอง”
หากต้วนหลิงเทียนไม่ตาย ตู้เชียนจวินก็รู้สึกอึดอัดประหนึ่งก้างปลาติดคอเอาไม่ออก
…
ณ ตระกูลหลิงหู
‘ในที่สุดข้าก็เข้าใจความลึกซึ้งทั้งหมดของกฏที่ข้าต้องการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการสองชุดทุกกฏ…’
หลังต้วนหลิงเทียนออกจากห้องลับแห่งกฏ รอยยิ้มสดใสพลันคลี่กางขึ้นบนใบหน้าเขา
กล่าวได้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เขามาใช้ห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหู
คราวก่อนที่เขามาเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏ ก็เพราะต้องการทำความเข้าใจกฏที่ใช้สำหรับการหลอมโอสถ ซึ่งได้แก่กฏแห่งไม้ และกฏแห่งชีวิต
แต่ครั้งนี้ที่เขามาใช้ห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหู เขาไม่เพียงมาใช้มันเพื่อทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งชีวิตกับกฏแห่งไม้เท่านั้น แต่เขายังมาเพื่อทำความเข้าใจกฏแห่งธาตุทั้ง 5 รวมถึงอีก 4 ที่เหลือเพื่อให้เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 2 ประการ 2 ชุดทั้งหมด…นอกจากนั้นเขายังเข้าใจกฏแห่งความตายที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน จนมีระดับความเขช้าใจทัดเทียมกับกฏอื่นๆ นอกจากกฏมิติ
ในปัจจุบันกล่าวได้ว่า ต้วนหลิงเทียนได้เข้าใจ กฏสูงสุดทั้ง 4 เรียบร้อยแล้ว
กล่าวได้ว่านอกจากฏแห่งธาตุทั้ง 5 ซึ่งเป็นกฏทั่วไปแล้ว เขาได้เชี่ยวชาญกฏอื่นๆรวมทั้งสิ้น 9 กฏ!
‘พี่สาวสุ่ยก็จริงๆเลย เรื่องสำคัญแบบนี้กลับไม่บอกข้าไว้แต่แรก หาไม่แล้วข้าคงไม่เพิกเฉยกฏอื่นๆจนถึงตอนนี้หรอก’
พอนึกถึงสิ่งที่เขาได้รู้มาก่อนจะเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหูครั้งนี้ ต้วนหลิงเทียนก็อดส่ายหัวไปมาพลางคลี่ยิ้มเจื่อนๆไม่ได้ ‘บางที พี่สาวสุ่ยอาจคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานที่ข้าสมควรรู้อยยู่แล้วก็เลยไม่ได้บอก…’
‘จะว่าไป แต่ก่อนดันหลงเข้าใจผิด คิดว่าหลังจากควบรวมร่างอวตารแห่งกฏแล้ว พอมันแยกออกจากร่างหลักก็จะส่งผลกระทบบางอย่างต่อร่างหลัก แถมตั้งแต่มาถึงดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครใช้ร่างอวตารแห่งกฏสักคน ก็ทำให้ข้าหลงคิดว่าเพราะมันส่งผลเสียอะไรจริงๆ ก็เลยไม่มีใครใช้ร่างอวตารแห่งกฏเลยสักคน’
‘ที่แท้ปรากฏว่าไฉนที่ไม่มีใครในดินแดนดาราพิศวงใช้ร่างอวตารแห่งกฏ เพราะคนที่ข้าพบเจอมาโดยตลอดล้วนแล้วแต่เป็นชนพื้นเมืองของระนาบเทพ จะมากจะน้อยล้วนมีสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่’
เมื่อราวๆ 3 ปีก่อน ต้วนหลิงเทียนได้ตระหนักรู้โดยบังเอิญจากการคุยสัพเพเหระกับ หลิงหูเหรินเจี๋ย ผู้นำตระกูลหลิงหู และนั่นเป็นเหตุให้เขาเริ่มทำความเข้าใจกฏอื่นๆนอกเหนือจากกฏมิติ โดยใช้ห้องลับแห่งกฏ
“ต้วนหลิงเทียน ในเมื่อเจ้ามาจากระนาบเทวโลก และไม่ใช่ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ทำให้ในร่างกายเจ้าไร้ซึ่งสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุด…แล้วทำไมยามเจ้าออกไปไหนมาไหน ไม่ให้ร่างหลักอยู่ในตระกูลหลิงหู แล้วส่งร่างอวตารแห่งกฏออกไปแทนเล่า?”
นี่คือคำพูดที่หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวออกมาวันนั้น และอีกฝ่ายยังเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง
และเขาก็ได้แต่ตอบไปว่า…เขาไม่ได้ควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏ
จากนั้นพอเขาเล่าถึงจุดที่เขากังวลออกไป หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ถึงกับชักหน้าเหวออยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเป็นบ้าเป็นหลังอยู่นาน ค่อยเริ่มอธิบายให้เขาฟังว่า ร่างอวตารแห่งกฏนั้น เป็นไพ่ตายสำคัญสำหรับผู้ที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองของระนาบเทพเลยก็ว่าได้! และชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏได้ทั้งนั้น แม้จะบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้วก็ตามที!!
สิ่งนี้ถูกจำกัดไว้โดยกฏแห่งสวรรค์และโลก
ชนพื้นเมืองของระนาบเทพนั้น ด้วยความที่จะมากจะน้อยก็มีสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่ ถึงชั่วชีวิตจะไม่อาจปลุกพลังสายเลือดได้ ก็ไม่สามารถควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏได้เลย
และสำหรับชนพื้นเมืองที่มีสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่น้อยนิดนั้น เว้นเสียแต่จะพบเจอวาสนาปาฏิหาริย์บางอย่างที่สามารถกระตุ้นพลังสายเลือดในร่างให้ตื่นขึ้น ก็ไม่มีวันปลุกพลังสายเลือดได้ และคนจำพวกนี้ก็น่าสงสารยิ่งนักเพราะไม่เพียงไม่อาจใช้พลังสายเลือดได้ ยังไม่อาจควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏได้อีก
ในสวรรค์และโลกแห่งนี้ มีเพียงตัวตนที่ไร้ซึ่งสายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนอยู่ภายในกายโดยสมบูรณ์เท่านั้น ถึงจะควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏได้หลังจากบรรลุถึงขอบเขตเทพ
กฏแห่งสวรรค์และโลกยุติธรรมเสมอ หากไม่ใช่ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ ไม่ใช่ทายาทของผู้แข็งแกร่งที่สุด ในขณะที่ไร้ซึ่งพลังสายเลือด แต่หลังจากบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏได้
และร่างอวตารแห่งกฏนั้น ขั้นตอนการสร้างก็ไม่ได้ยากเย็นหรือซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่มันต้องใช้เวลาควบรวมพลังสร้างขึ้นเท่านั้น และหลังจากร่างอวตารแห่งกฏถูกทำลาย มันก็จะส่งผลกระทบต่อร่างต้นเพียงแค่เล็กน้อย และผลกระทบเล็กน้อยดังกล่าวอาศัยแค่โอสถเทพฟื้นฟูระดับเทพธรรมดาๆก็สามารถรักษาให้หายได้ในเวลาอันสั้น เรียกว่าไม่ทันไรก็ฟื้นตัวดังเดิม
ข้อเสียของร่างอวตารแห่งกฏก็คือมันต้องใช้เวลาในการควบสร้าง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาควบสร้างเอาขณะประมือกับศัตรู พูดได้ว่าหากคิดจะใช้ร่างอวตารแห่งกฏในการต่อสู้ จำต้องควบสร้างไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แถมมันไม่ได้มีผลกระทบต่อร่างหลักอย่างที่ต้วนหลิงเทียนเคยเข้าใจผิดแม้แต่นิดเดียว
“ร่างอวตารแห่งกฏนั้น สามารถปรากฏตัวออกมาลงมือสนับสนุน หรือชิงจู่โจมอัศจรรย์ในขณะที่ร่างหลักกำลังต่อสู้ได้…แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นร่างอวตารแห่งกฏที่จะใช้ในการต่อสู้มันต้องไม่อ่อนด้อยจนเกินไป”
“หากเจ้าสามารถเข้าใจกฏอื่นๆนอกจากกฏหลักจนประสบความสำเร็จเลิศล้ำประมาณหนึ่ง ยามใช้ร่างอวตารแห่งกฏในการต่อสู้ มันก็จะเป็นตัวช่วยชั้นยอด”
“สำหรับร่างอวตารแห่งกฏที่อ่อนแอ เป็นการดีเสียกว่าที่จะไม่ใช้มันในการต่อสู้กับผู้อื่นโดยง่าย…ยกตัวอย่างเช่นในขณะที่เจ้ากำลังประมือกับศัตรูที่มีพลังฝีมือทัดเทียมกับเจ้าจนยากที่จะหาผลแพ้ชนะ แทนที่ผลลัพธ์จะจบลงด้วยการเสมอ หากเจ้าดันทะลึ่งปล่อยร่างอวตารแห่งกฏที่อ่อนแอออกมา และอีกฝ่ายอาศัยเพียงการลงมือส่งๆก็ทำลายได้ เช่นนั้นมันก็จะส่งผลกระทบต่อร่างหลักของเจ้า แม้ว่าจะเป็นผลกระทบแค่เล็กน้อย ถึงขั้นสามารถใช้โอสถเทพรักษาทั่วไปก็รักษาให้หายได้ในเวลาสั้นๆ แต่คู่ต่อสู้ของเจ้าจะเปิดโอกาสให้เจ้ารักษาตัวหรือไม่เล่า?”
“ไม่พ้นมันต้องฉกฉวยโอกาสที่เจ้าได้รับผลกระทบที่ว่า บุกจู่โจมเอาชนะเจ้ารวดเดียวจบ”
“เช่นนั้นร่างอวตารแห่งกฏที่ทรงพลังสามารถยึดถือให้เป็นผู้ช่วยสำคัญได้…แต่ร่างอวตารแห่งกฏที่อ่อนแอนั่น มันไม่ต่างอะไรจากตัวภาระ ขณะต่อสู้อย่าได้ปล่อยออกมาโดยง่าย”
“แต่แน่นอนว่า ไม่ว่ามันจะเป็นร่างอวตารแห่งกฏที่อ่อนแอถึงขนาดไหน มันก็สามารถออกไปทำเรื่องราวจิปาถะแทนเจ้าได้ทุกอย่าง…และต่อให้ร่างอวตารแห่งกฏดังกล่าวจะถูกฆ่าตายด้านนอก มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเจ้ามากนัก กระทั่งอาจทำให้เจ้าหลีกเลี่ยงภัยพิบัติไม่คาดฝันได้อีกด้วย อย่างเช่นครั้งก่อน หากเจ้าส่งร่างอวตารแห่งกฏออกไป แล้วอาวุโสฟงของนิกายหมอกเร้นลับลงมือ ไม่เพียงแต่มันจะเปิดเผยตัวตนออกมา มันไม่พ้นต้องตายโดยที่ไม่ระเบิดโลกใบเล็กภายในกายแน่นอน เพราะใครจะอยากทุกข์ทรมาณอย่างไร้ความหมายกันเล่า…”
ในวันนั้นหลังได้ฟังคำพูดของหลิงหูเหรินเจี๋ยแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ได้ขออนุญาตเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหูทันที จากนั้นก็แช่อยู่ในห้องลับแห่งกฏนานถึง 3 ปีติดต่อกัน
ตลอดช่วงระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา ปริมาณหินเทพที่ใช้ในการขับเคลื่อนห้องลับแห่งกฏที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใช้นั้น มันถึงกับพร่องไป 1 ใน 3 ส่วนของสายแร่หินเทพที่อยู่ใต้ตระกูลหลิงหู!
เป็นธรรมดาว่าเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนยังไม่รู้
กระทั่งเขายังไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าหลังจากเขาเดินขึ้นบันไดเพื่อออกจากห้องลับแห่งกฏไปแล้ว สีหน้าของอาวุโสหลักที่ทำหน้าที่เฝ้าดูแลห้องลับแห่งกฏก็เปลี่ยนจากรอยยิ้มธรรมดาเป็นรอยยิ้มเหยเกทันที จากนั้นปากมันก็เริ่มขมุบขมิบกล่าวพึมพำออกมาเบาๆว่า “เรื่องที่สายแร่หินเทพของตระกูลหลิงหูเราสูญเสียไปกว่า 1 ใน 3 ส่วน….เห็นทีคงจะปกปิดไว้ได้อีกไม่นาน”
“หากเหล่าอาวุโสผู้เฒ่าล่วงรู้เรื่องนี้ ไม่พ้นต้องรวมตัวกันไปเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจผู้นำตระกูลเป็นแน่…ถึงตอนนั้นเผลอๆท่านผู้นำอาจจะถูกขับออกจากตำแหน่ง”
“ท่านผู้นำให้ข้าปกปิดเรื่องนี้จากอาคันตุกะต้วน แต่ข้าเกรงว่าอีกไม่นานอาคันตุกะต้วนต้องรับทราบเป็นแน่…สุดท้ายแล้วหลังจากนี้อีกไม่กี่เดือน อาคันตุกะต้วนก็จะต้องเดินทางไปยังนิกายมังกรสวรรค์ เพื่อเข้าร่วมแข่งขันมังกรซ่อนแล้ว ถึงตอนนั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงพบเจอคนในตระกูลที่ไม่พอใจเรื่องนี้ได้อีก”
“เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นอาวุโสหลักทั้ง 3 ก็ไม่อาจช่วยท่านผู้นำให้รักษาตำแหน่งเอาไว้ได้…”
“สุดท้ายแล้ว ตระกูลมีกฏของตระกูล สิ่งนี้ท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งเป็นผู้กำหนดเอาไว้เพื่อให้ตระกูลสามารถดำรงสืบต่อไปได้อย่างราบรื่น ไม่ว่าอาวุโสหลักจะมีฐานะสูงส่งแค่ไหน ก็ไม่อาจก้าวก่ายเปลี่ยนแปลงอันใดได้…”